ทดลองอ่าน ลวงล่อแม่ทัพไม่มาเยือน ชุด กระตุกหนวดแม่ทัพ – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

14 วัน 14 เรื่อง

ทดลองอ่าน ลวงล่อแม่ทัพไม่มาเยือน ชุด กระตุกหนวดแม่ทัพ

แม่ทัพหนุ่มเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ประกายบางอย่างวาบขึ้นในนัยน์ตาสุขุม ก่อนจะสำทับอีกครั้ง “อย่าลืมล่ะ พรุ่งนี้” จากนั้นก็เดินตัวตรงราวกับต้นสนจากไปอย่างสง่างาม

“ค่ายทหารขาดแคลนหน่วยอาลักษณ์บ้างหรือไม่ขอรับ ข้าน้อยยินดีวางมีดทำครัวทิ้งพู่กันไปเข้ากองทัพแทนนะขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่…”

ในที่สุดอวี้เหลียงก็แงะหมั่นโถวออกจากปากสำเร็จ แต่กว่าจะตะลีตะลานตามไปก็สายเกินการณ์

“เขารู้แล้ว เขาต้องรู้แล้วแน่ๆ นึกอยู่แล้วเชียว ไม่มีอะไรบนโลกที่ได้มาสบายๆ คนจวนแม่ทัพจะรับสินบนง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไรกัน…” อวี้หมี่นั่งยองๆ ใช้นิ้ววาดวงกลมบนพื้น ใบหน้ากลมป้อมฉายแววเจ็บปวด “เขาจงใจวางกับดักให้ข้าได้อายต่างหาก…ปลาของข้า ปลาที่ข้าอุตส่าห์หมักเกลือไว้ดิบดี…”

ภายใต้เสียงครวญครางของนาง แม้แต่โคมไฟที่แขวนเอาไว้หน้าร้านยังเหมือนจะสั่นสะท้านอยู่หลายครั้งไปด้วย

เยียนชิงหลางขี่อาชาพันลี้ล่าเมฆาพุ่งทะยานไปที่ค่ายทหารดุจลูกธนู รอยยิ้มบางๆ ปรากฏให้เห็นตรงมุมปากในที่สุด

อืม วันนี้อากาศไม่เลวจริงๆ

 

ยามพลบค่ำ

หลังจากแวะมานั่งพักขา จิบสุรา ขบเคี้ยวของว่าง นักเดินทางระลอกสุดท้ายก็กลับเข้าเมือง งานอันเหน็ดเหนื่อยในวันนี้ของอวี้หมี่กับน้องชายสิ้นสุดลงเสียที สองพี่น้องช่วยกันเช็ดโต๊ะ ถูพื้น ปิดประตูร้าน

แต่ถึงอวี้เหลียงจะได้พัก อวี้หมี่ก็ต้องเข้าครัวไปนวดแป้ง ปั้นแป้ง ผสมไส้ หมักเนื้อ เตรียมรับมือกับลูกค้าที่จะมาอุดหนุนแต่เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น

ร่างกลมเตี้ยสาละวนอยู่ในห้องครัว เหงื่อไหลโซมกาย กว่าจะเสร็จหมดทุกอย่างก็ยามซวี* นางผัดหมี่เหลือง ทำผักคลุกน้ำมันงากินเป็นอาหารเย็นด้วยกันกับน้องชาย

เฮ้อ…ที่น่าปวดใจเป็นอย่างยิ่งก็คือทั้งที่นางทำงานหนักราวกับอูฐ แต่ก็ยังมีรูปร่างอวบอย่างนี้ไม่เคยเปลี่ยน ตรงไหนที่ควรผอมก็ไม่ยอมผอมลงเลย

หลังจากบะหมี่น้ำชามใหญ่ลงไปอยู่ในท้อง อวี้หมี่ไม่ลืมที่จะบีบพุงนิ่มๆ ที่นูนออกมาเล็กน้อยของตนเองแล้วถอนหายใจเฮือก “ดวงหน้างามแฉล้มดุจจานหยกน่ะมีอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรถึงจะมีเอวคอดกิ่วได้บ้างล่ะ…นี่! สายตาเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร”

“พี่ใหญ่ ท่าน…” อวี้เหลียงยังมีอาหารคาอยู่ในปาก ขณะมองพี่สาวอย่างตกตะลึงจังงังเหมือนไม่เชื่อสายตา “เคยเรียนหนังสือมาเหมือนกันหรือนี่”

“พูดโง่ๆ แบบฝึกคัดอักษรที่เจ้าใช้ตอนเด็กๆ น่ะ ข้าเป็นคนเขียนทั้งนั้นแหละ” นางค้อนน้องชายวงใหญ่อย่างไม่สบอารมณ์ “ถึงท่านพ่อท่านแม่จะไม่เชี่ยวชาญในเชิงอักษรศิลป์ แต่ก็พอมีความรู้อยู่บ้าง ข้าเป็นลูกสาวคนสำคัญของพวกท่าน เลยเติบโตมากับอักษรและน้ำหมึกตั้งแต่เด็ก หากไม่เพราะ…เฮ้อ…กล่าวกันว่าพี่สาวเสมือนมารดา ดูถูกพี่สาวตนเองระวังจะถูกฟ้าผ่าเอา รู้หรือไม่”

“ในเมื่อพี่ใหญ่ก็รู้ว่าการศึกษาเป็นวิถีของวิญญูชน เช่นนี้เหตุใดเราไม่ยึดถือเจตนารมณ์ของท่านพ่อท่านแม่ วางมีดจับพู่กันเปิดสำนักศึกษาอบรมบ่มเพาะปัญญาชนแทนเล่า” อวี้เหลียงไม่สนใจบะหมี่อีกแล้ว เขาพูดพลางมองนางอย่างคาดหวัง

“ไม่เคยได้ยินที่คนเขาว่า ‘อาจารย์ยากจนเท่ากับผีอดตาย’ หรือไร” นางแค่นหัวเราะทีหนึ่ง แล้วพูดเสียงห้วน “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเรามีความรู้แค่น้อยนิดหรอก แต่นี่มันชายแดนที่ผู้คนยังชีพด้วยการเลี้ยงแพะและล่าสัตว์ พวกเด็กๆ ต้องออกไปคอยต้อนแพะ ต่อให้หาเด็กที่ไม่ต้องทำงานเพราะบ้านพอจะมีฐานะได้ สำนักศึกษาที่ไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนในเมืองก็แย่งเด็กไปหมดแล้ว พวกเราจะเปิดสำนักศึกษามาอ้าปากกินลมหรือไร”

อวี้เหลียงถูกเอ็ดจนตัวหด กะพริบตาปริบๆ อย่างไร้ความผิด ดูน่าสงสารเป็นกำลัง ขณะเอ่ยแย้งเบาๆ “พวกเราย้ายกลับเมืองหลวงก็ได้นี่ ท่านเคยบอกว่าบ้านเดิมของพวกเราอยู่ในเมืองหลวงไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องมาลำบากลำบนอยู่ในที่กันดารห่างไกลไปทั้งชีวิตด้วย…”

“อวี้เหลียง!” เด็กสาวหน้าตึงทันควัน มองน้องชายด้วยดวงตาเป็นประกายกร้าว “ลืมแล้วหรือว่าก่อนท่านพ่อท่านแม่จะจากไปได้สั่งเสียไว้ว่าอย่างไร”

ดวงหน้าหมดจดของผู้เป็นน้องซีดเผือดไปทันที ก่อนจะส่งเสียงเรียก “พี่ใหญ่…”

นางหน้าเครียด มือจับตะเกียบแน่นจนข้อนิ้วขาว ขณะกัดฟันพูดออกมาทีละคำ “ก่อนท่านพ่อท่านแม่จะจากไปได้สั่งให้พวกเราสองพี่น้องไปให้ไกลจากเมืองหลวงตลอดชีวิต แล้วหาที่ตั้งรกรากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข อย่าได้กลัวความยากลำบาก ต้องคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน หรือว่าเจ้าลืมไปจนหมดสิ้นแล้ว!”

“ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปจะไม่เอ่ยถึงอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเมืองหลวงขึ้นมาเป็นอันขาด พี่ใหญ่ อย่าโมโหไปเลยนะ ข้าไม่ดีเอง” เด็กชายขอบตาแดงเรื่อ นึกตำหนิตนเองด้วยความละอายใจ “ข้าขอโทษ”

“เสี่ยวเหลียง” อวี้หมี่ตีบตันในลำคอ นางสูดหายใจเข้าลึกแล้วปรับเสียงให้อ่อนลง “พี่รู้ว่าลูกผู้ชายย่อมมีปณิธานยิ่งใหญ่ ให้เจ้าวิ่งวุ่นทำงานอยู่แต่ในร้านเป็นการละเลยความสามารถของเจ้า พี่สัญญาว่าไว้ให้ฐานะบ้านเรามั่นคงขึ้นอีกนิด พวกเราค่อยมาคิดวางแผนย้ายไปอยู่ทางใต้กัน เจียงหนานขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งศาสตร์ศิลป์ เจ้าชอบเรียนหนังสือ พี่จะเรียนหนังสือที่นั่นเป็นเพื่อนเจ้า หาวิชาความรู้ใส่ตัว ต่อไปหากเจ้าอยากเป็นอาจารย์สอนหนังสือ พี่ก็จะช่วยเจ้า”

“ฮือๆ พี่ใหญ่ เป็นเพราะเสี่ยวเหลียงไม่รู้ความ พลอยทำให้ท่านลำบาก ทำให้ท่านกังวลไปด้วย…” อวี้เหลียงร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหว

“เด็กโง่ หากกลัวว่าเจ้าจะมาทำให้พี่ลำบาก พี่คงทิ้งเจ้าไว้กลางทางตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว” นางล้วงผ้าเช็ดหน้าฝ้ายออกมาซับน้ำตาให้เขาแล้วแสร้งทำเสียงร่าเริง “อย่าร้องน่า ถ้าใครมาเห็นเข้าก็นึกว่าพี่สาวหมี่ร้านริมทางปิดร้านทีไรเป็นต้องทุบตีน้องชายทุกทีหรอก”

ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะทั้งน้ำตา แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าลวกๆ ด้วยความกระดาก “อืมๆ”

“ต่อไปต้องว่านอนสอนง่ายรู้หรือไม่ รับรองว่าพี่ต้องดูแลเจ้าเป็นอย่างดีแน่” นางลูบหัวน้องชายเบาๆ

“อืม เสี่ยวเหลียงจะฟังพี่ใหญ่ทุกอย่าง”

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in 14 วัน 14 เรื่อง

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com