จั้นปู้ฉวินเป็นห่วงแผลที่แขนนาง เดิมก็อยากจะตามไปด้วย แต่รู้ว่านางไม่อยากให้สวี่จื่อฉีรู้ว่านางได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ครั้งนี้ จึงได้ล้มเลิกความคิด เมื่อครู่แค่ชำเลืองมองแวบเดียวเขาก็รู้ว่าอาการบาดเจ็บของนางไม่ได้รุนแรง แต่ถ้าหากหญิงสาวมีรอยแผลเป็นบนตัวจะไม่ดี ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะมองอย่างไรบาดแผลนั้นก็น่าตกใจ ดีที่ก่อนหน้านี้พี่สาวยัดยาตลับหนึ่งให้เขา บอกว่าเป็นยาทาแผลชั้นดีที่ช่วยลบรอยแผลเป็นได้ เขาคิดว่าดึกๆ หน่อยหากมีโอกาสก็ค่อยเอายาไปให้นาง…
“เอาล่ะ อาหวัง เจ้าบอกมาซิว่าเมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เสียงเข้มของสวี่จื่อฉีดังขึ้น จั้นปู้ฉวินจึงได้ดึงสติคืนมา สำรวจอู่ต่อเรือสกุลสุ่ยที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแคว้น
หลังจากที่เห็นแล้ว เขาก็ตาเป็นประกายอย่างห้ามไม่อยู่ ร้องชื่นชมอยู่ในใจ เลื่อมใสคนงานต่อเรือของสกุลสุ่ยเหล่านี้ แค่เห็นเรือที่ยังต่อไม่เสร็จอยู่อีกข้างหนึ่ง ไม่ใช่แค่เรือใหญ่เท่านั้นที่งานประณีต แม้แต่เรือเล็กก็ยังทำออกมาได้แข็งแรงและพิถีพิถัน
ทางนี้มีใบเรือที่ทำจากไม้ไผ่บางๆ สานอย่างดีพับซ้อนกันเป็นชิ้นๆ อยู่ อีกฝั่งก็มีรถที่ใช้สำหรับพันเชือกสมอโดยเฉพาะจอดกองอยู่ ด้านข้างยังมีกระดานกันน้ำและมีด้ามหางเสือที่ใช้สำหรับควบคุมหางเสือ ตลอดจนเชือกเส้นเล็กเส้นน้อย มีเชือกพวนที่ถักด้วยป่านแล้วเอามาใช้รัดใบเรือให้เล็ก และเชือกพวนที่หยาบเท่าแขนซึ่งถักจากตอกไม้ไผ่
มองไปไกลมีไม้หนานมู่ และไม้การบูรที่ตัดเป็นแผ่นใหญ่ไว้แล้ว ตลอดจนไม้ซานมู่ และไม้อวี๋มู่ ที่ยังไม่ได้แปรรูป ถัดมาข้างๆ ก็ยังมีปูนขาว น้ำมันต้นถง และน้ำมันมะกอก
ทั้งอู่ต่อเรือเต็มไปด้วยกลิ่นปูนขาว น้ำมันต้นถง น้ำมันมะกอก ไม้และเชือกแต่ละแบบ
ตอนที่ยังไม่หนีออกจากบ้านจั้นปู้ฉวินก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างเรือเช่นกัน…แม้เขาจะเมาเรือและว่ายน้ำไม่เป็น แต่ก็เพราะเหตุนั้นเขาจึงมีเวลาอยู่บนเกาะมาก ย่อมมีเวลาได้คลุกคลีกับเหล่าจางช่างฝีมือสกุลจั้นไม่น้อย ต่อมาจั้นเทียนก็ให้เหล่าจางถ่ายทอดวิชาต่อเรือให้เขา อาจเพราะแต่เดิมเขาก็มีพรสวรรค์อยู่พอสมควรในด้านนี้ อีกทั้งบิดามักจะกดดันจึงเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็เพราะเขาได้จับพู่กันวาดภาพเรือ จึงทำให้เขาพบพรสวรรค์ในการวาดภาพของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ไม่เพียงสนใจออกแบบภาพเรือเท่านั้น แต่ยังสนใจวาดภาพตันชิง อีกด้วย ตั้งแต่นั้นจึงเกิดเป็นปมในใจที่ยากจะคลายระหว่างสองพ่อลูก สุดท้ายจึงทำให้เขาหนีออกจากบ้านไป
หากให้ผู้เชี่ยวชาญตัดสิน ของจริงหรือของปลอมย่อมแยกแยะได้ชัด
เขามีความรู้เรื่องการต่อเรือเป็นทุนเดิม แน่นอนว่าแค่มองก็รู้ว่าอู่ต่อเรือของสกุลสุ่ยนั้นไม่เลวเลยจริงๆ ตั้งแต่เรือที่ยังไม่เสร็จไปจนถึงวัสดุที่เตรียมเอาไว้พวกนี้ ก็ดูออกว่ามีทักษะเฉพาะทางไม่แพ้อู่ต่อเรือใหญ่บนฝั่งทะเลพวกนั้น กระทั่งยังทำได้ดีกว่าอีกด้วย มิน่าเล่าจั้นชิงจึงได้เลือกร่วมมือกับสกุลสุ่ยทั้งที่มีอู่ต่อเรือตั้งมากมาย
แต่ก็เพราะเขาเห็นวัสดุที่สกุลสุ่ยเตรียมไว้ทั้งหมด ก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงขอขึ้นราคาเป็นเท่าตัว หรือว่าไม้ของที่นี่จะราคากระโดดพุ่งเป็นสามเท่าตัว
เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น เขาก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าสกุลสุ่ยจะมีสาเหตุใดให้ต้องขึ้นราคา
และตอนที่เขากำลังสับสนอยู่ก็พลันได้ยินเสียงพูดคุยของคนข้างๆ ดังขึ้น…
“ข้าไม่ได้ทำงานแย่หรือใช้ของไม่ดีเสียหน่อย!” เด็กหนุ่มที่คาดผ้าสีขาวบนหัวเถียงหน้าแดง
พออีกคนได้ยินก็รีบตำหนิเสียงเข้มทันที
“วันก่อนตอนกลางคืนเห็นๆ อยู่ว่ามีไม้กุ้ยมู่ สองคันรถมาที่อู่ ถ้าหากเจ้าไม่ได้ตุกติก แล้วเหตุใดทำเสร็จแล้วจึงเหลือแค่ครึ่งเดียวได้”
“มีสองคันรถที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่ามีแค่คันรถเดียว!” เด็กหนุ่มคนนั้นบอกอย่างเดือดดาลไม่ยอมแพ้ “เมื่อวานตอนเช้าที่ข้ามาทำงาน ก็เห็นไม้กุ้ยมู่แค่คันรถเดียว แล้วลงมือทำออกมาเป็นไม้พายทันที เสี่ยวหลี่ก็รู้ ไม่เชื่อก็ถามเขาสิ!”
สวี่จื่อฉีให้ทั้งสองฝ่ายสงบสติอารมณ์ก่อน แล้วจึงหันไปถามเสี่ยวหลี่ที่อยู่ข้างๆ
“เจ้าจะว่าอย่างไร”
เสี่ยวหลี่รีบพยักหน้า
“เรียนคุณชายสวี่ พี่สามพูดไม่ผิด มีไม้กุ้ยมู่อยู่แค่คันรถเดียวจริงๆ ขอรับ”
คนที่ตอนแรกจับตัวพี่สามได้ยินแล้วก็รีบบอกอย่างอดไม่ได้
“คุณชายสวี่ วันนั้นตอนกลางคืนข้าและท่านอาอู๋ขนไม้กลับมาสองคันรถจริงๆ ขอรับ!”
สวี่จื่อฉีได้ยินดังนั้นก็ให้เดือดดาลขึ้นมา พี่น้องพวกนี้ทำงานอยู่ที่อู่มากว่าห้าปีแล้ว นิสัยใจคอดีใช้ได้มาตลอด ไม่เหมือนคนที่จะโกหกได้ อีกอย่างทั้งสองฝ่ายต่างก็มีพยานยืนยัน ถ้าหากทั้งสองฝ่ายต่างพูดไม่ผิด แล้วไม้กุ้ยมู่คันรถนั้นหายไปไหน หรือว่า…