ปัง!
เสียงฝ่ามือดังชัดลอดผ่านฝากระดานเรือ จากนั้นสิ่งที่ตามมาคือเสียงคำรามที่ฟังดูเหนื่อยล้า…
‘สารเลว! แค่ก…ภาพเรือไม่วาด เจ้าวาดขยะพวกนี้น่ะหรือ?!…แค่กๆ ข้าให้เหล่าจางสอนเจ้า…แค่กๆๆ…สอนให้เจ้าจับพู่กันก็เพื่อวาดขยะพวกนี้น่ะหรือ! แค่กๆ…เจ้ามันคนไม่เอาไหน!’ จั้นเทียนโบกภาพวาดในมือด่าพลางไอโขลก สุดท้ายสองมือก็ฉีกภาพวาดทุกแผ่นเป็นสองซีกต่อหน้าบุตรชายแล้วโยนลงบนพื้น!
จั้นปู้ฉวินที่อายุสิบห้าสองมือกำหมัดแน่น จ้องบิดาอย่างโกรธแค้น คำรามกลับไปด้วยความโมโห
‘ใช่! ในสายตาของท่านก็มีแต่เรือเท่านั้นที่สำคัญ ทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือไปจากกิจการที่เกี่ยวกับเรือก็คือขยะ ข้าก็คือขยะที่ไม่มีวันก้าวหน้าไปไหน! คนบนเกาะต่างรู้ว่าพี่ชิงต่างหากที่มีความสามารถสืบทอดสกุลจั้นได้ มีแต่ท่านเท่านั้นตาแก่ตาบอดที่มองไม่ออก! ข้าจะบอกให้นะว่าข้าไม่มีทางเรียนขับเรือเป็น! ไม่มีทางเรียนว่ายน้ำเป็น! ไม่มีทางสืบทอดตำแหน่งของท่าน…’
เสียง ‘ผัวะ’ ดังขึ้น อีกฝ่ามือตบคำพูดที่เหลือของเด็กหนุ่มทิ้งไป
จั้นปู้ฉวินถูกตบจนตาพร่าเห็นดาวไปชั่วขณะ นานพักใหญ่จึงได้สติ เขาใช้กำปั้นเช็ดเลือดสดที่มุมปากแล้วหมุนตัวออกไปทันที
‘หยุดอยู่ตรงนั้น!’ จั้นเทียนตวาด โมโหจนตัวสั่นเพราะบุตรชาย
จั้นปู้ฉวินที่กำลังเลือดขึ้นหน้าไม่หยุด ทำหูทวนลมกับคำที่บิดาตวาดให้หยุด
จั้นเทียนตบโต๊ะ ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ตวาดอย่างเดือดดาล
‘แค่กๆ…ข้าบอกให้เจ้าหยุด!’
จั้นปู้ฉวินเลือดร้อนอีกทั้งความโกรธแค้นสั่งสมมานาน มีหรือจะฟังคำตวาดห้ามของบิดา เขายังคงเดินออกไปจากห้องโดยสารเรือโดยไม่หันกลับมา
จั้นเทียนโมโหจนไอโขลกอยู่พักหนึ่งแล้วตวาดอีก
‘ดี! เจ้าไปเลย ไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมา!’
สิ่งที่ตอบกลับมาคือเสียงกระแทกประตู
พระจันทร์เสี้ยว…
บนฟ้ามีพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ในน้ำสะท้อนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
จั้นปู้ฉวินมองพระจันทร์ในน้ำแล้วดึงสติกลับมา ที่แห่งนี้คือเรือนเงาจันทร์บุปผา คือห้องรับรองแขกของสกุลสุ่ย
เขาไม่ได้คิดถึงคืนที่มีปากเสียงคืนนั้นมานานมากแล้ว และในคืนนั้นเองที่เขาโมโหจนหนีออกจากบ้าน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยกลับไปอีกเลย เขาเข้าใจมาตลอดว่าตาแก่นั้นต่อให้อยู่ไปอีกสิบยี่สิบปีก็คงไม่มีปัญหา ใครจะไปรู้ว่าสองเดือนหลังจากนั้น ตาแก่ก็จะลาลับไปจากโลกนี้ และลูกอกตัญญูอย่างเขาคนนี้กลับเพิ่งรู้เมื่อตอนที่กลับบ้านไปสิบกว่าปีให้หลัง
ตอนนั้นทำอะไรตามอารมณ์ ไม่คิดว่าคืนนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่สองพ่อลูกได้พบหน้า ทุกครั้งที่หวนนึกถึงก็จะทำให้เขารู้สึกผิด แต่ลึกๆ ในใจก็รู้ว่าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีกครั้ง เขาก็ยังโมโหและหนีออกจากบ้านเหมือนเดิม
ที่น่าขันคือตอนแรกนั้นจุดมุ่งหมายของเขาคือการวาดภาพไปเรื่อยเปื่อย แต่พอออกมาจากบ้านแล้ว เขากลับยุ่งอยู่กับการรบราฆ่าฟัน ยุ่งอยู่กับการหาเลี้ยงปากท้อง จากนั้นก็ไม่เคยจับพู่กันวาดภาพอีกเลย
คืนนี้เป็นครั้งแรกในสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่เขาอยากจะวาดสิ่งที่เห็นออกมา ความตกตะลึงที่ได้เห็นคุณหนูใหญ่สกุลสุ่ยในตอนแรกนั้นยังคงกลั่นตัวอยู่ในใจไม่จางหาย กล้ามเนื้อและกระดูกมือขวาคันระคายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เริ่มกระสับกระส่าย
เขาอยากจะวาดใบหน้าที่มีรอยยิ้มเบิกบานของนาง อยากวาดสีหน้าเอียงอายน่ารักของนาง…ไม่ใช่เพราะยินดีที่ได้เห็นสตรี แต่ชื่นชมสีหน้าท่าทางของนางที่ราวกับเทพธิดาจุติลงมา อยากวาดความอ่อนโยนบริสุทธิ์เหนือโลกลงบนกระดาษเซวียนจื่อสีขาว
จั้นปู้ฉวินฉีกยิ้มหัวเราะหยัน กลัวว่าเมื่อครู่เขาจะหยาบคายกับหญิงงามเกินไป ทำให้แม่นางขวัญเสียไปแต่แรกแล้ว เห็นนางก้มหน้าตลอดทั้งคืน หากไม่จำเป็นก็จะไม่สนทนาตอบคำ ดีไม่ดีคุณหนูใหญ่สกุลสุ่ยผู้นั้นคงนึกว่าเขาเป็นพวกบ้าตัณหาที่ไม่คู่ควรเสียด้วยซ้ำ
“เฮ้อ ช่างเถอะ เรื่องที่จะสืบยังไม่สำเร็จ ตอนนี้ไม่ควรนอกเรื่อง”
แม้จั้นปู้ฉวินจะคิดเช่นนี้ แต่มองมือใหญ่ที่แบออกแล้ว เขาก็ยังอดหัวเราะอีกสองทีไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าหลายปีมานี้เขาจะยังคิดอยากจับพู่กันขึ้นอีกครั้ง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ…