บทนำ
‘งานเลี้ยงวสันต์บุปผาพรรณแดงเขียว
งามสะพรั่งจริงเชียวโปะแป้งหนา
ภรรยาผู้ใดพิงประตูตั้งตารอ
สามีใครหนอไม่ยอมกลับเรือน’
บทกวีไร้ชื่อผู้แต่งถูกเขียนลงบนผนังหอสุรา ผู้คนที่มาร่ำสุราหาความสำราญที่นี่ มีไม่กี่คนที่จะสังเกตเห็นบทกวีไร้นามบนพื้นที่เล็กๆ นี้ เนื่องจากบนผนังของหอสุรานี้เต็มไปด้วยบทกวีที่นักดื่มขาจรขีดเขียนเอาไว้ยามเมามาย
กลอนบทสั้นๆ อยู่ท่ามกลางบทกลอนมากมาย ยากที่จะดึงดูดความสนใจจากนักดื่มจริงๆ โดยเฉพาะนักเลงสุราที่ดื่มสุราแล้วดวงตาทั้งคู่ล่องลอย ทว่าในตอนนี้กลับมีนักเลงสุราหนวดเฟิ้มรายหนึ่งกอดไหสุราพลางจ้องบทกวีไร้นามบทนั้นด้วยความสนอกสนใจ
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขานั่งอยู่หน้าบทกวีไร้ชื่อนี่พอดี ใครใช้ให้เขามาดื่มสุราที่นี่เพียงลำพัง ใครใช้ให้เขาเป็นนักเลงสุราตัวฉกาจที่ดื่มพันจอกก็ไม่รู้จักเมา และได้แต่จ้องมองมันในสถานการณ์ที่กำลังเบื่อหน่ายสุดขีดนี้กันเล่า
คนที่เขียนกลอนบทนี้ลายมืองดงามยิ่งนัก กอปรกับความหมายเหน็บแนมเล็กน้อยระหว่างบรรทัดตัวอักษร แค่มองก็รู้ว่าคนเขียนคือสตรี แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดตอนนั้นนางจึงมาที่หอสุราแล้วหยิบพู่กันเขียนบทกวีไร้นามบทนี้
นางออกเรือนแล้วหรือ หรือมาตามสามีที่ไม่กลับบ้านที่นี่ เขาคาดเดาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มกรอกเหล้าอีกอึกหนึ่งด้วยท่าทางโงนเงน เขากำลังจ้องกลอนบทนั้น รู้สึกว่า…สตรีที่มีความสามารถในการประพันธ์มากไปก็ไม่ดี อย่างพี่สาวคนโตของเขาที่คล้ายบุรุษ อย่างพี่สะใภ้ใหญ่ของเขาที่เป็นคนอารมณ์ร้อน ถ้าหากไม่ได้แต่งกับสามีที่เหมาะสมกัน ก็จะกลายเป็นหญิงเก่งกาจคู่กับสามีไม่เอาไหน ยากที่จะได้ครองคู่กันอย่างราบรื่นกระมัง
เฮ้อ เขาคงจะเบื่อมากเกินไป เป็นถึงบุรุษร่างสูงใหญ่แต่กลับคิดฟุ้งซ่านกับกลอนไร้ชื่อบทนั้นขึ้นมาได้ ช่างน่าเศร้าโดยแท้
ชายหนุ่มกรอกสุราอีกอึกหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง สายตาของเขาย้ายไปอยู่นอกรั้วของหอสุรา มองดูผู้คนคับคั่งบนท้องถนนข้างล่างที่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาว รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล จากจงหยวนไปสิบกว่าปี เมืองหยางโจวแห่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เพียงแต่อยู่ซีอวี้ มานมนาน จู่ๆ พอกลับมาทางใต้ที่อากาศอบอุ่นเป็นมิตรกับผู้คน เขาก็รู้สึกปรับตัวยังไม่ได้อยู่บ้าง
เขาอยากจะกรอกสุราอีกอึก แต่กลับพบว่าไหสุราว่างเปล่า เพิ่งจะเงยหน้าขึ้นเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้เอาสุรามาให้ ก็เห็นบ่าวรับใช้สกุลจั้นขึ้นชั้นสองเดินมาทางนี้ เขาถอนหายใจเบาๆ ได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะสั่งสุรามาอีกไปเสีย
“คุณชายขอรับ ฮูหยินส่งพวกเรามารับท่าน”
เฮ้อ รู้อยู่แล้วว่าขอเพียงก้าวเข้ามาในเมืองหยางโจวก็คงหลบไม่พ้นสายตานาง
เขาหัวเราะขมขื่นอย่างไร้เสียง รู้ว่าไม่อาจจะยืดเวลาต่อไป จึงจำต้องลุกขึ้นอย่างยอมรับชะตากรรม โยนไหสุราให้คนหนึ่งในนั้น จากนั้นก็บิดขี้เกียจแล้วหาวหนึ่งที สางหนวดครึ้มที่เต็มไปด้วยฝุ่นและทรายอย่างซึมกะทือพลางเดินลงไปข้างล่าง
ตอนที่เขาเดินผ่านโต๊ะรับเงิน จู่ๆ ก็หยุดชะงัก หันกลับไปบอกผู้ติดตามข้างหลังที่อุ้มไหสุรามาด้วย
“เจ้าชื่ออะไร”
“เรียนคุณชาย ข้าแซ่หลัว ชื่ออัน พี่น้องท่านนี้แซ่ติง ชื่อเอ้อร์ ท่านเรียกข้าว่าหลัวอัน เรียกเขาว่าติงเอ้อร์ก็ได้ขอรับ” บ่าวรับใช้พยักหน้า รีบเข้ามาแจ้งชื่อ
“เอาล่ะ น้องหลัว ตอนที่จ่ายเงินก็ช่วยเอาเหล้ากลับไปให้ข้าไหหนึ่งด้วย”
“คุณชายจะดื่มเหล้าอะไรขอรับ”
“ไม่รู้ว่าพวกเขามีเหล้าเจี้ยนหนานเซาชุน หรือไม่ ถ้าหากไม่มี เอาเซ่าซิง มาก็ได้” เขาสั่งเสร็จแล้วก็ทักทายบ่าวรับใช้อีกคน แต่กลับนึกชื่ออีกฝ่ายไม่ออกไปชั่วขณะ “ติง…”
“ติงเอ้อร์ขอรับ” บ่าวรับใช้อีกคนรีบย้ำชื่อแซ่ตัวเอง
“ติงเอ้อร์ เจ้านำทางสิ ข้าไม่รู้ว่าสมาคมสกุลจั้นอยู่ที่ใด”
“ขอรับ” ติงเอ้อร์ได้ยินดังนั้นก็พาเขาไปขึ้นรถม้าที่รออยู่ข้างนอกนานแล้ว
เมื่อเดินมาถึงรถม้า ติงเอ้อร์ก็ค้อมกายบอก
“คุณชาย เชิญขึ้นรถขอรับ”
อื้ม นี่ข้าไม่ได้นั่งรถม้ามาหลายปีแล้วนะเนี่ย!
มองรถม้าที่แม้จะเรียบง่ายและดูหยาบๆ แต่ก็กว้างขวางสะดวกสบายแล้ว เขาก็ฉีกยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวใต้หนวดครึ้ม หัวเราะแหะๆ พลางก้าวขึ้นรถม้า เพิ่งจะล้มตัวลงนอนราบมือสองข้างหนุนหลังศีรษะ รถม้าก็ขับเคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว
เขายกขาขึ้นไขว่ห้าง โยกเอนไปพร้อมรถม้า ปากก็ครวญเพลงชาวหุย โคลงเคลงเช่นนี้ไปตลอดทางจนถึงที่หมาย
ดูท่าว่ากลับจงหยวนคราวนี้จะไม่ได้แย่อย่างที่เขาคิดไว้เลย…