“หมี่กู” ดวงตาของเยียนชิงหลางที่เหลือบมองมาเป็นประกายวาบ
คราวนี้หางตาของอวี้หมี่กระตุกเล็กน้อย
อย่าได้คิดเชียวนะว่าแสร้งให้ใบหน้าทุเรศทุรังดวงนั้นดูเคร่งเครียดแล้วจะอำพรางความจริงที่ว่าเขาจงใจใช้คำพูดลบหลู่นางได้ นึกหรือว่านางไม่รู้ว่า ‘หมี่กู’ ออกเสียงเหมือนกันทุกประการกับ ‘ขนมเต่าแป้ง’* ซึ่งเป็นขนมที่นิยมทำกันแถบหมิ่นหนาน คงคิดสินะว่านางจับไม่ได้ไล่ไม่ทันว่าเขาจงใจล้อเลียนรูปร่างอวบอ้วนของนาง
เท่ากับว่านางเป็นผู้คิดค้นอาหารเลิศรสชนิดนี้ขึ้นมาเชียวนะ หึ!
“เสียสติไปแล้วหรือ” คิ้วดกหนาเลิกสูงขึ้น
“ท่านสิเสียสติ! เสียสติกันทั้งตระกูล…” ต่อเมื่อโพล่งไปเช่นนั้น นางถึงเพิ่งตระหนักว่าตนเองพูดอะไรออกไป “เอ่อ…”
รอบตัวเงียบกริบ อวี้เหลียงที่ยกเนื้อแพะหมักเต้าเจี้ยวเผ็ดออกมามองนางอย่างตกตะลึงสุดขีด ราวกับว่ามีเขางอกขึ้นมาบนหัวนางซ้ำยังมีดอกไม้บานอยู่ตรงปลายเขาก็ไม่ปาน
“เถ้าแก่เนี้ยอวี้” เยียนชิงหลางเอ่ยเรียกช้าๆ ด้วยแววตาเคร่งเครียด
“ตายจริง ท่านแม่ทัพใหญ่ เชิญเจ้าค่ะ เชิญ อาหารมาแล้ว!” เด็กสาวสะดุ้งเฮือก โดยไม่รอให้เขาพูดอะไรต่อก็รีบแยกจานเนื้อแพะในมือน้องชายมาวางบนโต๊ะอย่างประจบเอาใจ ขาดแต่ยังไม่ได้เห่า ‘โฮ่งๆ’ ออกมาด้วยเท่านั้น “หากขาดรสใดหรือร้านเรารับรองได้ไม่ดีอย่างไรก็เชิญบอกได้เลยนะเจ้าคะ ท่านร้อนหรือไม่ เสี่ยวเหลียงรีบมาพัดให้ท่านแม่ทัพใหญ่เร็วเข้า โจ๊กวันนี้รสชาติไม่เลวนะเจ้าคะ ท่านจะสั่งมากินสักชามไหม”
ฮือๆ…ข้าน้อยผิดไปแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่ช่วยเลิกจ้องข้าน้อยด้วยสายตาดุดันชวนสะท้านเช่นนั้นได้หรือไม่
แม่ทัพหนุ่มนิสัยเคร่งเครียดจริงจังที่กำลังเดือดจัดถอนดวงตาสีดำสนิทคาดเดาความรู้สึกยากของตนออกมาช้าๆ แล้วหลุบลงมองแผ่นแป้งย่างสีน้ำตาลทองกับเนื้อแพะแทน มือใหญ่เรียวสวยหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อแพะเข้าปากเป็นอันดับแรก
“…เค็ม” เขาวิจารณ์ตามตรง
“นั่นสิขอรับ ข้าก็ว่าเค็มไปหน่อย แต่พี่ใหญ่บอกว่าต้องทำให้เค็มเข้าไว้ ลูกค้าจะได้สั่งแป้งเพิ่มเยอะๆ แม้แต่สุราก็จะขายดีขึ้นด้วย…อื้อ!” อยู่ๆ หมั่นโถวทั้งลูกก็ยัดเข้ามาในปากเด็กชายจนเขาแทบสำลักตาย
“อย่างนี้นี่เอง” เยียนชิงหลางปรายตามองเด็กสาวที่รีบเอามือไพล่หลังอย่างทันท่วงที
“เข้าใจผิดแล้วๆ นี่เป็นแค่การเข้าใจผิดเท่านั้น ฮ่าๆ” นางหัวเราะแห้งๆ “วันนี้ตอนเคี่ยวน้ำปรุงรสข้าเผลอใส่เกลือหนักมือไปหน่อยต่างหาก แต่คราวหน้าจะปรับปรุง จะต้องปรับปรุงแน่นอน”
เยียนชิงหลางวางตะเกียบลงโดยไม่กล่าวอะไร แล้วหยิบแผ่นแป้งมาม้วน กัดกินช้าๆ คำหนึ่ง
เรื่องอะไรเถ้าแก่เนี้ยอย่างนางต้องโดนลงโทษให้ยืนเป็นเพื่อนระหว่างท่านแม่ทัพใหญ่กินข้าวด้วยล่ะนี่
ที่ยิ่งไปกว่านั้นเขารังเกียจเนื้อแพะหมักเต้าเจี้ยวเผ็ดที่ทุกคนชมเปาะเป็นเสียงเดียวกันของนางมากเลยหรือ ถึงกับยอมกินแต่แป้งไม่แตะเนื้อ แบบนี้ไม่เท่ากับผิดต่อแพะที่พลีชีพเพื่อมนุษย์หรือไร
อวี้หมี่เดือดปุดๆ อยู่ในใจ แต่ไม่กล้าปริปากพูดออกมา ได้แต่ยืนประสานมือค้อมไหล่ รอฟัง ‘คำวิจารณ์’ จากท่านแม่ทัพใหญ่
“อืม” เพียงครู่เดียวเขาก็กินแผ่นแป้งหมด แล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าสีดำจากในอกเสื้อออกมาเช็ดปาก
อืม? อืมอะไร แล้วอย่างไรต่อ
นางมองชายหนุ่มอย่างกระวนกระวาย
เยียนชิงหลางเหลือบตาขึ้นมองสีหน้าซับซ้อนของนางที่มีทั้งความยำเกรง ความขุ่นใจ และการรอคอย ประกายประหลาดวาบขึ้นในดวงตาคม เขาลุกขึ้น วางเงินค่าอาหารลงบนโต๊ะ แล้วเอามือไพล่หลังเดินไปทางประตูหน้าร้าน
เอ๋? แค่นี้เอง? หมดแล้วหรือ เหตุใดวันนี้ถึงได้ดีผิดปกติกันนะ ไม่มีคำวิจารณ์จัดจ้าน ไม่ติโน่นตินี่…ฝนจะตกลงมาเป็นสีแดงหรืออย่างไรกัน
“น้อมส่งท่านแม่ทัพใหญ่ ค่อยๆ เดินนะเจ้าคะ…” นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาเป็นประกายด้วยความปรีดา
หลังก้าวท่อนขายาวแข็งแรงข้ามธรณีประตูไปแล้ว เยียนชิงหลางก็หันมาพูดทิ้งท้ายเนิบๆ “พรุ่งนี้ข้าจะมากินปลา”
ในหัวอวี้หมี่ราวกับมีเสียงระเบิด พวงแก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ นางมองคนพูดปากอ้าตาค้าง ขณะถามอุบอิบอย่างร้อนตัว “ปะ…ปลา?”
เขารู้ได้อย่างไร…รู้ได้อย่างไรกัน!