14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน ลำนำรักเจ้านาวา ชุด หัวใจเจ้าทะเล
จั้นปู้ฉวินหยิบยาวิเศษที่รักษาแผลตลับนั้น ขณะกำลังคิดว่าจะเอายาไปให้คุณหนูใหญ่สกุลสุ่ยอย่างไรดี จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงต่อสู้ที่แผ่วเบา เขาขมวดคิ้วด้วยความฉงน สำแดงวิชาตัวเบาไปทางที่มาของเสียงนั้นโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะมาถึงนอกห้องหนังสือก็เห็นสวี่จื่อฉีถูกคนซัดกระเด็นออกมาจากหน้าต่าง
จั้นปู้ฉวินตื่นตระหนก รีบรับสวี่จื่อฉีไว้ก่อนที่เขาจะตกลงมา แล้วก็ได้เห็นเลือดสดๆ อันน่าสยดสยอง
“พี่สวี่!”
คนในห้องไม่คิดว่าข้างนอกจะมีคน หลังจากที่สะดุ้งตกใจแล้วก็รีบออกไปทางหน้าต่างอีกบาน หลบหนีไปท่ามกลางราตรีมืดมิด จั้นปู้ฉวินเดิมอยากจะจับอีกฝ่ายไว้ แต่สวี่จื่อฉีบาดเจ็บภายในอย่างสาหัสชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาพยายามเอาของสิ่งหนึ่งยัดใส่มือจั้นปู้ฉวินแล้วก็หมดสติไป
ช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วน จั้นปู้ฉวินจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะไปตามจับฆาตกร เขานั่งขัดสมาธิ สองมือทาบบนแผ่นหลังของสวี่จื่อฉี ใช้พลังปราณช่วยต่อชีพจรที่ถูกสะเทือนขาด
คนยังไม่ทันฟื้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะ จั้นปู้ฉวินโคจรพลังจะไปถึงตำแหน่งสำคัญ รู้ว่าจะเสียสมาธิไม่ได้ จึงได้แต่เพิ่มความเร็วให้พลังปราณไหลเวียนเร็วขึ้น ใครเลยจะรู้ว่าตอนที่คนสกุลสุ่ยพุ่งเข้ามาในลานเล็ก สวี่จื่อฉีจะล้มไปข้างหน้าและกระอักเลือดออกมาจากอกพอดี คนอื่นจึงเห็นแล้วเหมือนสวี่จื่อฉีถูกเขาทำร้าย
“ศิษย์พี่” ชายหนุ่มแปลกหน้าถือดาบรีบเข้ามา พอเห็นเหตุการณ์ก็กระโดดขึ้นฟันจั้นปู้ฉวินหนึ่งดาบพร้อมแผดเสียงตวาด “ไอ้โจรชั่ว เอาดาบนี่ไปกิน!”
จั้นปู้ฉวินเสียพลังปราณไปกว่าครึ่งเพื่อช่วยรักษาสวี่จื่อฉี เดิมทีก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะรับมือกับใครอยู่แล้ว ตอนนี้เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง จึงกลิ้งหลุนๆ หลบดาบใหญ่นั้นโดยไม่สนใจว่าท่วงท่าจะงดงามหรือไม่
ยังไม่ทันได้หายใจ ทางนี้ก็มีอีกคนเงื้อดาบฟันลงมาอีก จั้นปู้ฉวินหลบทางซ้ายได้ แต่ก็ไม่มีแรงจะสู้กับพวกเขาแล้ว เขาหายใจไม่ทัน เดิมก็ไม่อาจจะอ้าปากอธิบายได้ อีกทั้งวิชาดาบของสกุลสุ่ยก็ร้ายกาจจริงๆ ยิ่งกว่านั้นเขาสูญพลังปราณมากเกินไป แล้วจะไปต่อกรกับคนหมู่มากได้อย่างไร
ไม่ถึงสิบกระบวนท่า จั้นปู้ฉวินก็ไม่ทันระวังถูกหนึ่งในนั้นฟันเข้าหนึ่งแผล เขาหลบพ้นจุดสำคัญได้อย่างหวุดหวิด แต่ดาบใหญ่ยังคงฟันลงมาที่หัวไหล่ เข้ากระดูกไปสามส่วน เลือดสดๆ กระเซ็นออกมาจากประกายดาบภายใต้แสงจันทร์!
จั้นปู้ฉวินข่มความเจ็บที่ไหล่และฝืนต่อสู้ แต่สามคนที่ร่วมกันโจมตีตรงหน้านี้ไร้ช่องโหว่ พอหลบได้หนึ่งดาบก็มาอีกหนึ่งดาบ เป็นคลื่นดาบฟาดฟันมาไม่ขาดสาย ทั้งตัวเขาเกือบจะถูกปกคลุมอยู่ใต้ประกายดาบ หากเขายังจะต่อสู้กับคนพวกนี้อย่างอุตลุดต่อไป วันนี้ของปีหน้าก็คงเป็นวันครบรอบวันตายของเขาแล้ว
การหนีคือกลยุทธ์ที่ดีที่สุด ต้องรู้จักสู้รู้จักถอย ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างล้วนมีความหวัง!
เขา จั้นปู้ฉวินต่อสู้มาแล้วทั้งเหนือใต้ ห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร กระทั่งไปสู้ต่อที่ซีอวี้แดนทะเลทรายก็ยังไม่ตาย ถ้าวันนี้ถูกคนฆ่าตายอยู่ที่นี่ไปอย่างสับสนมึนงง นั่นก็เท่ากับว่าสวรรค์ปรักปรำเขาแล้วจริงๆ!
พอความคิดตั้งมั่น เขาก็ใช้วิชาเหยี่ยวพลิกกาย พลิกออกไปจากคลื่นดาบแต่ละชั้น ร่อนลงบนต้นไม้ สะกิดเท้าอีกหนึ่งทีก็ข้ามออกไปจากลานเล็กแห่งนี้ กระโดดไปบนศาลาข้างทางอีกแห่งในลาน พี่น้องสามคนนั้นก็ตามมาด้วย ทำให้จั้นปู้ฉวินไม่อาจหอบหายใจ มือใหญ่เปิดแผ่นกระเบื้องแล้วเหาะเหินออกไป
เห็นแค่เขาอยู่ข้างหน้า สามคนอยู่ข้างหลังกระโดดขึ้นกระโดดลง ไล่จับกันอยู่บนหลังคาในลานบ้าน
ในสถานการณ์ที่ต้องหนีและมีคนไล่ตามเช่นนี้ จั้นปู้ฉวินจึงได้รู้ว่าลานบ้านสกุลสุ่ยใหญ่โตไม่เข้าท่า ทำให้เขาเกิดความเหนื่อยล้าที่ข้ามไปไม่พ้นจากที่นี่เสียที ในราตรีมืดมิดทั้งสู้ทั้งหนีจนมาถึงลานสวนตะวันออก ในที่สุดข้างหน้าก็ปรากฏทางรอดชีวิต เห็นว่าพอพ้นจากกำแพงไปแล้วก็คือป่าทึบ เขาจึงได้โล่งอก แต่คาดไม่ถึงว่าหนึ่งในนั้นจะรุดมาอยู่ข้างหน้ากะทันหัน จั้นปู้ฉวินสู้กับทั้งสามคนต่ออย่างหมดแรง เรือนกายใหญ่ยักษ์เคลื่อนย้ายกลางอากาศ เอนเอียงไปด้านข้าง แล้วทะยานเข้าไปในหอที่อยู่ข้างๆ
ใครจะไปรู้ว่าพอกระโดดเข้ามาทางหน้าต่างแล้วจะเห็นคนนั่งอยู่บนเตียงคนหนึ่ง จมูกพลันได้กลิ่นหอมสดชื่น
“ใครน่ะ”
พอได้ยินเสียงนี้จั้นปู้ฉวินก็เกือบจะกระโจนออกไปทันที แค่เพราะไม่อยากทำให้นางตื่นตกใจ แต่หลายปีมานี้สัญชาตญาณแห่งการอยู่รอดทำให้เขารู้ว่านางคือโอกาสหนึ่งเดียวของเขา…
ไม่ต้องคิดให้ซับซ้อนอีกต่อไป เขาพุ่งตัวไปข้างหน้า อุ้มคนงามที่ยังไม่ตื่นดีด้วยมือข้างเดียว ปากบอกแค่ว่า
“เสียมารยาทแล้ว”
จากนั้นเขาก็กระโดดออกมาจากหอแล้วพลิกตัวขึ้นหลังคา
“ผู้ร้ายฆ่าคน คืนชีวิตศิษย์พี่ใหญ่ของข้ามา!” ใครคนหนึ่งเห็นเขากระโดดออกมาก็รีบเข้าไปฟันเขา
จั้นปู้ฉวินยึดสุ่ยรั่วไว้รีบร้องตะโกน
“อย่าเข้ามา!”
พี่น้องสามคนนั้นหยุดทันที หนึ่งในนั้นบอกอย่างเดือดจัด
“ไอ้โจรสมควรตาย ปล่อยคุณหนูใหญ่เดี๋ยวนี้!”
จั้นปู้ฉวินยึดคอสุ่ยรั่วไว้ด้วยมือเดียวแล้วยื่นไปข้างหน้า สุ่ยรั่วลอยอยู่กลางอากาศทั้งตัว ชายหนุ่มเอ่ยขู่
“หากพวกเจ้าเข้ามาอีก ข้าจะโยนนางลงไปได้ทุกเมื่อ! ทุกคนถอยไปสองจั้ง* ให้หมด!”
สุ่ยรั่วตกใจราวกับดอกไม้เผือดสี แต่กลับไม่ได้กรีดร้องออกมา เพียงแต่ตัวสั่นไม่หยุด
คนทั้งสามเห็นเหตุการณ์ดังนั้นแม้จะเดือดดาลไม่ยอมแพ้ แต่ก็จำต้องถอยไปไกลกว่าสองจั้งโดยดี แล้วจึงเอ่ยขึ้นอีก
“ปล่อยคุณหนูใหญ่เดี๋ยวนี้!”
“ถ้าพวกเจ้าไม่ตามมา ข้าจะปล่อยนางเอง!” จั้นปู้ฉวินหัวเราะลั่น โอบสุ่ยรั่วเข้ามาในอ้อมอก สะกิดเท้าแล้วทะยานออกไปนอกกำแพง หนีเข้าไปในป่าทึบสีดำ…