14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน ลำนำรักเจ้านาวา ชุด หัวใจเจ้าทะเล
บทที่หนึ่ง
ฤดูร้อนอบอ้าว
ในลานสวนริมทะเลสาบสีเขียวมรกต มีเสียงจักจั่น มีเสียงนก และมีสายลมอ่อนพัดโชย
ต้นหลิวยืนต้นเขียวไสวบนทางลาดปูด้วยหิน สตรีในอาภรณ์สีขาวกอดกระดาษเซวียนจื่อหลายม้วนเยื้องย่างไปทางหอรั่วหราน
“กระต่ายขาวโดดเดี่ยว เที่ยวท่องสอดส่ายทั่วออกตก อาภรณ์ใหม่ย่อมดีกว่าเก่า สหายเก่าย่อมดีกว่าใหม่…”
หญิงสาวเดินผ่านริมทะเลสาบ ได้ยินเสียงนุ่มใสไพเราะจับใจของสุ่ยเหลียนดังมาจากเรือนริมธาร มุมปากนางหยักยกขึ้นเล็กน้อยพร้อมส่ายหน้าเบาๆ
น้องสามชอบท่องบทกวีพวกนี้ นางโชคดีที่เกิดมามีน้ำเสียงไพเราะดุจดังนกขมิ้น ชวนให้ได้ยินแล้วไม่รู้จักเบื่อ ต่อให้นางจะสวดมนต์ น่ากลัวว่าจะทำให้คนฟังจนลุ่มหลงมัวเมาเช่นกัน
คราวก่อนสุ่ยเหลียนไปทำบุญที่วัดกับแม่รอง กลีบปากแดงชุ่มชื้นเพิ่งจะเผยอก็ดึงดูดหนุ่มเจ้าสำราญมาขอแต่งงานถึงบ้านเป็นโขยง ทำเอาสุ่ยเหลียนที่กลัวคนแปลกหน้ามาแต่ไหนแต่ไรขวัญเสีย นับแต่ครั้งนั้นนางก็ไม่ชอบออกไปข้างนอกยิ่งกว่าเดิม ท่องกวีเขียนโคลงคู่อยู่ที่เรือนริมธารผู้เดียวทั้งวัน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมไปทำบุญที่วัดกับแม่รองอีก
หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวยังไม่หยุดเท้า มุ่งหน้าเข้าไปในสวนต่อ ผ่านเรือนริมธารของน้องสาวไปก็เป็นเรือนบุปผาจรุงของน้องห้าสุ่ยหลัน ที่พักของน้องห้าสงบเงียบเสมอ นางมองเห็นควันขาวพวยพุ่งอยู่ตรงห้องปรุงยาหลังบ้านมาแต่ไกล ตามมาด้วยกลิ่นยาจางๆ ลอยอวลอยู่ในอากาศ
ไม่ต้องคิดนางก็รู้ว่าน้องห้ากำลังปรุงยาอีกแล้ว นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่ายาพวกนั้นมีอะไรน่าดึงดูดใจ ถึงกับทำให้สุ่ยหลันในวัยสิบสองปีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้ เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ เฉลียวฉลาดและชอบอ่านหนังสือ แต่หนังสือที่น้องห้าอ่านไม่เหมือนกับหนังสือที่น้องสามสุ่ยเหลียนอ่านเลยสักนิด เพราะหนังสือที่น้องห้าอ่านล้วนเป็นตำราแพทย์ประหลาดๆ
บิดาชอบที่น้องห้าเฉลียวฉลาด จึงไม่เคยห้ามนางอ่านตำราพวกนั้น แล้วยังให้คนไปเสาะหาตำราแพทย์จากที่ต่างๆ มาให้น้องห้าอีกด้วย ทั้งยังเชิญท่านหมอที่ทักษะการแพทย์ล้ำเลิศมาสอนวิชาแพทย์ให้นาง กระทั่งช่วยนางสร้างห้องปรุงยาโดยไม่สนใจว่าแม่สามจะคัดค้านหรือไม่ โชคดีที่ไม่ว่าน้องห้าจะทำการใดก็ใจเย็นรอบคอบมาตลอด เวลาปรุงยา ท่านหมอที่เชิญมาผู้นั้นจะอยู่ข้างๆ เสมอ ตลอดสองปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเรื่องเลย จึงทำให้แม่สามวางใจ
เดินผ่านเรือนบุปผาจรุงไปอีกก็จะเป็นหอรั่วหรานแล้ว
ขึ้นไปบนหอรั่วหราน ขอเพียงมองจากหน้าต่างชั้นสองออกไปข้างนอกก็จะเห็นเรือนที่พักของน้องสาวสองสามคนในสวนตะวันออกได้ชัดเจน ในสวนตะวันออกของสกุลสุ่ยล้วนเป็นที่พักของเหล่าสตรีของจอมยุทธ์สุ่ย สุ่ยอวิ๋น
สมัยวัยเยาว์จอมยุทธ์สุ่ยอวิ๋นแห่งต้งถิงเป็นคนมากความสามารถ เจ้าสำราญ ทั้งยังมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ อายุยี่สิบก็สู่ขอภรรยาเอกหนึ่งอนุสามตามลำดับ หลังจากแต่งงานแล้วภรรยาทั้งสี่คนก็ตั้งครรภ์อย่างราบรื่น แต่โชคร้ายที่ภรรยาทั้งสี่ของสุ่ยอวิ๋นล้วนแต่ให้กำเนิดบุตรสาวผิวเนื้อนวลเนียนหน้าตาน่ารัก การไม่มีทายาทสืบสกุลนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เป็นการอกตัญญู แน่นอนว่าสุ่ยอวิ๋นจะต้องมีบุตรชายให้ได้สักคนถึงจะพอใจ!
แต่หลายปีมานี้ บุตรสาวล้วนกระโดดออกมาทีละคนๆ ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไรก็ทำให้ภรรยาทั้งสี่ให้กำเนิดบุตรชายไม่ได้ อีกทั้งตอนบุตรสาวคนที่สิบสามถือกำเนิดกลับทำให้ภรรยาเอกของเขาต้องเสียชีวิต จอมยุทธ์สุ่ยเสียอกเสียใจแล้วจึงยอมรับชะตากรรมไม่ดันทุรังอีกต่อไป
มองทะเลสาบและภูเขาเขียวชอุ่มนอกหน้าต่างแล้วก็ให้นึกถึงมารดาที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำ หญิงสาวในอาภรณ์ขาวรู้สึกเศร้าขึ้นมานิดๆ จวบจนวันนี้มารดาจากโลกนี้ไปได้ห้าปีแล้ว แต่ในฝันกลางดึกนางยังคงฝันถึงความอ่อนโยนและเสียงเพลงขับกล่อมที่มารดาจะกล่อมนางเข้านอนสมัยที่นางยังเล็กอยู่เสมอ
นางถอนหายใจเบาๆ หันไปเอาม้วนกระดาษวางบนโต๊ะแล้วคลี่ออกอย่างระมัดระวังยิ่ง จากนั้นก็นำที่ทับกระดาษทับมุมไว้แต่ละด้าน กระดาษเซวียนจื่อสีขาวกางแผ่อยู่บนโต๊ะ เผยให้เห็นภาพบนนั้น
เห็นเพียงภาพบนนั้นไม่เหมือนกับภาพภูเขาลำธารบุปผาสกุณาทั่วไป แต่เป็นภาพร่างและลายเส้นแปลกประหลาด อีกทั้งตรงกลางยังจดตัวเลขไว้จำนวนหนึ่ง หากมองให้ละเอียดก็จะเห็นชัดว่าภาพบนนั้นคือภาพเรือที่แยกเป็นส่วนๆ
หญิงในชุดขาวทับภาพเรือเรียบร้อยแล้ว เฉี่ยวเอ๋อร์สาวใช้ประจำตัวนางตั้งแต่เด็กจึงได้ยกชาร้อนเดินอย่างแช่มช้าเข้ามา ปากยังพึมพำบอก
“คุณหนู ท่านเดินเร็วเหลือเกิน”
นางคลี่ยิ้ม หยิบพู่กันและแท่งฝนหมึกออกมาจากตู้พลางเอ่ยเสียงนุ่ม
“เรือลำนี้สกุลจั้นรีบร้อนจะเอา ข้าต้องวาดภาพออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกคนในอู่ต่อเรือถึงจะเริ่มทำงานได้”
เฉี่ยวเอ๋อร์นำถาดชาวางไว้บนโต๊ะ ทำหน้าไม่เห็นด้วย
“สกุลจั้นอยู่ไกลถึงเมืองหยางโจว ข้าว่าพวกเขาไม่น่าจะมาเอาในเวลาสั้นๆ หรอกเจ้าค่ะ”
“จะว่าอย่างนั้นไม่ได้หรอก พวกเรารับปากเขาไว้แล้ว แน่นอนว่าต้องทำให้เสร็จโดยเร็วที่สุด” มือข้างหนึ่งของนางฝนหมึก มืออีกข้างจับแขนเสื้อไม่ให้จุ่มน้ำหมึก เอ่ยเบาๆ พร้อมคลี่ยิ้ม “คนเราพูดแล้วจะผิดคำพูดได้อย่างไร”
“ข้าทราบเจ้าค่ะ ข้าทราบ อักษรคนและคำพูดรวมกันเป็นคำว่าเชื่อพูดแล้วก็ต้องทำ ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ” เฉี่ยวเอ๋อร์เดินมาถึงข้างโต๊ะแล้วรับงานฝนหมึกไปทำต่อ ทั้งไม่ลืมกลอกตา “แต่เล็กจนโต ข้าท่องได้แล้วเจ้าค่ะ”
หญิงสาวในชุดขาวถูกสีหน้าซุกซนของสาวใช้เย้าแหย่จนหัวเราะ อดเอ่ยเยาะหยันไม่ได้
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าได้ยินน้องสามท่องกลอนมาตั้งแต่เด็ก ท่องให้ข้าฟังหน่อยเป็นไร?”
เฉี่ยวเอ๋อร์ได้ยินดังนั้น ดวงตารูปเมล็ดซิ่งก็เบิกกว้าง รีบเถียง
“ไม่เหมือนกันนะเจ้าคะ! กลอนที่คุณหนูสามท่องออกเสียงยากเหลือเกิน ทุกครั้งที่ข้าได้ยินก็จะรู้สึกง่วงงุนจวนจะหลับ จำได้เสียที่ไหนกันเล่าเจ้าคะ” เพื่อไม่ให้คุณหนูใหญ่จู่โจมตัดขานางอีก นางจึงรีบเบิกตาโตอย่างใสซื่อเอ่ยเตือน “คุณหนู ท่านรีบวาดภาพมิใช่หรือ คนเราพูดแล้วต้องทำตามที่พูดใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เห็นเฉี่ยวเอ๋อร์ทำหน้าแสร้งโง่น่ารัก หญิงสาวชุดขาวก็ยิ้มพลางส่ายหน้า เพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้ก็หยิบพู่กันจุ่มหมึกดำเล็กน้อยแล้ววาดภาพเรือที่ยังวาดไม่เสร็จต่อ