บทที่สอง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายังมืดขมุกขมัว อวี้หมี่ก็สะพายห่อสัมภาระขนาดใหญ่ที่อัดแน่นจนเหมือนจะแตกทะลักได้ทุกเมื่อ ยืน ‘ลาตาย’ กับน้องชายท่ามกลางลมหนาวพัดหวีดหวิว
“ฮือๆ”
“เสี่ยวเหลียง อย่าร้องสิ ร้องมาทั้งคืนแล้ว เจ้าร้องไม่เหนื่อย แต่ข้าฟังจนเหนื่อย” นางถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วอดจะปวดแปลบในใจไม่ได้ จากนั้นก็ตบไหล่ที่กระเพื่อมเพราะแรงสะอื้นของน้องชายเบาๆ “แค่เดือนเดียวเอง พอครบหนึ่งเดือนเมื่อไร พี่ก็จะกลับมา อีกอย่างนะ ตัวพี่อยู่ทางโน้น แต่ใจพี่อยู่ทางนี้ พี่จะนึกถึงเจ้าตลอดเวลา”
“ฮือๆ” เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือเขาไม่อยากรับมือกับเหล่าชายฉกรรจ์ท้องหิวเหมือนตั๊กแตนลงทุ่งพวกนั้นคนเดียวต่างหาก…
อวี้หมี่มองน้องชายอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า อดจะสองจิตสองใจขึ้นมาไม่ได้
พายุทรายมืดฟ้ามัวดินก่อตัวขึ้นตรงขอบฟ้าไม่ไกลนัก แล้วพัดเข้ามาพร้อมเสียงฟ้าร้องครืนๆ ชวนให้อกสั่นขวัญผวาอย่างยิ่งในความมืดสลัวยามเช้าเช่นนี้
“พายุทรายมา! รีบเก็บเสื้อผ้าเร็วเข้า…ไม่สิ ต้องรีบเข้าไปหลบในบ้านต่างหาก!” นางรีบร้องสั่งเมื่อเห็นท่าไม่ดี
“อือ” อวี้เหลียงเอามือกุมหัววิ่งลนลานกลับเข้าไปในร้าน แต่แล้วก็ฉุกใจขึ้นมาได้ “พี่ใหญ่ ดูเหมือนจะไม่ใช่พายุทรายนะ ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าม้า”
“เฮ้อ…เจ้าร้องไห้จนเลอะเลือนไปแล้วหรือไร เสียงฝีเท้าม้าจะดังครืนๆ เหมือนเสียงฟ้าร้องได้อย่างไรเล่า…” พูดมาถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน จึงได้หรี่ตาเพ่งมองไป กลีบปากเล็กชุ่มชื้นอ้ากว้างทันที “หา?”
ที่ตรงเข้ามาคือม้า พูดให้ชัดคือม้าลักษณะดีรูปร่างสูงใหญ่กว่าม้าทั่วไปตัวหนึ่งที่ถูกใช้ให้ลดตัวมาลากรถม้าทำจากไม้ต้นถง* ดูเรียบง่ายสมถะทว่าคงทนแข็งแรงอย่างยิ่ง คนบังคับรถม้าคือชายผิวเข้มท่าทางองอาจห้าวหาญ นัยน์ตาเป็นประกายคมกริบ ทั้งที่มีแค่คนหนึ่งคนกับม้าหนึ่งตัว แต่กลับดูทรงอำนาจน่าเกรงขามดุจล่ามโยงม้าศึกและทหารหาญหมื่นพันวิ่งออกมาจากคมดาบคมกระบี่กลางทะเลทราย!
ทะเลทราย ม้าศึกและทหาร…เหตุใดคำที่ผุดขึ้นมาในหัวนางไม่ชอบมาพากลทั้งนั้นเลย
อย่าบอกนะว่า…
คนบังคับรถม้าแค่ดึงบังเหียนเบาๆ ไม่ได้ทำอะไรอื่น รถม้าที่กำลังห้อตะบึงก็หยุดสนิทลงตรงหน้านางทันที อวี้หมี่ยังไม่ทันได้สติก็พบว่าตนเองกำลังตาจ้องตากับม้าตัวเขื่อง…นี่ภาพลวงตากระมัง เหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าเจ้าม้าดำขยิบดวงตากลมโตของมันสองครั้งอย่างกรุ้มกริ่มกันล่ะ
“เอ่อ…” นี่มันอะไรกัน…
“ข้าน้อยเหอหย่ง รับคำบัญชาจากท่านแม่ทัพใหญ่ให้มาคุมตัว…แค่ก…มารับเถ้าแก่เนี้ยอวี้ไปที่จวน” เหอหย่งประสานมือคำนับพลางพูดเสียงก้อง
ใบหน้ากลมป้อมของเด็กสาวบึ้งตึงทันตา
“ต้องขอบคุณท่านแม่ทัพใหญ่มาก” นึกว่านางไม่ได้ยินคำว่า ‘คุมตัว’ อย่างนั้นหรือ
“เชิญ” ขนาดนางแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้าอย่างโจ่งแจ้ง เหอหย่งยังไม่แยแส หน้าไม่แดง ลมหายใจไม่ติดขัด ไม่เลิกคิ้ว เคร่งขรึมเยือกเย็นสมเป็นคนหนุ่มใต้การปกครองของกองทัพสกุลเยียนโดยแท้
นางขมุบขมิบปากด่า ก่อนก้าวขึ้นรถม้ายังไม่ลืมส่งสายตาพิฆาตที่อัดแน่นด้วยจิตสังหารไปให้ เหอหย่งไม่ยักถูกข่มขวัญ กลับเป็นน้องชายตนเองที่ตกใจลนลานแทน
“พี่ใหญ่…เข้าไปอยู่ในจวนแม่ทัพ…จะพูดจะทำอะไรต้องระวังให้ดีนะ…” อวี้เหลียงเกาะขอบรถม้าแน่น มองนางตาละห้อย ก้อนสะอื้นแทบจุกคอ น้ำตานองไหลหลั่ง “และก็…อย่าลืมน้องคนนี้เล่า”
“เสี่ยวเหลียง ฝากดูแลร้านด้วยนะ” อวี้หมี่ตบบ่าน้องชายอย่างเข้มแข็ง “ร้องไห้ไปไยกัน ไม่เป็นไรน่า ไว้พี่กำราบเตาไฟจวนแม่ทัพเรียบร้อยก็จะกลับมา!”
“ฮือๆๆๆ”
เหอหย่งมองเงียบๆ อยู่อีกด้าน รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
คนหนึ่งอารมณ์อ่อนไหวเหลือแสน ส่วนอีกคนก็ความรู้สึกทื่อเหมือนไร้หัวใจ พี่น้องคู่นี้สมกับ ‘ความพิเศษไร้ใดเทียบในชายแดนตะวันออก’ จริงๆ
แต่พอคิดถึงเหตุการณ์ประหลาดที่ท่านแม่ทัพใหญ่กำชับกำชาเขาอย่างผิดปกติวิสัยก่อนออกมา…
คิ้วดกหนาของแม่ทัพเยียนผู้สุขุมเคร่งขรึมไม่ขยับ หากแต่ดวงตาสีดำสนิทดุจหมึกไม่มีประกายคมกริบเหมือนทุกที กลับฉายแววตื่นเต้นอย่างหาได้ยาก…หรือควรต้องบอกว่าเป็นความสนุกแบบร้ายกาจ หรือว่าอาจจะกำลังรอคอย…
สรุปว่าเหอหย่งเห็นแล้วขนสันหลังลุกเกรียวอย่างไม่มีสาเหตุ
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสงสารเวทนาแม่นางน้อยที่นั่งอยู่ในรถม้าขึ้นมา ที่นางมองโลกในแง่ดี ไม่ได้ล่วงรู้สักนิดว่าหนทางเบื้องหน้ามีแต่ความมืดมิด…
แม่นางผู้น่าสงสารไปทำอะไรให้ท่านแม่ทัพใหญ่ผู้องอาจสง่าดุจเทพสงครามของพวกเขาโกรธเข้านะ