รถม้าแล่นเลียบชายฝั่งทะเลสาบต้งถิง ทอดสายตามองออกไปเห็นภาพงดงามที่เมฆขาวแย่งกันโผล่ออกมาจากภูเขา ลมเย็นสดชื่นปะทะต้นหลิวให้ปลิวไสว
ภาพทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลสาบและภูเขาในต้งถิงนี้ แม้จะไม่ได้ปกปิดหน้าตาเหมือนสาวงามวัยกำดัดในซูโจวหังโจว หรือเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มไปเสียทุกที่ แต่ภูเขาและแม่น้ำที่ทอดยาวไม่ขาดสายหลายลี้เช่นนี้กลับให้รสชาติอีกแบบ ทำให้คนเกิดความรู้สึกประทับใจอย่างลึกซึ้งกับภาพสายน้ำสะอาดบริสุทธิ์เชื่อมติดกับท้องฟ้า
มีเรือหาปลาอยู่ทั่วทะเลสาบ บางครั้งใกล้กับชายฝั่งก็ยังมีคนปลูกบัวหน้าร้อนริมทะเลสาบ ลมหนาวพัดโชยเอากลิ่นหอมสดชื่นของดอกบัวมาด้วย ทำให้จิตใจของจั้นปู้ฉวินแจ่มใสขึ้นไม่น้อยและรู้สึกสบายขึ้นมาก
รถม้าใช้เวลาเดินทางหนึ่งเค่อจึงได้มาหยุดหน้าคฤหาสน์สกุลสุ่ย
หลังลงจากรถม้า เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นแผ่นป้ายแขวนอยู่หน้าประตูใหญ่เขียนไว้ว่า ‘สกุลสุ่ยฟุ้งเฟื่อง’ ตัวอักษรแข็งแรงทรงพลัง มีชีวิตชีวาและทรงอำนาจ คนที่ตาถึงแค่เห็นก็รู้แล้วว่าตัวอักษรนี้เขียนโดยยอดฝีมือ จริงดังคาด ชื่อที่กำกับไว้คือจอมยุทธ์ต้งถิงที่ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วยุทธภพ…สุ่ยอวิ๋นดาบทองคำ
“พี่จั้น เชิญ” สวี่จื่อฉีประสานมือเชิญอย่างนอบน้อม
จั้นปู้ฉวินรีบก้าวข้ามธรณีประตูตามไปพร้อมกัน
มาถึงโถงใหญ่ หมอได้ถูกเชิญมานานแล้ว ศิษย์ใหญ่สกุลสุ่ยผู้นี้ให้คนพาคุณหนูใหญ่กลับไปที่ห้อง และให้บ่าวรับใช้พาผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคุณหนูใหญ่ไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องรับรองแขก
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสะอาดที่สกุลสุ่ยเตรียมไว้ให้แล้ว จั้นปู้ฉวินก็ตามบ่าวรับใช้เดินผ่านตรอกแคบในสวนเก้าโค้งสิบแปดเลี้ยวกลับมาถึงห้องโถงใหญ่
เพิ่งจะมาถึงลานหน้าโถงก็เห็นพื้นที่โล่งกว้างเมื่อครู่นี้มีชายในชุดลำลองสีขาวเหมือนกันสิบคนล้อมเป็นวงอยู่ ตรงกลางมีชายสองคนกำลังประมือกัน หนึ่งในนั้นก็คือสวี่จื่อฉีที่พาเขาเข้ามาที่นี่ มือของชายหนุ่มถือดาบใหญ่ อีกคนแต่งกายด้วยชุดดำมือถือทวน หนึ่งดาบหนึ่งทวนรุกและรับกันอยู่ในสนาม เกิดเป็นเสียงก้องกังวาน
ดาบใหญ่ของสวี่จื่อฉีฟันซ้ายฟันขวา ทวนของชายชุดดำไม่ถอยทว่ากลับรุกไปข้างหน้า เสี่ยงอันตรายเพราะเข้าตาจน อาศัยรุกเพื่อรับ เกือบจะแทงเข้าไหล่ซ้ายของสวี่จื่อฉีแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าสวี่จื่อฉีจะไม่หลบ แต่แค่ใช้พลังจากเอวและเท้าสองข้างหลบปลายทวน มือขวาฟันไปตามตัวทวนอย่างแรง พอเห็นว่าจะฟันถูกมือใหญ่ของอีกฝ่ายที่จับทวนแล้ว จู่ๆ เขาก็พลิกดาบใหญ่ ให้แค่หลังดาบฟันโดนทวนในมือของอีกฝ่ายแทน
เคร้ง!
ทวนหล่นลงบนพื้นหินปูนเกิดเป็นเสียงชัดใส
สวี่จื่อฉีเก็บหมัดประสานมือพร้อมค้อมกาย
“ออมมือแล้ว”
ชายชุดดำไม่รับน้ำใจกับการที่อีกฝ่ายยั้งมือไว้ไมตรี เพียงแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างฉุนเฉียว หน้าตาบึ้งตึง หันกลับแล้วเดินออกไปจากประตูใหญ่ ไม่แม้แต่จะเก็บทวน
สวี่จื่อฉีฝืนยิ้มแล้วสั่งลูกน้อง
“เอาทวนส่งกลับไปที่คฤหาสน์สกุลฉี”
แปะๆๆๆ…
พอได้ยินเสียงปรบมือ สวี่จื่อฉีก็หันกลับมาเห็นจั้นปู้ฉวินเดินมาจากระเบียงทางเดิน
“พี่สวี่ฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก” จั้นปู้ฉวินเอ่ยชมจากใจ ก่อนหน้านี้ตนไม่ได้มองสวี่จื่อฉีที่รูปร่างสันทัด หน้าตาเรียบๆ คนนี้ให้ดีจริงๆ เพียงเพราะคนในยุทธภพที่ฝีมือไม่เลว ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเฉียบแหลมหรือไม่ก็เป็นพวกก้าวร้าว น้อยนักที่จะทำตัวเรียบง่ายคล้ายคนพายเรืออย่างสวี่จื่อฉี นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือซ่อนคม พอใช้ดาบขึ้นมาก็ใช้อย่างคล่องแคล่วดุจสายน้ำ ราบรื่นไร้อุปสรรค
“ขายหน้าพี่จั้นแล้ว” สวี่จื่อฉีส่งดาบใหญ่ให้ศิษย์น้องวางกลับไปที่ชั้นอาวุธ แล้วหันกลับมาบอกอย่างถ่อมตัว
“คนเมื่อครู่นี้คือ?”
“คุณชายแห่งคฤหาสน์สกุลฉีจากถานโจว” สวี่จื่อฉียิ้มแห้ง “มาสู่ขอคุณหนูสามน่ะ”
“สู่ขอ?” จั้นปู้ฉวินผงะไปครู่หนึ่ง ในเมื่อมาสู่ขอ แล้วเหตุใดจะต้องลงไม้ลงมือกันด้วยเล่า
สวี่จื่อฉีรู้ว่าอีกฝ่ายแปลกใจ จึงจำใจอธิบาย
“คุณหนูสามยังอายุไม่ถึงสิบห้าก็มีคนมากมายมาสู่ขอถึงบ้าน นางเป็นคนขี้ขลาดและกลัวคนแปลกหน้า อีกทั้งฮูหยินรองยังอยากให้ช่วงนี้คุณหนูสามอยู่เป็นเพื่อนนางที่บ้านนานๆ หน่อย คุณหนูรองจึงยื่นข้อเสนอเพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากว่า คนที่จะมาสู่ขอต้องผ่านด่านข้าจึงจะพบคุณหนูสามได้”
ใต้หล้ามีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือนี่ เป็นถึงชายชาติบุรุษ แต่กลับยุ่งอยู่กับการไล่แมลงวันที่ไม่รู้ดีรู้ชั่ว มิน่าเล่าพี่สวี่จึงได้คลี่ยิ้มขมขื่น แต่คนที่จะแต่งงานคือคุณหนูสาม แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณหนูรองด้วย แล้วฮูหยินรองโผล่มาจากไหนอีก จั้นปู้ฉวินได้ยินแล้วก็สับสน หน้าตางงงัน