บทที่ห้า
“ขอบคุณ…” ผ่านไปพักใหญ่ จั้นปู้ฉวินก็ปล่อยมือใหญ่ที่ปิดปากเล็กไว้ในที่สุด แล้วกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ
แสงอาทิตย์ลอดผ่านใบไม้ในผืนป่าสาดส่องลงมาบนร่างเขา ตอนนี้สุ่ยรั่วจึงพบว่าความจริงแล้วเขาหน้าตาไม่เลวเลย…อย่างน้อยส่วนที่ไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยหนวดหยิกหย็อยก็เป็นเช่นนั้น
ขนคิ้วของเขาทั้งดกทั้งดำ ดูยโสก้าวร้าว สันจมูกโด่งตรงดูเหมือนเคยถูกคนต่อยหักมาก่อน ใต้ตาขวามีรอยแผลเป็นที่มองเห็นไม่ชัดหนึ่งรอย ดวงตาสีดำทั้งคู่แม้ตอนนี้จะดูอ่อนล้าโรยแรง แต่ก็ยังทอรัศมีเปล่งประกาย
เอาเถอะ ส่วนอื่นๆ ไม่ได้หล่อเหลาจริงๆ กระทั่งยังเหมือนหัวหน้าโจรอย่างที่เฉี่ยวเอ๋อร์บรรยายไว้หน่อยๆ ด้วย แต่นางก็ยังรู้สึกว่ามองเขาแล้วสบายตายิ่งนัก
น้ำหยดหนึ่งไหลลงมาจากปลายผมของเขา ตอนที่สุ่ยรั่วสะดุ้งรู้สึกว่าความเย็นเฉียบไหลลื่นผ่านคอเสื้อเข้าไปในตัวเสื้อ จึงได้รู้ว่าพวกเขาสองคนอยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะไม่ควร มือใหญ่อีกข้างของเขายังคงรวบเอวบางของนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย และนางก็แทบจะซบอยู่กับเรือนกายสูงใหญ่กำยำของเขา อีกทั้งเสื้อผ้าของทั้งสองยังเปียกชื้น เสื้อผ้าของนางและเขาแนบสนิทกับร่าง กอปรกับเมื่อคืนนี้นางเข้านอนแล้วถึงได้ถูกเขาลักพาตัว ทั้งเนื้อตัวก็ใส่แค่เสื้อตัวในเพียงตัวเดียว ยามนี้เสื้อเปียกแนบตัวเผยให้เห็นรูปร่าง นางจึงรู้สึกราวกับตัวเองไม่ได้สวมใส่อะไรเลย
สีแดงเรื่อแผ่ลามขึ้นแก้มนวลทั้งสองข้าง สุ่ยรั่วสูดหายใจเฮือกเบาๆ เอ่ยอย่างกระสับกระส่าย
“ปะ…ปล่อยข้า…”
ได้ยินเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนของนาง จั้นปู้ฉวินที่ยังคงมองไปรอบๆ จึงได้สังเกตเห็นว่ามือของตัวเองยังคงโอบรัดนางแน่นไม่ยอมปล่อย อีกทั้งยังเป็นมือข้างที่หัวไหล่ได้รับบาดเจ็บข้างนั้นด้วย เขาถลึงตากว้างมองมือใหญ่ของตัวเองที่วางอยู่บนเอวบางของนาง ไม่อยากปล่อยนางเลยสักนิดเดียว
เอวบางเหลือเกิน…เขานึกสงสัยว่าฝ่ามือทั้งสองของตัวเองจะสามารถโอบรอบเอวบางของนางไว้ให้อยู่ในฝ่ามือได้ ก่อนหน้านี้ได้ยินใครๆ พูดกันว่าชาวแคว้นฉู่เอวบาง* ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง
“คุณชายจั้น…” เห็นเขาก้มหน้ามองเอวนาง มือใหญ่ไม่มีทีท่าจะปล่อยเลยสักนิด สุ่ยรั่วก็ทั้งเขินอายระคนอึดอัดใจ ได้แต่ส่งเสียงเรียกเขาอีกครั้ง
จั้นปู้ฉวินได้ยินแล้วก็สะดุ้ง รีบดึงมือกลับมาแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อกลบเกลื่อนที่เมื่อครู่นี้ตนมองเอวบางของนางอย่างตะลึงงัน เขาไม่กล้ามองนางอีก ได้แต่แสร้งทำเป็นมองสำรวจบนน้ำตกแล้วบอกด้วยเสียงดังห้วน
“เราต้องไปจากที่นี่”
“ระ…เรา?” สุ่ยรั่วเบิกตากว้าง หน้าตางุนงง
ชายหนุ่มนึกว่านางฟังไม่เข้าใจ เขาจึงเปลี่ยนคำพูดแล้วพูดใหม่อีกครั้ง
“พวกเรา”
“พวกเรา?” สุ่ยรั่วยังคงสับสน จากนั้นก็เข้าใจในพริบตาว่าเขานึกว่านางจะช่วยเขาหนีไปด้วยกัน ใบหน้าก็พลันซีดเผือด
เขาว่าต่อไป โดยไม่ได้สังเกตความผิดปกติบนสีหน้าของนาง
“ที่นี่จะอยู่นานไม่ได้ อีกอย่างพวกเราเสื้อผ้าเปียกไปหมดแล้ว ตรงนี้ไม่สะดวกจะก่อไฟ ต้องไปหาบ้านชาวบ้านแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ท่าน…ขะ…ข้าไม่ไป ข้าอยู่ที่นี่ก็ได้” สุ่ยรั่วละล่ำละลัก
ตอนนี้จั้นปู้ฉวินจึงได้รู้ว่านางยังไม่เข้าใจสถานการณ์ จึงทำหน้าเย็นชาใจแข็งบอก
“ข้าทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ไม่ได้”
“เพราะเหตุใด ตอนนี้ท่านกำลังจะไป ข้ารอให้ท่านไปไกลแล้วค่อยไปตามคน” สุ่ยรั่วถอยหลังสองก้าว ดวงตาโตวาบประกายสับสน “ขะ…ข้าไม่บอกพวกเขาแน่นอน”
“ไม่ได้” เขาปฏิเสธเด็ดขาด ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าเข้าไปใกล้นาง
“เพราะเหตุใด” สุ่ยรั่วขมวดคิ้วมุ่น ในใจยิ่งทวีความตื่นตระหนก ถอยหลังติดๆ กันพลางตำหนิเสียงสั่น “ท่านถูกปรักปรำมิใช่หรือ”
“ใช่” จั้นปู้ฉวินตอบโดยไม่ลังเลสักนิด
สุ่ยรั่วหันหลังวิ่งหนีฉับพลัน เขาคาดไว้แต่แรกแล้ว จึงวิ่งก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าสองสามก้าว รวบเอวนางจากด้านหลังกอดไว้ไม่ให้นางหนี
“ไม่…” นางร้องอย่างอ่อนแรง ก่อนจะถูกชายหนุ่มสกัดจุดอีกครั้ง ร่างอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมกอดเขา ไม่อาจขยับกายหรือส่งเสียงได้อีก
ครั้งนี้จั้นปู้ฉวินไม่ได้แบกนางขึ้นบ่า แต่อุ้มนางไว้ตรงหน้าอกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหันหลังไปจากที่นั่น