พอเห็นภาพนี้ สุ่ยรั่วก็ปิดปากสูดหายใจเฮือก ยังไม่ทันได้สติคืนมา ทั้งตัวของชายหนุ่มก็ถูกน้ำในลำธารชะจนเริ่มเคลื่อนไหวช้าๆ…
นางพุ่งเข้าไปในลำธารแทบจะโดยสัญชาตญาณ และยึดเขาไว้ในพริบตาสุดท้าย!
ไม่ได้สังเกตว่าสองเท้าและชายกระโปรงเปียกน้ำในลำธาร นางแค่ยึดชายหนุ่มที่ใกล้จะถูกน้ำในลำธารซัดออกไปสุดกำลัง ไม่ง่ายเลยกว่าจะดึงคนผู้นี้กลับมาริมธารได้ ทั้งต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดพลิกตัวเขาขึ้นมาให้หันหน้าขึ้น
แล้วตอนนี้ควรทำอย่างไร
สุ่ยรั่วมองชายตัวโตที่แทบจะเปียกโชกไปทั้งตัวด้วยความสับสนทำอะไรไม่ถูก นานพักหนึ่งจึงนึกได้ว่าควรจะดูว่าเขายังหายใจอยู่หรือไม่ นางย่อตัวลงอย่างหวาดๆ ยื่นนิ้วชี้ออกไปใต้จมูกที่ครึ้มหนวดของเขาอย่างกลัวๆ กล้าๆ นานพักหนึ่งจึงได้รู้ว่าเขายังมีลมหายใจ
เฮ้อ โชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่
นางหดมือกลับมาพลางโล่งอกแล้วลุกยืนขึ้น แต่หางตาก็ยังเหลือบไปมองบาดแผลที่หัวไหล่ของเขา
ทำอย่างไรดี
สุ่ยรั่วเห็นชายหน้าหนวดเจ็บหนักไม่ยอมฟื้น ก็นึกถึงคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้ตอนที่ปล่อยนางไป เขาบอกว่าเขาไม่มีทางเลือก…
ยามนี้หลังจากที่สงบสติอารมณ์แล้ว ครั้นมองใบหน้าหนวดครึ้มของเขาอีก นางก็กลับไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ตรงกันข้าม พอหวนนึกถึงว่าคนผู้นี้แม้จะบุกเข้ามาที่หอรั่วหรานจับนางไว้ ผิวเผินนั้นดูเหมือนโหดเหี้ยมโอหัง กระทั่งจับคอนางอย่างโหดร้ายขู่ว่าจะโยนนางลงไปจากหอสูง แต่ตอนนั้นความจริงแล้วเขายึดผ้าคาดเอวข้างหลังนางไว้ด้วย อีกทั้งตลอดทางเขาไม่ได้ทำร้ายนางจริงๆ เมื่อครู่ก็รักษาสัญญาปล่อยนางจากไป ทั้งท่าทางยังมีมารยาทสุดประมาณด้วยซ้ำ
จู่ๆ แขนขวาก็เจ็บแปลบขึ้นมา นางจึงนึกได้ว่าแขนของตัวเองยังมีแผลถลอกเป็นแถบกว้าง แต่ก็เพราะเหตุนี้จึงทำให้นางยิ่งมั่นใจว่าคนผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อนาง เพราะเมื่อครู่แม้เขาจะจับนางไว้ แต่กลับไม่ได้แตะต้องแขนขวาที่นางได้รับบาดเจ็บเลยตั้งแต่ต้น กระทั่งเหมือนจะตั้งใจเลี่ยงด้วยซ้ำ…
น้ำในลำธารไหลซู่ ลมราตรีโชยพัดมาระลอกหนึ่ง เลิกกระโปรงที่เปียกชื้นของนางขึ้นเล็กน้อย
สุ่ยรั่วมองคนผู้นั้น ใคร่ครวญอยู่ในใจหลายตลบ สุดท้ายจึงได้สูดหายใจเข้าลึก ล้วงผ้าเช็ดหน้าสะอาดออกมาจากอกเสื้อ แกะผ้าที่แขนขวาซึ่งยังค่อนข้างสะอาดสะอ้านอยู่ออกมาแล้วย่อตัวลงช่วยพันแผลให้เขา
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เคยช่วยชีวิตนางไว้ครั้งหนึ่ง และเรื่องที่เกิดในคืนนี้ ทั้งจากวิธีที่เขาพูดเมื่อครู่นี้เหมือนจะมีปัญหานิดๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นางช่วยพันแผลให้เขา ห้ามเลือดแล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย และยังถือเป็นการตอบแทนน้ำใจของเขาด้วย
นางพันแผลให้เขาเสร็จแล้วก็ค่อยลงเขาไปหาครอบครัวชาวบ้านเพื่อแจ้งข่าวให้ที่บ้านรู้ ถ้าภายภาคหน้าพบว่าเขาไม่ใช่ผู้ร้ายฆ่าคน ถึงตอนนั้นนางจะได้ไม่ต้องรู้สึกใจไม่สงบไปชั่วชีวิตเพราะไม่ได้ช่วยเขา ทว่าถ้าหากเขาคือฆาตกรฆ่าคนจริงๆ เชื่อว่าเขาเจ็บหนักถึงเพียงนี้ก็คงเคลื่อนไหวไม่ได้แล้ว
หลังจากพันแผลที่หัวไหล่ของเขาเสร็จแล้ว สุ่ยรั่วจึงออกแรงเต็มที่ลากเขามาอยู่ใต้ต้นไม้ข้างลำธาร เพื่อไม่ให้เขาถูกน้ำซัดอีก แต่เขาทั้งตัวใหญ่และหนักเหลือเกิน นางจึงได้แต่ลากชายตัวโตสูงเจ็ดฉื่อมาทีละชุ่น* สุดท้ายก็เหงื่อโซมกาย กว่าจะลากเขามาอยู่ใต้ต้นไม้ในระยะสองฉื่อได้ สองมือแทบถลอก
นางหอบหายใจพลางล้างคราบเลือดบนมือของตนที่ลำธาร หันกลับไปมองชายหน้าหนวดที่นอนแน่นิ่งอย่างไม่ค่อยสบายใจแล้ว จึงได้หมุนตัวจากไปในทิศทางที่เขาบอกเมื่อครู่อย่างเด็ดเดี่ยว
พระจันทร์ค่อยๆ ย้ายจากเหนือศีรษะไปยังอีกฟากฝั่งของท้องนภายามราตรี ดาราดวงน้อยยังคงระยิบพร่างพราว
มองชายตัวโตที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ เสียงถอนหายใจเบาๆ ก็แผ่วพลิ้วออกมาจากกลีบปากแดงนุ่ม
“เฮ้อ…”
สุ่ยรั่วคุกเข่าอยู่ข้างชายหนุ่ม หว่างคิ้วงามมีร่องรอยความห่วงใยบางๆ
นางเองก็รู้ว่าไม่ควรจะสนใจเขาอีก แต่เมื่อครู่ที่เดินไปได้ไม่ไกล นางกลับคิดฟุ้งซ่านระหว่างทางบนเขาอย่างอดไม่ได้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าทิ้งคนเจ็บหนักถึงเพียงนี้ท่ามกลางความมืดมิดในป่าเขาห่างไกลผู้คนแล้วช่างใจร้ายนัก พักหนึ่งก็คิดว่าเขาอาจจะถูกสัตว์ร้ายกินก็ได้ พักหนึ่งก็กลัวว่าเขาจะเจ็บหนักจนทนไม่ไหวแล้วหมดลมหายใจ
และตอนที่นางได้ยินเสียงหมาป่าเห่าหอนจากที่ไกลๆ จริงๆ นั้น นางก็ไม่ได้ขบคิดนานนัก หันหลังวิ่งกลับมา…แม้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะไล่หมาป่าหิวโหยอย่างไร
มือขาวเนียนของนางกำกิ่งไม้ที่เก็บมาจากพื้นเมื่อครู่นี้แน่น มองไปรอบทิศอย่างระแวดระวัง กลัวว่าจะมีฝูงหมาป่าโผล่พรวดออกมาจากข้างทางจริงๆ
จากนั้นไม่รู้ว่าเมื่อไร หมาป่าที่อยู่ไกลๆ ก็ไม่ได้เห่าหอนใส่พระจันทร์อีกแล้ว ในราตรีดำมืดนอกจากเสียงน้ำไหลซู่ๆ แล้ว บางคราวก็ยังได้ยินเสียงกบร้องและเสียงของสัตว์ตัวน้อยไม่ทราบชื่อผ่านมา หนังตาของนางก็ยิ่งหนักขึ้นทุกทีจนค่อยๆ ต้านทานไม่อยู่ สองสามวันก่อนหน้านี้นางไม่ได้นอนมากเท่าไรเพราะรีบเร่งวาดภาพ เมื่อคืนก็นอนไปได้ไม่กี่ชั่วยาม ตอนนี้จึงได้หลับสนิทไป ตอนแรกนางยังผวาตื่นเพราะเสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นกะทันหัน ทว่าหลังจากนั้นก็ไม่อาจจะยืนหยัดต่อไปได้ ได้แต่กอดกิ่งไม้ที่เอาไว้ใช้ป้องกันตัวแน่น พิงต้นไม้หลับไปด้วยความอ่อนล้า
และจั้นปู้ฉวินยังคงหมดสติแน่นิ่งอยู่ข้างกายนาง มีเพียงหน้าอกที่กระเพื่อมไหวและลมหายใจยาวที่บ่งบอกให้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
พระจันทร์บนผืนนภาค่อยๆ คล้อยต่ำ เส้นขอบฟ้าไกลสุดตาค่อยๆ ทอแสงสีขาว…