เขาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แม้จะไม่อยากคิดเช่นนั้น แต่ไม้คงไม่มีปีกบินได้ ดังนั้นจะต้องมีใครขโมยไปแน่
“เมื่อวานตอนเช้าใครเข้ามาในอู่คนแรก” จั้นปู้ฉวินเดินไปอยู่ข้างกายสวี่จื่อฉี โพล่งถามขึ้น
อีกคนหนึ่งยกมือตอบ
“ข้าเอง”
“ตอนที่เจ้าเข้ามามีอะไรมีพิรุธหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ” เขาส่ายหน้า “ประตูลงกลอนอยู่ ตอนที่ข้าเข้ามาก็เห็นรถคันเดียวแล้วขอรับ”
“แล้วคืนก่อนใครออกไปคนสุดท้าย”
ครั้งนี้อาหวังยกมือขึ้น
“ข้าออกไปคนสุดท้ายขอรับ”
“อาหวังสังเกตเห็นไม้กุ้ยมู่นั้นหรือไม่” สวี่จื่อฉีเห็นแก่ที่เขาเป็นคนดูแลอู่ต่อเรือ จึงค่อนข้างถามอย่างมีมารยาท
“ไม่เห็นขอรับ” อาหวังตอบเสียงเนิบ
จั้นปู้ฉวินได้ยินฝ่ายนี้แล้วก็เหมือนพบทางตัน จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง
“ได้ยินว่าช่วงนี้ไม้ราคาขึ้นสูงหรือ”
เขาพูดจบก็สำรวจสีหน้าของทุกคนอย่างเงียบๆ เห็นทุกคนมีสีหน้าไม่พอใจ เพราะรู้ว่าเขาสงสัยคนในอู่ว่าขโมยของเพราะเห็นแก่เงิน และมีเกลือเป็นหนอน
สวี่จื่อฉีจึงรีบบอก
“ช่วงนี้ราคาไม้ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง เหตุใดพี่จั้นจึงได้ถามเช่นนี้”
จั้นปู้ฉวินฉีกยิ้มกว้าง แสร้งถาม
“อย่างนั้นหรือ เพราะข้าไม่รู้เรื่องพวกนี้ จึงถามดูเท่านั้น”
ทุกคนได้ยินแล้วจึงได้คลายโทสะ แต่หนึ่งในนั้นกลับแอบสะดุ้ง อดสำรวจชายหน้าหนวดคนนี้มากขึ้นกว่าเดิมไม่ได้…
สวี่จื่อฉีถามอยู่พักหนึ่งแล้วก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เพื่อที่จะไม่ให้ส่งสินค้าล่าช้า จึงได้แต่ให้ทุกคนกลับไปประจำหน้าที่ตามเดิม ส่วนเขาก็กลับคฤหาสน์สกุลสุ่ยกับจั้นปู้ฉวินไปก่อน
หลังจากกินมื้อค่ำแล้ว เขาก็นั่งอยู่ในห้องหนังสือ ชั่งน้ำหนักคำพูดของทุกคน แต่ก็หาช่องโหว่ไม่เจอ ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม* ก็ยังคิดไม่ตกว่าตกลงแล้วไม้นั้นหายไปได้อย่างไร สิ่งเดียวที่จะเข้าใจได้คือในอู่มีเกลือเป็นหนอน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่ผีไม่รู้เทวดาไม่เห็นเช่นนี้ได้ ขณะที่เขากำลังขมวดคิ้วมุ่น จู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดตอนนั้นที่จั้นปู้ฉวินถามเกี่ยวกับไม้ขึ้นราคาก็พลันฉุกใจขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วลุกขึ้นหมายจะออกไปหาคน ใครจะรู้ว่าพอประตูเปิดออก คนที่เขาต้องการหาก็มาเองถึงที่
สวี่จื่อฉีผงะ หันกลับไปรินน้ำชาที่โต๊ะ
“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าอยู่พอดี เข้ามาสิ”
ใครจะไปรู้ว่าเขารินน้ำชาได้แค่ครึ่งเดียว ขนอ่อนหลังคอก็พลันลุกชัน รู้สึกถึงจิตสังหารที่ส่งทอดมาจากแผ่นหลัง จะหลบไปด้านข้างก็ไม่ทันการณ์แล้ว ยังคงถูกหมัดของอีกฝ่ายโจมตีเข้าที่หลัง เขานอนแผ่ลงไปข้างหน้ากระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง แต่สติสัมปชัญญะยังคงแจ่มชัด มือซ้ายรีบควานหาดาบใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วพลิกตัวหันกลับไปฟันฉับ!
ฝ่ายตรงข้ามหลบดาบแล้วซัดฝ่ามือเข้าที่หน้าอกอีกที
ข้างหลังสวี่จื่อฉีคือผนัง ไม่มีทางให้ถอยหนี ได้แต่ฝืนรับฝ่ามือของอีกฝ่าย แต่วรยุทธ์ของคนผู้นั้นล้ำเลิศเกินกว่าที่เขาคาดไว้ เขาพ่นเลือดออกมาอีกครั้ง ในแววตาฉายความตระหนกระคนไม่แน่ใจ ก่อนหน้านี้เขาไม่มีทางเชื่อแน่นอนว่าคนผู้นี้จะลงมือกับเขา และยิ่งไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะมีพลังยุทธ์สูงส่งถึงเพียงนี้ แต่ในตอนนี้ไม่มีเวลาให้เขาได้คิดอะไรมากมายแล้ว ได้แต่พยายามยกดาบใหญ่ขึ้น ใช้พลังเฮือกสุดท้ายฟาดฟันฝ่ายตรงข้าม…