หลังจากที่คุยกันไปหลายยก ความจริงแล้วจั้นปู้ฉวินเลื่อมใสในความรู้เรื่องวรยุทธ์และการฝึกฝนของสวี่จื่อฉียิ่งนัก แต่น่าเสียดาย…เฮ้อ มีเรื่องปิดบังสหายดีๆ ที่เป็นคนใจกว้างเช่นนี้ ในใจเขาก็รู้สึกไม่ค่อยเป็นสุข ตอนนี้ก็ได้แต่รอให้เรื่องราวผ่านพ้นไป แล้วค่อยรับผิดกับพี่สวี่ท่านนี้แต่โดยดี
ดื่มสุรากินอาหารอิ่มหนำ ชายหนุ่มทั้งสองเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากหอเซียวเซียงก็เห็นเด็กหนุ่มร่างกำยำแต่งกายด้วยชุดสกุลสุ่ยรีบร้อนเข้ามา บอกด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ
“ศิษย์พี่ใหญ่ คนที่อู่ต่อเรือตีกันแล้วขอรับ!”
“เกิดอะไรขึ้น” สวี่จื่อฉีขมวดคิ้ว ถามอย่างใจเย็น
“คนงานที่อู่ต่อเรือสองสามคนมีปากเสียงกันขอรับ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วตีกันขึ้นมา คุณหนูใหญ่เอาภาพเรือมาพอดี เลยโดนลูกหลงไปด้วย ถูกท่อนไม้ที่หล่นลงมากระแทกบาดเจ็บขอรับ!”
สวี่จื่อฉีได้ยินดังนั้นก็รีบหันกลับไปบอกจั้นปู้ฉวินทันที
“พี่จั้น ขออภัย ข้าต้องไปจัดการที่อู่ต่อเรือก่อน เกรงว่าจะกลับไปพร้อมท่านไม่ได้แล้ว”
“พี่สวี่ อย่าพูดเช่นนี้เลย ข้าจะไปกับท่าน เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง” จั้นปู้ฉวินได้ยินว่าสุ่ยรั่วได้รับบาดเจ็บ หน้าอกก็พลันบีบรัดโดยไม่รู้ตัว ยืนกรานจะไปด้วย
สวี่จื่อฉีเห็นดังนั้นก็ไม่พูดมาก ทั้งสองขึ้นขี่ม้าแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังอู่ต่อเรือสกุลสุ่ยทันที
“พวกสารเลวนี่ ปกติคุณหนูใหญ่ดีกับพวกเจ้าอย่างไร ตอนนี้กลับตีกันแค่เพราะเรื่องเล็กๆ ครอบครัวทะเลาะกันเองไม่พอ ยังจะทำให้คุณหนูใหญ่บาดเจ็บอีก! พวกเจ้านี่มันสารเลวจริงๆ!”
ตอนที่จั้นปู้ฉวินและสวี่จื่อฉีมาถึงข้างนอกอู่ต่อเรือก็ได้ยินเสียงเฉี่ยวเอ๋อร์ต่อว่าอย่างเดือดดาล
จั้นปู้ฉวินได้ยินแล้วก็นึกว่าสุ่ยรั่วบาดเจ็บสาหัส ม้ายังไม่ทันหยุด เขาก็ตวัดตัวลงจากม้าแล้วพุ่งเข้าไปข้างในอย่างปราดเปรียว ไม่คิดว่าจะเห็นกลุ่มคนยืนอยู่ด้านข้างรวมกันอย่างเป็นระเบียบ เฉี่ยวเอ๋อร์ก็ยืนอยู่ข้างสุ่ยรั่วที่ดูเหมือนไม่เป็นไร ชี้จมูกคนงานแถวนั้นพลางแหกปากด่ากราด
“เฉี่ยวเอ๋อร์ พอแล้ว ทุกคนไม่ได้ตั้งใจหรอก” สุ่ยรั่วช่วยพวกคนงานพูดเสียงนุ่ม
“อะไรคือไม่ได้ตั้งใจเจ้าคะ” เฉี่ยวเอ๋อร์เลิกแขนเสื้อข้างซ้ายของสุ่ยรั่วอย่างเดือดดาล “ดูสิ แผลใหญ่ขนาดนี้ ถ้าหากวันหน้าทิ้งรอยแผลเป็นไว้จะทำอย่างไร”
ทุกคนต่างก้มหน้างุด สีหน้าละอายใจ
สุ่ยรั่วสะดุ้งโหยงเพราะการกระทำที่อาจหาญของเฉี่ยวเอ๋อร์ ประจวบกับตอนนี้เห็นจั้นปู้ฉวินที่จู่ๆ ก็โผล่มาพอดี เห็นเขาจ้องแขนขาวราวหิมะของนางเขม็ง นางพลันอับอายจนหน้าแดง รีบดึงแขนเสื้อออกจากมือเฉี่ยวเอ๋อร์มาปิดแขนขาวเนียนของตนอีกครั้งแล้วเอ่ยอย่างขัดเขิน
“แค่แผลถลอกนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่เป็นไรหรอก”
ตอนนี้สวี่จื่อฉีก็เข้ามาแล้ว พอเห็นสุ่ยรั่วไม่ได้เป็นอะไรมากจึงได้โล่งอก
“คุณหนูใหญ่ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“ไม่เป็นไรเสียที่…” เฉี่ยวเอ๋อร์เดิมจะฟ้อง แต่กลับถูกสุ่ยรั่วดึงแขนเสื้อ เห็นคุณหนูขมวดคิ้วนิดๆ นางจึงได้แต่ปิดปาก
สุ่ยรั่วจึงคลี่ยิ้มบอก
“ไม่เป็นไร แค่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยเท่านั้น”
สวี่จื่อฉีรู้แน่ว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น แต่เขารู้ว่าคุณหนูใหญ่ไม่ชอบตำหนิบ่าวไพร่มาตลอด จึงไม่เปิดโปงคำพูดนาง ได้แต่ให้คนรีบพานางกลับคฤหาสน์สกุลสุ่ย ส่วนตัวเองก็อยู่จัดการต่อ
ก่อนจะขึ้นรถ สุ่ยรั่วก็บอกสวี่จื่อฉีอย่างอดไม่ได้
“พี่สวี่ เป็นแค่อุบัติเหตุจริงๆ ท่านอย่าตำหนิพวกเขาเลย”
“คุณหนูใหญ่วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” สวี่จื่อฉีคลี่ยิ้มปลอบใจนาง
สุ่ยรั่วเห็นดังนั้นจึงได้ขึ้นรถม้ากลับไปพร้อมกับเฉี่ยวเอ๋อร์ที่อารมณ์เดือดปุดๆ