ณ ด้านนอก บรรดาลูกค้าที่ปกติจะมานั่งกินสุรากินเนื้อพลางส่งเสียงเอะอะมะเทิ่ง เวลานี้พากันทำหน้าแดงเรื่อ สายตาที่มองไปทางเยียนชิงหลางเต็มไปด้วยความเลื่อมใสบูชาแบบปิดไม่มิด ราวกับว่าหายหิวไปโดยสิ้นเชิง เพราะแค่มองท่านแม่ทัพเยียนผู้องอาจสง่างามประดุจเทพสวรรค์อย่างเดียวก็อิ่มแล้ว
“คารวะท่านแม่ทัพใหญ่!”
“คารวะท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยคืออู๋เหล่าปาน พลธงสังกัดกองพลพยัคฆ์สมัยที่ท่านไปปราบกองโจรเขาเฮยซาน ไม่ได้เห็นมาหลายปี ท่านแม่ทัพใหญ่ยังองอาจสง่างามไม่ด้อยไปกว่าตอนนั้นเลย”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านเป็นขวัญกำลังใจของชายแดนตะวันออกเรา ขอเพียงมีท่านอยู่ พวกเราชาวบ้านแถบนี้ก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
“นั่นน่ะสิๆ โชคดีจริงๆ ที่ได้ท่านแม่ทัพใหญ่มารักษาชายแดนตะวันออก คอยปกป้องคุ้มครองราษฎร นำกองทัพพิทักษ์บูรพาออกศึกแล้วได้ชัยชนะกลับมานับครั้งไม่ถ้วน ขับไล่ไอ้พวกคนถ่อยจากแคว้นต้าสือเสียจนเบาเรี่ยเบาเล็ด ภายหลังจึงไม่มีใครกล้ารุกรานอาณาเขตชายแดนตะวันออกเราอีกเลย ไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่มีชีวิตสุขสงบเช่นนี้หรอก”
“ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดรับการคำนับจากพวกเราด้วย!”
“ชาวบ้านทุกท่านโปรดอย่าได้ทำเช่นนี้ ตัวข้าเป็นแม่ทัพ ก็แค่ทำตามหน้าที่ที่ควรทำเท่านั้น” ใบหน้าคมคายของแม่ทัพหนุ่มฉายแววตื้นตันแวบหนึ่ง ขณะรีบร้องห้ามกลุ่มคนที่ทำท่าจะคุกเข่าคำนับด้วยความซาบซึ้ง “การทำศึกพิทักษ์ดินแดนปกป้องประชาราษฎร์หลายปีที่ผ่านมาล้วนอาศัยทหารกล้าผู้ไม่เกรงกลัวความตายแห่งชายแดนตะวันออกทั้งสิ้น วีรบุรุษที่แท้จริงคือพวกเขาต่างหาก”
“หากไม่เพราะท่านแม่ทัพวางแผนการศึกได้แยบยลซ้ำยังนำทัพออกศึกแนวหน้าด้วยตนเองทุกครั้ง มีหรือจะขับไล่โจรถ่อยแคว้นต้าสือออกจากชายแดนตะวันออกได้เร็วถึงเพียงนี้…”
“จริงด้วยๆ ลูกชายข้าอยู่ในกองพลพยัคฆ์ใต้ร่มธงท่านแม่ทัพใหญ่ หากไม่เพราะท่านแม่ทัพรู้จักใช้คน ส่งเสริมคนมีความสามารถ ลูกชายข้าคงไม่ได้สร้างผลงานจนได้กินตำแหน่งนายกองร้อย เชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูลตั้งแต่อายุน้อยๆ เท่านี้หรอก ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านเป็นผู้มีคุณของสกุลหูเรานะขอรับ!”
“ที่แท้ผู้อาวุโสก็เป็นพ่อของหูเซียวนี่เอง” รอยยิ้มบางๆ ปรากฏอยู่ในแววตาเยียนชิงหลาง “หูเซียวเป็นเด็กเก่ง ไม่กลัวลำบาก เวลาฝึกทหารก็จริงจังกว่าทุกคน เป็นเพราะได้เชื้อสายที่ดีของสกุลหู และเพราะผู้อาวุโสอบรมสั่งสอนมาดี”
“มิได้ๆ เป็นเพราะท่านแม่ทัพไม่รังเกียจเดียดฉันท์เซียวจื่อของเรา เป็นเพราะท่านยอมขัดเกลาเขาต่างหาก…”
อวี้หมี่ถือหม้อปลาเค็มตุ๋นหมูสามชั้นกับเต้าหู้ยืนเงียบอยู่ตรงมุมห้อง
แววตานางนุ่มนวลขึ้นโดยไม่รู้ตัว กระแสธารอุ่นๆ ที่ไม่รู้จักชื่อไหลอวลอยู่ในอก
บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้เงียบขรึมยังมีท่าทางเฉยชาเหมือนปกติ แต่เวลาพูดคุยกับชาวบ้านกลับดูอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก ไม่วางท่าข่มเขื่องแบบแม่ทัพใหญ่แม้แต่นิดเดียว
“เฮ้อ…ช่างเถิด” นางก้มลงมองเนื้อปลาในหม้อที่ตุ๋นจนมันเงาน่ากินแล้วบ่นงึมงำ “ถือเสียว่าเลี้ยงกองทัพก็แล้วกัน”
ในที่สุดกลุ่มคนที่ส่งเสียงอึกทึกจอแจก็หักใจยอมเอ่ยลาแม่ทัพใหญ่ที่นานๆ จะปรากฏตัวสักที เพียงพริบตาเดียวก็เหลือเพียงเยียนชิงหลางกับอวี้หมี่ที่ยืนถือหม้ออยู่นานถึงค่อยนำเข้าไปข้างใน
“เชิญเจ้าค่ะท่านแม่ทัพใหญ่” นางวางหม้อดินเผาลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ไม่ได้ทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันหรือฮึดฮัดอย่างที่เขาคิดภาพเอาไว้แม้แต่น้อย
ดวงตาของเยียนชิงหลางส่องประกายประหลาด ก่อนจะมองอาหารเลิศรสตรงหน้าที่ส่งกลิ่นหอมฉุยมาแตะจมูก
ปลาเค็ม หมูสามชั้น เต้าหู้ เป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย แต่กลับเข้ากันได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ซ้ำยังหั่นมาเป็นชิ้นโตๆ…สมกับเป็นแม่นางอวี้ เถ้าแก่เนี้ยร้านริมทางผู้โผงผางไม่กลัวใครจริงๆ
“กินเจ้านี่ต้องกินกับข้าวขาวถึงจะอร่อย” ไม่รู้ว่าอวี้หมี่ไปเสกข้าวชามโตมาจากไหน เม็ดข้าวขาวเป็นประกายราวกับหิมะ อวลกลิ่นหอมกรุ่นของธัญพืชใหม่ นางวางชามข้าวลงข้างหม้อดิน ความระแวดระวังและความหงุดหงิดที่มีต่อเขาถูกความกระตือรือร้นที่จะแนะนำอาหารจานเด็ดกลบลงชั่วคราว “ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าของจวนแม่ทัพเป็นคนเจียงหนาน ดังนั้นแม้คนจวนเยียนกั๋วกงจะเป็นคนทางเหนือ แต่ก็กินอาหารทางใต้ เชื่อว่าข้าวขาวชั้นดีจากหังโจวชามนี้จะต้องถูกปากท่านแน่”
มือที่ถือตะเกียบของเขาชะงักไปเล็กน้อย ความอ่อนโยนบางๆ สะท้อนอยู่ในดวงตาจนแทบมองไม่เห็น เรียวปากหยักมุมขึ้นนิดๆ เด็กสาวตาพร่าไปวูบหนึ่ง แล้วมั่นใจอีกครั้งว่าภาพที่ตนเหลือบไปเห็นเมื่อครู่จะต้องเป็นภาพหลอน จะต้องเป็นภาพหลอนแน่ๆ!