ตอนนี้เองจั้นปู้ฉวินจึงได้มั่นใจว่านางเป็นคนพันแผลให้เขาเมื่อคืนนี้ มองนางเข้าๆ ออกๆ ห้องอย่างเร่งรีบ ช่วยล้างแผลทายาพันแผลให้เขาอย่างเอาใจใส่และอ่อนโยน ในใจของเขาก็มีความรู้สึกอ่อนโยนผุดขึ้นมาอย่างประหลาด
จนกระทั่งสุ่ยรั่วช่วยพันแผลให้เขาเรียบร้อย หยิบผ้าเปียกมา กุมมือขวาของเขาที่เปื้อนเลือดแล้วช่วยเช็ดคราบเลือดที่มือใหญ่ของเขาอย่างนุ่มนวลแล้ว นางจึงได้ตระหนักว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
พริบตาที่นางปล่อยมือใหญ่ของเขากะทันหัน เขาก็พลิกมือมากุมมือเล็กของนางไว้เบาๆ
สุ่ยรั่วก้มหน้าก้มตาอย่างตกประหม่าไม่กล้ามองเขา รู้สึกแค่พวงแก้มร้อนผ่าว
จั้นปู้ฉวินจ้องคนงามตรงหน้าที่กำลังเอียงอาย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงห่วงใยคนที่ลักพาตัวนางซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงเพียงนี้
“เพราะเหตุใด”
“ข้า…” นางเองก็เหมือนไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน นานพักใหญ่จึงกัดกลีบปากล่างบอกเสียงแผ่ว “ข้าแค่ไม่อยากเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตา”
นี่เป็นเพราะแค่นางมีใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์อย่างนั้นน่ะหรือ
จั้นปู้ฉวินรู้สึกอึดอัดในใจอย่างประหลาด จนตอนที่เขาเห็นนางผลุนผลันเข้าห้องไป จึงได้พบว่าเขาปล่อยมือเนียนนุ่มของนางไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“ท่านให้สัญญาแล้วว่าจะปล่อยข้ากลับไป”
ราตรีมาเยือนอีกครา จั้นปู้ฉวินก่อกองไฟในห้อง สุ่ยรั่วนั่งอยู่บนเตียงเรียบหยาบ ลองเกลี้ยกล่อมให้เขาปล่อยนางกลับไปอีกหน
จั้นปู้ฉวินโยนกิ่งไม้เล็กๆ จำนวนหนึ่งใส่เตาไฟ ชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง แล้วบอกอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดเดียว
“ข้าบอกว่าถ้าพวกเขาไม่ตามมาก็จะปล่อยคน”
“แล้วเหตุใดเมื่อคืนนี้…” นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเมื่อคืนนี้เขาปล่อยนางไปได้ แล้วเหตุใดวันนี้กลับเปลี่ยนใจแล้ว
เขาหยิบกิ่งไม้ที่ค่อนข้างใหญ่หนามาเขี่ยฟืนในเตาไฟ นานครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นบอกนาง
“ข้าต้องการเวลา เจ้าช่วยข้ายื้อเวลาได้”
นางนิ่งเงียบ ไม่กล้าเชื่อเขาง่ายๆ อีก
แม้ตอนกลางวันจะช่วยเขาพันแผลเรียบร้อยแล้ว และเขาก็ไม่ได้สกัดจุดนางอีก กระนั้นนางก็ยังไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ทำร้ายนางจริงๆ อีกทั้งไม่เชื่อว่าที่เขาไม่สกัดจุดนางเป็นเพราะเขาเชื่อใจนางด้วย สิ่งที่ค่อนข้างเป็นไปได้คืออย่างที่เขาพูด ต่อให้นางจะหนีไปได้ แต่ในป่าเขาร้างผู้คนเช่นนี้ นางก็หนีไม่พ้นอุ้งมือเขาอยู่ดี
“ข้าไม่ได้ฆ่าคน” เห็นความไม่เชื่อใจในแววตาของนาง เขาก็ขมวดคิ้วหนา ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไม่อยากให้นางเข้าใจเขาผิด จั้นปู้ฉวินไม่สนว่านางจะฟังเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เอ่ยปากบอกอีกครั้ง “เมื่อคืนข้าต่อชีพจรให้พี่สวี่แล้ว ถ้าหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ตอนนี้พี่สวี่จะต้องมีชีวิตอยู่ ขอเพียงเขาฟื้น เขาก็จะเป็นพยานได้ว่าข้าบริสุทธิ์”
สุ่ยรั่วเม้มปากอยู่นานจึงบอก
“ถ้าหากข้ากลับไป ท่านก็ยังซ่อนตัวได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องรอให้พี่สวี่ฟื้นด้วย”
จั้นปู้ฉวินได้ยินดังนั้นก็พลันฉีกยิ้มหัวเราะเยาะตัวเอง
“ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บหรือศิษย์ที่จอมยุทธ์สุ่ยสั่งสอนมาไม่ได้ร้ายกาจเพียงนั้น ข้าจะต้องปล่อยเจ้ากลับไปแน่ แต่โชคร้ายนัก ไม่เสียทีที่บิดาของเจ้าได้รับสมญานามว่าดาบทองคำแห่งต้งถิง ด้วยอาการบาดเจ็บของข้าในเวลานี้ แค่เจอศิษย์คนใดคนหนึ่งของเขาก็ล้วนแต่รักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว”
อย่างนั้นหรือ สุ่ยรั่วไม่รู้ว่าบิดาของตนจะมีชื่อเสียงในยุทธภพสูงส่งถึงเพียงนี้ นางแค่เห็นคนในยุทธภพเข้าออกสกุลสุ่ยบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่เคยใส่ใจมากนัก
จั้นปู้ฉวินลุกขึ้น หยิบอาหารแห้งจำนวนหนึ่งส่งให้นางแล้วว่าต่อ
“อีกอย่างคนที่ทำร้ายพี่สวี่ค่อนข้างมีปัญหา ตอนนี้เจ้ากลับไปจะไม่ปลอดภัย”
“ทำไม” นางทำหน้าระแวดระวัง
“ตอนเช้าที่ข้าคิดทบทวนเพิ่งจะตระหนักได้ว่าเมื่อคืนนั้นตอนที่ข้ารีบไป พี่สวี่ถูกคนซัดกระเด็นออกมาจากในห้อง เส้นชีพจรที่ตัวขาดไปแปดในสิบ พี่สวี่เป็นศิษย์เอกของจอมยุทธ์สุ่ย ได้รับถ่ายทอดวิชาดาบจากจอมยุทธ์สุ่ย ต่อให้จอมยุทธ์สุ่ยลงมือเองก็ไม่มีทางเอาชนะพี่สวี่ได้อย่างง่ายดายภายในสิบกระบวนท่า เพราะฉะนั้นคนคนนั้นจะต้องเป็นคนที่เขารู้จักอยู่แล้ว เขาจึงได้เปิดประตูให้คนคนนั้นเข้าไป และมีเพียงเช่นนี้เท่านั้น พี่สวี่จึงได้ไม่ทันระวัง ถูกคนผู้นั้นทำร้ายสาหัสโดยไม่ทันตั้งตัว”
สุ่ยรั่วผงะ “ท่านหมายความว่า…”