“ฮูหยินรองกับคุณหนูรองคือ?”
สวี่จื่อฉีพาจั้นปู้ฉวินเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่พลางบอก
“อาจารย์มีฮูหยินสี่ท่าน ฮูหยินรองคือมารดาแท้ๆ ของคุณหนูสาม คุณหนูรองและคุณหนูสามเกิดจากฮูหยินรองเหมือนกัน”
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง
จั้นปู้ฉวินเข้าใจแจ่มแจ้ง ขณะตามสวี่จื่อฉีเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เพิ่งจะนั่งลง บ่าวรับใช้ก็นำชาชั้นยอดมาให้
“ฟังสำเนียงของพี่จั้นแล้ว ไม่ใช่คนต้งถิงใช่หรือไม่ขอรับ”
“พี่สวี่หูดี ก่อนหน้านี้หลายปีข้าเดินทางไปซีอวี้ สองเดือนที่ผ่านมานี้เพิ่งจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่จงหยวน จึงถือโอกาสมาเที่ยวเล่นที่เจียงหนาน” เขาเล่าแต่เรื่องพื้นๆ ที่ไม่สลักสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก
สวี่จื่อฉีได้ยินดังนั้นก็เหมือนจะโล่งอก
“พี่จั้นน่าสนใจจริงๆ น่าเสียดายที่บ่ายนี้อาจารย์มีธุระด่วนกะทันหันออกไปเยี่ยมสหาย สามวันห้าวันให้หลังจึงจะกลับมา หากพี่จั้นไม่รีบร้อน อยู่พักที่นี่สักสองสามวันเป็นอย่างไร จะได้ให้ข้าดูแลต้อนรับในฐานะเจ้าบ้านด้วย”
บังเอิญอะไรเช่นนี้ เขาเพิ่งจะนึกหาวิธีให้ได้อยู่ต่อ อีกฝ่ายก็ส่งมาให้ถึงประตูเองเลย ตอนที่สามีภรรยาใจดำคู่นั้นส่งเขาขึ้นเรือ บอกไว้ว่าระยะนี้สกุลสุ่ยอยู่ดีๆ ก็ขึ้นราคาเกินเหตุ ไม่เหมือนที่เคยทำก่อนหน้านี้ จึงสั่งให้เขาแอบมาแบบลับๆ
คำพูดของสวี่จื่อฉีตรงกับใจเขาพอดี จั้นปู้ฉวินอยากตอบรับแน่นอน แต่ก็ยังพูดจาตามมารยาทสักเล็กน้อย
“จะดีหรือ…”
“พี่จั้น ท่านเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคุณหนูใหญ่ ถ้าหากอาจารย์กลับมาแล้วรู้ว่าพวกเราไม่รั้งให้ท่านอยู่ต่อ จะต้องตำหนิที่ข้าทำงานไม่ได้เรื่องแน่ๆ ท่านอย่าได้ปฏิเสธน้ำใจของข้าเลย”
จั้นปู้ฉวินหัวเราะลั่นแล้วตบไหล่สวี่จื่อฉี
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจพี่สวี่แล้ว บอกตามตรง ข้าชื่นชมจอมยุทธ์สุ่ยยิ่งนัก ที่มาในครั้งนี้เพราะอยากถือโอกาสขอคำแนะนำด้วย หวังว่าจอมยุทธ์สุ่ยจะช่วยชี้แนะวิชาเงอะๆ งะๆ ของข้า ดูซิว่าจะแอบลักจำวิชาดาบสักสองสามกระบวนท่าได้บ้างหรือไม่ ได้พักที่สกุลสุ่ยหลายวัน เป็นสิ่งที่จะหาก็หาไม่ได้แล้ว”
“พี่จั้นเกรงใจไปแล้ว” สวี่จื่อฉีเห็นอีกฝ่ายตอบรับอย่างตรงไปตรงมา ใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม
“ไม่ได้เกรงใจหรอก เมื่อครู่วิชาดาบที่โต้ตอบกลับไปของพี่สวี่นั้น ไม่ใช่ว่าใครๆ จะทำได้ เห็นได้ว่าอาจารย์โด่งดังศิษย์ก็ยอดเยี่ยม สองสามวันหลังจากนี้ ดูท่าว่าพี่สวี่จะต้องช่วยให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว…แน่นอนว่าถ้าได้น้ำค้างปทุม สุราเลื่องชื่อของต้งถิงก็จะยิ่งดีเลย!” เขายิ้มกว้างบอก ช่วยไม่ได้ อาการอยากเหล้ากำเริบแล้ว ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้พูดสักหน่อย เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจึงจะได้ลิ้มชิมให้นุ่มลิ้นสักที
สวี่จื่อฉีแววตาเป็นประกาย หัวเราะบอก
“เรื่องนี้ไม่ยากเย็น ข้าจะให้บ่าวรับใช้ไปเอาที่หอเซียวเซียงมาสักสามไหห้าไหเดี๋ยวนี้เลย!”
ตอนที่สุ่ยรั่วฟื้นขึ้นมา เฉี่ยวเอ๋อร์ก็ทำความสะอาดให้นางเอี่ยมอ่องไปทั้งตัวและเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสะอาดให้นานแล้ว
นางหันหน้ามา เห็นเฉี่ยวเอ๋อร์เท้าแก้มชมพูพิงอยู่กับขอบโต๊ะ งีบหลับสัปหงก
บนโต๊ะมีภาพเรือแต่ละแผ่นที่เฉี่ยวเอ๋อร์เอามากางไว้ นางค่อยๆ ลุกนั่ง ลงจากเตียงไปตรวจดูสภาพของภาพพวกนั้น ภาพที่มีบางส่วนเลอะสิ่งสกปรกก็ถูกเฉี่ยวเอ๋อร์ทำความสะอาดแล้ววาดซ่อมด้วยเส้นสีดำโย้เย้ นางมองสักพักแล้วก็หัวเราะในใจ แม้เส้นสีดำจะบิดเบี้ยวไม่ตรงอยู่บ้าง แต่ก็ยังพอดูได้ อีกทั้งไม่ได้วาดผิดที่ผิดทาง เห็นได้ว่าเฉี่ยวเอ๋อร์ไม่ได้ทำชุ่ยๆ เหมือนกับที่แสดงออกอย่างทุกที
เฉี่ยวเอ๋อร์สาวใช้คนนี้อ่อนกว่านางหนึ่งปี ผิวเผินดูเหมือนทำงานหยาบๆ ไม่ใส่ใจ แต่ความจริงแล้วเป็นคนจิตใจดี ไว้ใจได้ แต่เพราะมีชีวิตยากลำบากมาตั้งแต่เล็กๆ จึงมีท่าทางหยาบกระด้าง พูดจาเพื่อปกป้องตัวเอง นางให้เฉี่ยวเอ๋อร์มาเป็นสาวใช้ประจำตัวได้ห้าปีแล้ว เรื่องที่ควรทำเฉี่ยวเอ๋อร์ไม่เคยทำพลาดสักอย่าง คนในบ้านก็มีแค่เฉี่ยวเอ๋อร์เท่านั้นที่เข้าใจนางมากที่สุด และนางเองก็ปฏิบัติกับเฉี่ยวเอ๋อร์ประหนึ่งเป็นน้องสาวอีกคนมานานแล้ว
ตอนที่นางเก็บภาพที่ตากจนแห้ง พอหยิบภาพสุดท้ายขึ้นมาก็เผลอไปโดนเก้าอี้เข้า
เฉี่ยวเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็ตื่นขึ้น
“อ๊ะ คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางนวดดวงตาที่ยังไม่ตื่นดี รีบรับภาพเรือไปจากมือสุ่ยรั่ว “คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางหาวแล้วถามขึ้นขณะที่กอดภาพเรืออยู่
“ข้าไม่เป็นไร พวกเรากลับมาบ้านได้อย่างไรหรือ” สุ่ยรั่วถามเบาๆ ด้วยเสียงนุ่มนวล
“หลังจากที่เจ้าล่ำนั่นช่วยคุณหนูแล้ว คุณชายสวี่ผ่านมาพอดีจึงพาพวกเรากลับมาเจ้าค่ะ” เฉี่ยวเอ๋อร์สูดหายใจลึกหลายที ให้ตัวเองสดชื่นอีกหน่อยแล้วจึงบอก “คุณหนู ภาพนี้ข้าให้คนเอาไปส่งอู่ต่อเรือก่อนก็ได้เจ้าค่ะ ไหนๆ ฟ้าก็มืดแล้ว ข้าว่าคงมีคนอยู่ที่อู่ไม่กี่คน แล้วพรุ่งนี้ท่านค่อยไปนะเจ้าคะ”