จั้นปู้ฉวินปาดน้ำออกจากหน้า ยังไม่ทันปรับลมหายใจดีก็สะดุ้งตกใจ เพราะคุณหนูใหญ่หน้าตาซีดเซียว เขาตระหนก รีบตรวจลมหายใจของนาง กลับพบว่านางไม่มีลมหายใจแล้ว ตอนนี้จึงนึกขึ้นได้ว่าเขาเรียนวรยุทธ์มา สามารถปิดลมหายใจในน้ำได้ แต่คุณหนูใหญ่สกุลสุ่ยผู้นี้ทำไม่ได้! อีกอย่างเมื่อครู่นี้เขายังสกัดจุดนางไว้ด้วย ต่อให้นางทำได้ก็ไม่อาจจะปิดลมหายใจได้อยู่ดี กลัวแต่ว่านางจะเผลอดื่มน้ำเข้าไปสิบกว่าอึกแล้ว!
จั้นปู้ฉวินพลันหน้าขาวซีดราวกับคนตาย ลองตรวจชีพจรของนางอีกครั้ง โชคดีที่ชีพจรยังเต้นอยู่ เขารีบคลายจุดชีพจรของนางที่ผนึกไว้พลางด่าตัวเองที่โง่งม และไม่มีเวลาจะมาสนใจว่าชายหญิงต้องเคร่งครัดในเรื่องห้ามแตะเนื้อต้องตัวกัน ทาบฝ่ามือลงบนหน้าอกนางโดยตรง ใช้พลังปราณช่วยให้นางกลับมาหายใจ
ครึ่งเค่อหลังจากนั้น สุ่ยรั่วก็สำลักน้ำออกมาหลายอึกติดๆ กัน ใบหน้าซีดขาวกลับมามีสีเลือดอีกครั้ง
จั้นปู้ฉวินดึงมือใหญ่ที่หน้าอกนางกลับมา รีบประคองนางลุกนั่ง ปากก็ขอโทษขอโพยไม่หยุด
“ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
หน้าเขาซีดขาว หอบหายใจเล็กน้อย เพื่อช่วยให้นางกลับมาหายใจ เขาเสียพลังปราณที่เหลืออยู่ไปอีกนิด เมื่อคืนอาการบาดเจ็บเพิ่งจะฟื้นคืนปกติ ทว่าตอนนี้ก็กลับมาอาการหนักขึ้นอีกหลายส่วน
“แค่กๆ…เกิด…แค่ก…อะไรขึ้น” หน้าอกและปอดเจ็บจนทำให้นางน้ำตารื้น สุ่ยรั่วปิดปากไอพลางถาม ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตัวเองถึงรู้สึกเหมือนเพิ่งจมน้ำมา
เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ได้แต่โพล่งออกมาอย่างกระดาก
“ขออภัย…”
สุ่ยรั่วกลับมาหายใจได้เล็กน้อยแล้วถามอีก
“ที่นี่ แค่ก…คือที่ไหน”
“บนเขา” ครั้งนี้เขาตอบอย่างรวดเร็ว แต่ตอบก็เหมือนไม่ได้ตอบ
ความจริงสุ่ยรั่วก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะตอบเหตุผลออกมา ดังนั้นจึงไม่ได้ซักไซ้อะไรมาก แค่ไอสองทีแล้วฝืนยันร่างลุกขึ้น
จั้นปู้ฉวินประคองนางลุกขึ้นอย่างทำอะไรไม่ถูก ข้างบนก็พลันแว่วเสียงสุนัขร้อง!
สุ่ยรั่วทำหน้าประหลาดใจ จั้นปู้ฉวินกลับเกือบจะสะดุ้งตกใจ นางเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นก็ถูกเขาเอามือใหญ่มาปิดปากไว้ พร้อมลากนางเข้าไปซ่อนตัวในป่าทึบทันที
“อย่าร้อง” เขาบอกเสียงแผ่ว แม้เสียงจะเหี้ยมเกรียม แต่ในแววตากลับมีประกายเว้าวอน
สุ่ยรั่วถูกเขากดไว้ข้างต้นไม้ ดวงตาวาวฉ่ำวาบฉายความตระหนก ครั้งนี้นางไม่ได้เชื่อฟังเขาแต่โดยดี ตรงข้ามกลับเริ่มออกแรงดีดดิ้น แม้ปากเล็กจะถูกมือใหญ่ของเขาผนึกไว้ แต่ยังคงส่งเสียงร้องอู้อี้ออกมา
โชคดีที่เสียงน้ำตกดังมาก เสียงร้องอู้อี้ของนางจึงไม่ได้เล็ดลอดออกไปจริงๆ
กลัวว่านางจะร้องดิ้นต่อไปจนดึงดูดความสนใจของคนและสุนัขข้างบน มือใหญ่ของชายหนุ่มจึงโอบรอบเอวและสองมือของนางไว้ ก้มลงบอกข้างหูนางเบาๆ
“คุณหนูใหญ่ ข้าไม่ได้เป็นคนทำร้ายพี่สวี่ ข้าแค่ผ่านไปพอดี ขณะที่กำลังช่วยเขาก็ถูกพวกศิษย์ของบิดาเจ้าเข้าใจผิด! ตอนนี้พวกเขากำลังมีโทสะ ไม่มีทางฟังข้าอธิบายแน่ ข้าบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจต้านทานพวกเขาได้ ถ้าหากต้องตายที่ต้งถิงอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ เกรงว่าคงทำให้ชื่อเสียงในยุทธภพของจอมยุทธ์สุ่ยอวิ๋นต้องแปดเปื้อน! ต่อให้คุณหนูใหญ่ไม่เห็นแก่ข้า ก็ควรเห็นแก่จอมยุทธ์สุ่ยอวิ๋นและพี่สวี่!”
จั้นปู้ฉวินหน้าซีดราวกับคนตายรีบอธิบาย กรอบหน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดพราย ความจริงแล้วเขาในตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือมากพอที่จะแบกนางวิ่งหนี ถ้าหากนางจะขัดขืนต่อไปจริงๆ ดึงดูดความสนใจจากข้างบนได้ เขาย่อมต้องตายโดยไร้ข้อกังขา
สุ่ยรั่วตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดชายหนุ่ม มือใหญ่ของเขาค่อนข้างเย็นเฉียบ ไม่เหมือนเมื่อคืนที่ยังมีความร้อนระอุ หน้าผากและเรียวคิ้วมีเหงื่อหยดลงมา ไม่รู้ว่าเป็นน้ำในลำธารหรือเป็นเหงื่อของเขา นางรู้ว่าเขากังวลยิ่งนัก และยังรู้ด้วยว่าขอเพียงนางดิ้นรนขัดขืนต่อไป หากเขาไม่ฆ่านางก็จะเอานางเป็นตัวประกันอีก…
นางเชื่อคำพูดเมื่อครู่ของเขาแค่สามส่วน นัยน์ตาสีดำของเขาที่อยู่ตรงหน้าใกล้ๆ นี้จับจ้องนางไม่กะพริบ นางเห็นเงาสะท้อนของตัวเองที่สงบนิ่งอยู่ในแววตาของเขา พริบตานั้นนางเข้าใจแล้วว่าแค่สามส่วนน้อยๆ นั้นก็เพียงพอให้นางหยุดดิ้น นางเลือกแล้ว เลือกที่จะช่วยเขา
นางไม่รู้ว่าการตัดสินใจนี้ผิดหรือถูก นางแค่หวังว่าในวันหน้าตนจะไม่ต้องเสียใจภายหลังเพราะเรื่องนี้
ลมภูเขาที่หนาวเข้าเนื้อพัดผ่าน เสียงน้ำที่ไหลตกลงมาดังซู่ๆ ฐานน้ำตกสะท้อนแสงอรุณสีเหลืองทอง สะท้อนเป็นสายรุ้งเล็กๆ บนละอองน้ำ คนใต้ต้นไม้สองคนตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน
ไม่นานเสียงสุนัขล่าเนื้อก็ไม่ได้แว่วมาให้ได้ยินอีก เสียงคนที่คืบใกล้เข้ามาก็ค่อยๆ ไกลออกไป…