“คนคนนั้นอาศัยอยู่ในบ้านสกุลสุ่ย แม้จะไม่ได้อยู่ในบ้านสกุลสุ่ย แต่ก็อาจจะเข้าออกยามวิกาลได้โดยง่าย และเพราะเหตุนี้ศิษย์น้องของพี่สวี่จึงได้ยิ่งมั่นใจว่าข้าเป็นฆาตกร เพราะข้าคือคนนอกเพียงคนเดียว” จั้นปู้ฉวินไม่กะพริบตาเลยสักนิด ท่าทางมั่นอกมั่นใจยิ่งนัก
“เป็นไปไม่ได้หรอก” นางส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
“ข้าเห็นฆาตกรตัวจริง”
สุ่ยรั่วได้ยินดังนั้นก็รีบบอก
“ในเมื่อท่านเห็นเขา แล้วเหตุใดถึงไม่กลับไปชี้ตัวเล่า”
“เพราะข้าไม่ได้เห็นหน้าเขา เห็นแค่แผ่นหลังของเขาเท่านั้น แต่เขานึกว่าข้าเห็นแล้วและกลัวว่าข้าจะบอกเจ้า จึงได้กระตุ้นให้คนอื่นๆ ตามฆ่าพวกเราเต็มกำลัง” เขาดื่มสุราร้อนแรงเพื่อระงับความเจ็บปวดแล้วพูดต่อ “เจ้าลองคิดดู ข้าเคยบอกว่าหากไม่มีใครตามมาก็จะปล่อยเจ้า แต่คนสกุลสุ่ยตามประชิดเช่นนี้ เห็นชัดว่าเบื้องหลังนั้นฆาตกรตัวจริงอยากให้ข้าถูกบีบจนร้อนใจแล้วฆ่าเจ้าเสีย จากนั้นก็หนีเอาชีวิตรอดไปคนเดียว ดังนั้นหากข้าปล่อยเจ้ากลับไป เจ้าก็คงถูกคนผู้นั้นฆ่าทิ้ง และไม่ได้เห็นแม้แต่ประตูใหญ่สกุลสุ่ย”
“ทะ…ท่านพูดเหลวไหล!” สุ่ยรั่วลุกขึ้นด้วยความเดือดดาล ไม่เชื่อคำที่เขากล่าวหา
“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล ในใจเจ้าน่าจะรู้ดี” เขาไม่ได้โกรธที่นางไม่เชื่อ เพียงแค่ล้วงของอีกอย่างหนึ่งออกมาส่งให้นางดู “นี่คือสิ่งที่พี่สวี่ยัดไว้ให้ข้าก่อนจะหมดสติ”
สุ่ยรั่วเห็นของสิ่งนั้นแล้วก็ถึงกับตะลึงงัน รับมาแล้วจึงเห็นว่ามันคือมุมหนึ่งของโต๊ะไม้
“เหตุใดเขาถึงให้ของสิ่งนี้กับท่าน”
จั้นปู้ฉวินไม่ตอบแต่ถามกลับ
“นั่นคือไม้อะไร”
นางได้ยินแล้วก็สะท้านใจ หน้าไร้สีเลือด
“เป็นไปไม่ได้…”
“นี่คือไม้กุ้ยมู่ใช่หรือไม่” เขาจ้องสุ่ยรั่วตรงๆ “วันนั้นเจ้าน่าจะรู้เรื่องที่เกิดในอู่ต่อเรือดียิ่งกว่าข้า พี่สวี่และข้าคาดเดาว่าในอู่ต่อเรือมีเกลือเป็นหนอน เขาน่าจะรู้แล้วว่าปัญหาอยู่ตรงไหน คนคนนั้นจึงลงมือฆ่าเขา”
สุ่ยรั่วกัดกลีบปากล่างแน่น ไม่ยอมเชื่อว่ามีฆาตกรฆ่าคนในอู่ต่อเรือ แต่ความจริงที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้นางเกือบจะหลั่งน้ำตา นางได้แต่เบิกดวงตาทั้งคู่ที่น้ำตาปริ่มมองเขา โต้แย้งด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“คะ…คำพูดพวกนี้ท่านพูดเองทั้งนั้น ไม้กุ้ยมู่นี้ท่านเป็นคนเอามาเองหรือไม่ใครจะไปรู้”
จั้นปู้ฉวินถอนหายใจ บอกเพียงว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงบอกเจ้าเรื่องนี้”
สุ่ยรั่วเม้มปากแน่นไม่ยอมตอบ แต่แววตาฉายชัดว่านางคิดว่าเขากำลังล่วงเกินตน
“วันก่อนและเมื่อวานนี้ข้าเห็นภาพเรือที่เจ้าหอบไว้ เมื่อวานตอนบ่ายข้าถามพี่สวี่ เขาจึงบอกข้าว่าเรือของสกุลสุ่ยล้วนมีเจ้าเป็นคนออกแบบ” เขามองนาง ชะงักไปแล้วจึงพูดต่อ “เจ้ารู้ว่าเรือของตัวเองตั้งราคาอย่างไรหรือไม่”
สุ่ยรั่วมองเขาอย่างเต็มไปด้วยความระแวดระวังทันที
“ข้าย่อมรู้แน่”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้จักมังกรสมุทรตระกูลจั้นหรือไม่” จั้นปู้ฉวินขมวดคิ้วหนา มองคนที่บอบบางและงามสง่าราวสายน้ำตรงหน้าอย่างกระสับกระส่ายเล็กน้อย
“เหตุใดท่านถึงถามเรื่องนี้”
เขาสูดหายใจเข้าลึก มองนางนิ่งพร้อมบอก
“เพราะว่าข้าคือคนของมังกรสมุทรตระกูลจั้น”
ฟืนที่กำลังโหมไหม้ในเตาไฟจู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังเปรี๊ยะ เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสูงเล็กน้อย ในห้องพลันสว่างจ้าแล้วค่อยๆ มืดลงพร้อมกับเปลวไฟที่หดตัวกลับไปอีกครั้ง…
ตอนกลางดึกเริ่มมีฝนตกลงมาห่าใหญ่ หยาดฝนกระทบหลังคาดังซู่
จั้นปู้ฉวินนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจอยู่หน้าเตาไฟ หวังจะฟื้นกำลังภายในกลับมาโดยเร็วที่สุด ส่วนสุ่ยรั่วนอนอยู่บนเตียงที่ทำความสะอาดไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว หันหน้าเข้าหาผนัง มองเปลวไฟที่โลดเต้นอยู่บนนั้น ในใจยังคงคิดทบทวนคำพูดที่เขาบอกนางเมื่อครู่นี้
มังกรสมุทรตระกูลจั้น…เขาคือคนของสกุลจั้นจริงๆ!