บทที่สาม
“ใครๆ ต่างกล่าวกันว่าน้ำค้างปทุมมีดีอยู่ที่จอกเดียวหอมสดชื่น ทำให้สาวงามเมามาย สองจอกหัวหงอกหนวดขาวลืมโลก สามจอกได้กลิ่นแล้วให้งงงัน ดื่มลงไปแล้วเบาสบายราวกับเทพเซียน พี่จั้นคอทองแดงจริงๆ น้ำค้างปทุมหนึ่งไหหมดไม่เหลือสักหยด แต่ท่านกลับยิ่งสดชื่น หากบอกคนของหอเซียวเซียง พวกเขาจะต้องร้องชื่นชมแน่ๆ” สวี่จื่อฉีเห็นจั้นปู้ฉวินดื่มสุราหมดไหในพริบตาแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเมามายเลยสักนิดก็ให้รู้สึกประหลาดใจ
จั้นปู้ฉวินฉีกยิ้มกว้าง รับไหสุราที่สวี่จื่อฉีเปิดผนึกออกแล้วส่งมาให้อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เขารินสุราให้ตัวเองและรินให้อีกฝ่ายพลางบอก
“พี่สวี่ ท่านก็ไม่เลวเลยนะ มาๆๆ เอาอีกจอก! น้ำค้างปทุมนี้ไม่เสียทีที่เป็นเหล้าดังของต้งถิง แค่กลิ่นก็ทำให้ผู้คนเมามายไปสามส่วนแล้ว หายาก…หายาก หายากจริงๆ!”
“พี่จั้น เหตุใดต้องเอ่ยหายากตั้งสามครั้ง” สวี่จื่อฉีถามด้วยความประหลาดใจ
“หายากอย่างแรกคือเป็นเหล้าขาวชั้นดี สองคือพี่น้องที่หายาก!” เขาโอบไหล่สวี่จื่อฉีหัวเราะแหะๆ
เจ้านี่น่าคบหาจริงๆ ใช้มีดรู้กำลังไม่ให้ถึงที่ตาย ดื่มเหล้าไม่รีบไม่ร้อนไม่กลัดกลุ้ม รู้จักให้ทางออกคน อีกทั้งทำอะไรค่อนข้างมีขอบเขต ไม่เลว…ไม่เลว สหายคนนี้คุ้มค่าที่จะผูกมิตรด้วย
“แล้วหายากอีกอย่างคืออะไรเล่า”
“คือ…” จั้นปู้ฉวินผงะ หัวเราะพลางลูบหนวดดำ
เขาพูดออกไปสามครั้งคือพูดไปเรื่อยเปื่อยอย่างนั้นเอง หายากที่สามน่ะหรือ…
ลูกตาของเขากวาดมองในห้อง ยังนึกไม่ออกว่าหายากที่สามคืออะไร ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากระเบียงด้านใน พอหันกลับไปก็เห็นสตรีชุดขาวกำลังยกข้อมือขาวเนียนแหวกม่านประดับมุกเข้ามา ในสถานการณ์เร่งด่วนเขาจึงหาสิ่งทดแทนส่งเดช แม้จะยังไม่ทันมองหน้าตาของผู้มาใหม่ให้ชัด แต่สตรีชอบฟังคำหวาน ชมแล้วก็มักจะไม่มีทางผิด จึงหัวเราะบอก
“หายากที่สามน่ะหรือ แน่นอนว่าคือสาว…”
ยังไม่ทันพูดจบ หญิงสาวในชุดขาวก็เลิกม่านออก เห็นใบหน้าอ่อนโยนงดงาม จั้นปู้ฉวินหัวใจหยุดเต้น รู้สึกลำคอตีบตันทันที เดิมที่จะบอกออกไปว่า ‘สาวงามแห่งต้งถิง’ ก็พลันลืมไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มตาค้าง มองนางด้วยความตะลึงงัน พริบตานั้นก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองอยู่ที่ใด เห็นนางเยื้องย่างแช่มช้อย กรีดกรายเดินเข้ามา ดวงตาเป็นประกายฉ่ำ คิ้วดังหมึกวาด มือขาวเรียว แขนเสื้อพลิ้วไหว กลิ่นหอมดังกล้วยไม้ชวนให้มึนเมา ยอดหญิงงามแห่งต้งถิง…
“พี่สวี่” สุ่ยรั่วเดินมาถึงโต๊ะแล้วทักทายสวี่จื่อฉี
“คุณหนูใหญ่ เจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่” สวี่จื่อฉีโบกมือ บ่าวรับใช้ก็เอาชามและตะเกียบมาเพิ่ม
“ต้องขอบคุณพี่สวี่และคุณชายจั้น สุ่ยรั่วดีขึ้นมากแล้ว” สุ่ยรั่วบอกเบาๆ คลี่ยิ้มแล้วนั่งลงข้างโต๊ะ หางตาเหลือบมองชายที่ตัวแข็งทื่ออยู่ที่โต๊ะกลมโดยไม่รู้ตัว เหตุใดเขาถึงเอาแต่จ้องข้ากันนะ
“ดีขึ้นก็ดีแล้ว เมื่อครู่พี่จั้นยังห่วงอยู่ว่าคุณหนูใหญ่จะยังไม่สบายอยู่” สวี่จื่อฉีหันไป อยากจะแนะนำให้ทั้งสองได้รู้จักกัน แต่กลับเห็นจั้นปู้ฉวินยังคงมองคุณหนูใหญ่ด้วยอาการตะลึงงัน เขาเห็นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจนัก เพราะเคยชินกับอาการของผู้คนเวลาที่เห็นพวกคุณหนูของสกุลสุ่ยครั้งแรกมานานแล้ว จึงเพิ่มเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ร้องเรียกชายหนุ่ม “พี่จั้น!”
จั้นปู้ฉวินสะดุ้ง ได้สติในที่สุด แต่ดวงตาทั้งคู่ยังคงไม่ละสายตาจากใบหน้างามของสุ่ยรั่ว ตอนกลางวันที่พบกันบนถนนนางเปื้อนแป้งเลอะฝุ่นไปทั้งศีรษะและเนื้อตัว เขาจึงไม่ได้เห็นนางชัดๆ ไม่คิดเลยว่านางจะงดงามเลิศล้ำเพียงนี้
“พี่จั้น นี่คือธิดาคนโตของอาจารย์ คุณหนูใหญ่ ท่านนี้คือคุณชายจั้นที่ช่วยเจ้าไว้เมื่อบ่ายนี้” สวี่จื่อฉียิ้มพลางแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน
“ขอบคุณคุณชายจั้นที่ยื่นมือเข้าช่วย” สุ่ยรั่วขยับเผยอกลีบปากเอ่ยขอบคุณ จนกระทั่งตอนนี้จึงได้กล้ามองคุณชายจั้นที่ช่วยนางไว้อย่างเปิดเผย ตอนกลางวันที่เกิดเรื่องทุกอย่างโกลาหลไปหมด นางจึงไม่ได้มองคนที่ชนนางแล้วช่วยนางให้ชัดว่าหน้าตาเป็นอย่างไร จำได้แค่ว่าเขาไว้หนวดดกครึ้ม ตอนนี้มองให้ดีๆ แล้วก็ยังรู้สึกว่าหนวดครึ้มที่เขาไว้ปกคลุมใบหน้าครึ่งหนึ่ง ทำให้ดูไม่ออกว่าคุณชายจั้นอายุอานามเท่าไร อีกอย่างคือนัยน์ตาสีดำเป็นประกายนั้นมองนางค้างนิ่งโดยไม่ปิดบังเลยสักนิด
พอถูกเขามองจนรู้สึกกระอักกระอ่วน พวงแก้มของสุ่ยรั่วก็แดงเรื่อด้วยความเขินอาย ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความอึดอัด จนกระทั่งตอนนี้นางจึงได้เชื่อที่เฉี่ยวเอ๋อร์บอกว่ามีคนคอยจ้องนางอยู่จริงๆ
“แค่กๆ” สวี่จื่อฉีเห็นจั้นปู้ฉวินยังไม่ดึงสายตากลับมาก็รีบกระแอมสองที
เมื่อรู้ว่าตัวเองเสียกิริยา จั้นปู้ฉวินก็หน้าแดงแล้วรีบตั้งสติ
“แค่ก! อื้ม คุณหนูทำม้วนภาพตกก็เพราะข้าน้อยล่วงเกิน คุณหนูไม่ตำหนิก็โชคดีมากแล้ว ข้าน้อยหรือจะกล้ารับคำขอบคุณ”
“คุณชายจั้นเกรงใจแล้ว” สุ่ยรั่วตอบเสียงแผ่ว ยังคงก้มหน้าเล็กน้อย ทำให้จั้นปู้ฉวินเห็นแค่แพขนตาดำของนางขยับไหวเบาๆ
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงกับมีความคิดอยากจะยื่นมือออกไปเชยคางนางขึ้น แล้วมองสีหน้าของนางในตอนนี้ให้ชัดยิ่งนัก แต่ในความจริงนั้นเขาพบว่าตนไม่อยากพลาดทุกสีหน้าและอารมณ์ของนาง อย่างพริบตาเมื่อครู่นี้ที่จู่ๆ ก็เห็นนาง เขามีความรู้สึกที่อยากจับพู่กัน อยากจะวาดรูปโฉมของนางลงบนกระดาษ และนั่นคือเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในสิบกว่าปีมานี้
พู่กันของเขาไม่ได้วาดภาพมานานสิบกว่าปีแล้ว…