บทที่สี่
สุ่ยรั่วถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ในอ้อมกอดของคนผู้นี้ ได้ยินแค่เสียงลมหวีดหวิวข้างหู นางลองลืมตาแล้ว แต่ในผืนป่าทึบมืดมิดมองไม่เห็นอะไรเลย และเกือบจะถูกกิ่งไม้บาดตาเอาด้วยซ้ำ นางตระหนกจนรีบเอาหน้าซุกกลับไปที่แผ่นอกแข็งแกร่งของชายหนุ่ม
ในตอนแรก ท่ามกลางสายลมยังคลับคล้ายได้ยินเสียงคนเอ็ดตะโรตามมาข้างหลัง แต่ไม่นานเสียงคนก็ไกลออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ได้ยินแค่เสียงลมแรงหวีดหวิวและเสียงหัวใจเต้นในหน้าอกของเขา
จมูกเริ่มได้กลิ่นคาวเค็มของเลือด สุ่ยรั่วอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ หวาดกลัวเพราะไม่รู้ว่าจะถูกผู้ร้ายคนนี้พาไปที่ใด จนกระทั่งตอนนี้นางจึงได้นึกเสียใจที่ไม่ได้เรียนวรยุทธ์ป้องกันตัวจากบิดาเหมือนกับน้องสี่
นางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด รู้แค่ราวกับเป็นเวลายาวนานไร้ที่สิ้นสุด เขาจะพานางหนีไปยังทิศทางใด นางคิดไม่ออกเลยสักนิดเดียว เพราะนางแยกแยะเหนือใต้ออกตกไม่ได้แต่แรกแล้ว
ความตื่นตระหนกและไร้ทางช่วยคือคำบรรยายความรู้สึกในใจของนางตอนนี้ นางทั้งกลัวว่าจะถูกเขาจับตัวถลาพุ่งออกไป และกลัวว่าเขาจะหยุดแล้วสังหารนางทิ้งในที่สุด ความรู้สึกกลัวที่ไร้ขอบเขตบีบรัดหัวใจของนาง ทำให้นางไม่กล้าส่งเสียงแม้สักแอะ ได้แต่ปิดตาทั้งคู่แน่นตัวสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ ที่ลำคอยังรู้สึกถึงพละกำลังของมือใหญ่ที่บีบอยู่เมื่อครู่นี้ แม้จะเป็นธิดาสกุลสุ่ย อย่างน้อยก็นับว่าเป็นบุตรสาวในยุทธภพ นางโตมาขนาดนี้ แต่กลับเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้แค่นี้เอง
นางเกือบจะได้ลิ้มรสคาวเลือด รสชาติแห่งความตาย…
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็หยุดลง สุ่ยรั่วกลัวจนแทบกรีดร้องออกมา สุดท้ายก็แค่หน้าซีดราวกับคนตาย รอคอยให้ความตายมาถึง
“ขออภัย”
ขออภัย? สุ่ยรั่วประหลาดใจ นึกสงสัยสิ่งที่ตัวเองได้ยิน นางนึกว่าความตายกำลังจะมาถึงแล้ว แต่กลับได้ยินเขาเอ่ยว่าขออภัย
เขาปล่อยนาง นางอดไม่ได้จึงลืมตาทั้งคู่ ทำหน้าสับสน
“เมื่อครู่นี้ข้าน้อยล่วงเกินไปมาก เพราะไม่มีทางเลือกจริงๆ คุณหนูโปรดอภัยให้ด้วย” จั้นปู้ฉวินหน้าซีดขาวมือกุมหัวไหล่ไว้ เผยยิ้มขื่นพลางอธิบายอย่างจริงใจ
“ท่าน…” สุ่ยรั่วถอยไปหนึ่งก้าว คล้ายยังประหลาดใจและฉงน
ความมึนงงแผ่ลามมาระลอกหนึ่ง จั้นปู้ฉวินฝืนไว้ไม่อยู่จึงเอ่ยปลอบหญิงสาว
“ไม่ต้องกลัว ข้างหลังเจ้าไม่ไกลมีถนนเส้นเล็กๆ พอเห็นถนนแล้วก็เลี้ยวขวา เลียบถนนเส้นเล็กนั้นลงเขาไปประมาณครึ่งชั่วยามก็จะเจอผู้คนแล้ว”
พูดเสร็จก็แสดงท่าทางให้เห็นว่าตัวเองไม่ได้มีเจตนาร้าย เขาจึงหันหลังจากไปอย่างโรยแรง แม้ตอนอยู่ในหอเขาจะสกัดจุดข้างบาดแผลเพื่อห้ามเลือดแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ก็ได้เสียเลือดไปมาก อีกทั้งยังเสียพลังปราณไปกว่าครึ่ง แล้วยังลักพาคนฝืนใช้กำลังเหาะหนีอีก ตอนนี้เขาจึงไม่เหลือกำลังเลย ใกล้จะไม่ไหวอยู่รอมร่อ จึงได้รีบหยุด หนึ่งคือเพราะไม่มีกำลังแล้ว สองคือเพื่อปล่อยนางกลับไป
เพิ่งจะเดินมาได้ไม่กี่ก้าว ภาพตรงหน้าก็ยิ่งดำมืด ความมึนงงยิ่งหนักหน่วง จั้นปู้ฉวินรู้ว่าเขาจำเป็นต้องรีบหาที่ซ่อนตัวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แม้ที่นี่จะไกลจากคฤหาสน์สกุลสุ่ยมากแล้ว แต่เผื่อเอาไว้ก่อนจะดีกว่า เผื่อว่าหากถูกคนที่ฆ่าไม่เลือกพวกนั้นหาตัวพบ เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
น่าตายนัก!
พละกำลังในร่างกายค่อยๆ ถดถอย เขาลอบสาปแช่ง เหมือนจะมองเห็นทางใต้ฝ่าเท้าพร่าเลือน ได้แต่กัดฟันลากสังขารที่หนักหนา เท้าแต่ละก้าวเดินโซเซก้าวแล้วก้าวเล่า ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะหันกลับไปมองนางจากไป…
สุ่ยรั่วกุมหน้าอกด้วยความตื่นตระหนก มองชายร่างสูงเจ็ดฉื่อลากเท้าหนักๆ จากไปไกล นางก็ลองถอยหนึ่งก้าว จากนั้นก็ถอยอีกก้าว พอเห็นอีกฝ่ายไม่ได้หันกลับมาจริงๆ จึงได้รีบหมุนตัววิ่งหนี แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงดัง ‘ตึง’ จากด้านหลัง นางตกใจจึงหันกลับไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มล้มคว่ำหน้าลงไปทั้งตัว แน่นิ่งอยู่ข้างลำธาร ร่างกายท่อนบนกว่าครึ่งแช่อยู่ในน้ำ
สุ่ยรั่วยืนนิ่งอยู่ข้างป่ากำลังลังเล ทั้งๆ ที่รู้ว่าทางที่ดีที่สุดคือหมุนตัววิ่งหนีไป…คนผู้นี้สังหารพี่สวี่ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ควรสนใจว่าเขาจะเป็นหรือตาย แต่…เมื่อวานคนผู้นี้ก็ถือว่าช่วยนางไว้เช่นกัน
สุ่ยรั่วกัดกลีบปากล่างเบาๆ ขมวดคิ้วงามอย่างลำบากใจมองไปทางเขา
คนผู้นั้นนอนอยู่ตรงนั้น ขยับก็ขยับไม่ได้ราวกับศพ สัญชาตญาณของความใจดีทำให้นางเดินไปข้างหน้าตรวจดูอาการของเขา แต่อีกด้านหนึ่งก็กลัวว่าเขาจะฟื้นขึ้นมากะทันหันแล้วทำร้ายนาง…
ขณะที่นางเงยหน้าขึ้นด้วยความลังเลไม่หาย แสงจันทร์เจิดจ้าก็ส่องผ่านเมฆลงมา ทำให้นางเห็นแผลที่หัวไหล่ของชายหนุ่มชัดเจน เลือดสดไหลพรากอาบย้อมเสื้อผ้าขาดรุ่ยของเขา น้ำในลำธารชะบาดแผลนั้น แต่กลับทำให้สีเลือดแผ่เป็นวงกว้างบนผิวน้ำ ราวกับเขาหลั่งเลือดออกมาเป็นลำธารอย่างไรอย่างนั้น แลดูน่าสยดสยอง!