ตอนแรกนางยังไม่เชื่อ แต่หลังจากเขานำจดหมายที่จั้นชิงนายหญิงแห่งสกุลจั้นเป็นคนเขียนเองออกมา นางก็จำต้องเชื่อแล้ว เพราะนางเคยเห็นลายมือของจั้นชิงมาหลายหน ยิ่งกว่านั้นจดหมายนั่นยังผนึกด้วยตราประทับเฉพาะของสกุลจั้น จดหมายเช่นนี้นางได้รับเดือนละสามถึงสี่ฉบับ ไม่มีทางจำผิดเด็ดขาด
หลังจากอ่านจดหมายจบแล้วและได้ยินว่าราคาต่อเรือสูงกว่าราคาเดิมสามถึงสี่เท่า นางก็แทบจะแข็งทื่อไปทั้งตัว ยามนี้เพิ่งจะเชื่อว่าที่แท้มีคนคิดคดทรยศอยู่ในอู่ต่อเรือจริงๆ และเรื่องนี้ก็ผ่านมาได้ปีหนึ่งแล้ว แต่นางกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด ถ้าหากไม่ใช่เพราะจั้นชิงปราดเปรื่อง ชื่อเสียงอู่ต่อเรือสกุลสุ่ยของนางจะต้องแปดเปื้อนเหม็นโฉ่เพราะคนที่ชักใยอยู่ลับๆ คนนั้นแน่!
นางโง่งมจริงๆ! ถ้าหากไม่ใช่สกุลจั้น อู่ต่อเรือที่นางพยายามรักษาไว้อย่างลำบากลำบนจะต้องพินาศด้วยมือนางอย่างนั้นหรือ ตอนนี้ไม่เพียงทำให้ชีวิตของพี่สวี่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ยังทำให้คุณชายจั้นพลอยได้รับบาดเจ็บสาหัสไปด้วย แต่นางกลับทำอะไรไม่ได้เลย แล้วคุณชายจั้นที่ได้รับบาดเจ็บยังต้องคอยปกป้องนางที่ไร้ประโยชน์อีก
สุ่ยรั่วโง่เง่า ทั้งทึ่มทื่อทั้งไร้ประโยชน์!
มองเงามืดของเปลวไฟที่วูบไหว สุ่ยรั่วจมูกแดง กัดกลีบปากตำหนิตัวเอง น้ำตาใสแวววาวปริ่มขอบตาจวนจะหยดลงมา
โง่มาก โง่มาก โง่มาก…
ตอนที่นางกำลังเสียใจอย่างหนักกับสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาด จู่ๆ จั้นปู้ฉวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างหลังก็กระอักเลือดสดออกมา สุ่ยรั่วหันกลับไปมอง เห็นเขาล้มคว่ำบนพื้นทั้งตัว มุมปากมีเลือดไหล สีหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว แล้วยังกระตุกไปทั้งตัว ทำเอานางตกอกตกใจจนต้องรีบปีนลงจากเตียง พุ่งไปข้างกายเขา
“คุณชายจั้น! ท่านยังสบายดีอยู่หรือไม่” นางคุกเข่าอยู่ข้างกายเขา ตระหนกลนลานทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรดี และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ได้แต่ใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดตรงมุมปากเขา ร้อนใจจนน้ำตาหยดลงมา
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็เหงื่อไหลโซมอีก อุณหภูมิร่างกายประเดี๋ยวเย็นประเดี๋ยวร้อน ทำให้สุ่ยรั่วที่ตอนแรกลองย้ายเขาไม่กล้าขยับส่งเดชอีก ได้แต่เฝ้าอยู่ข้างกายเขาพลางใช้ผ้าขนหนูช่วยซับเหงื่อให้
แต่หลังจากนั้นไม่รู้นานเท่าใด พื้นตรงผนังด้านซ้ายก็เริ่มมีน้ำซึม เดิมบ้านไม้นี้เป็นที่พักชั่วคราวที่นายพรานสร้างไว้เพื่อความสะดวก ดังนั้นที่พื้นจึงไม่มีไม้กระดานหรือก่ออิฐ พอข้างนอกฝนตกนานเข้า น้ำฝนก็ซึมเข้ามาได้
สุ่ยรั่วเห็นดังนั้นก็ยิ่งลนลาน เดิมนางเป็นคุณหนูใหญ่ มีคนช่วยทำทุกอย่างให้เสร็จสรรพแต่เล็กจนโต นอกจากวาดภาพเรือ เย็บปักถักร้อย เขียนอ่านหนังสือแล้ว งานอย่างอื่นนั้นนางทำไม่เป็นเลยสักนิด เมื่อคืนที่ช่วยพันแผลให้เขาก็คือขีดจำกัดของนางแล้ว ยามนี้พอเจอสถานการณ์บ้านไม้มีน้ำท่วมเช่นนี้อีก นางย่อมไม่รู้ว่าจะหยุดน้ำฝนที่ซึมเข้ามาได้อย่างไร
และตอนนี้จั้นปู้ฉวินก็หมดสติอยู่บนพื้น พอเห็นน้ำจะท่วมเขาแล้ว สภาพเขาตอนนี้ก็แย่ถึงขีดสุด หากยังแช่น้ำอีก เป็นไปได้อย่างมากว่าอาการจะสาหัสจนเกินเยียวยา!
อารามร้อนใจขึ้นมา นางก็ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน ลากจั้นปู้ฉวินที่ร่างกายใหญ่โตกว่านางสองเท่าเต็มๆ ไปถึงข้างเตียง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็เอาเขาขึ้นเตียงไม่ได้ จึงกอดเขาร้องไห้อย่างร้อนใจโดยไม่รู้ตัว
จั้นปู้ฉวินที่หมดสติไปคล้ายได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้ เขาพยายามลืมตาทั้งสองข้าง เห็นสุ่ยรั่วร้องไห้อยู่ในอ้อมอกเขา แม้ปราณที่ไหลเวียนสะเปะสะปะอยู่ในร่างเป็นพักๆ จะทำให้เขาทรมานแทบตาย กระนั้นเขาก็ยังใช้แรงทั้งหมด เอ่ยปลอบนางอย่างอ่อนกำลัง
“อย่า…ร้องไห้…”
สุ่ยรั่วได้ยินเสียงแล้วก็สะดุ้ง เงยหน้าขวับขึ้นมอง เห็นเขาลืมตาสองข้างก็รีบปาดน้ำตา บอกเสียงสะอื้น
“น้ำท่วมในบ้านแล้ว ข้ายกท่านไม่ขึ้น ท่านต้องช่วยข้ายกท่านขึ้นเตียง”
จั้นปู้ฉวินพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะลองลุกขึ้น สุ่ยรั่วรีบประคองเขา สองคนร่วมแรงร่วมใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะให้เรือนร่างใหญ่ยักษ์ของจั้นปู้ฉวินนอนลงบนเตียงได้ แต่เพราะเขาฝืนใช้กำลัง คนยังไม่ทันนอนลงก็กระอักเลือดออกมาอีกคำแล้วหมดสติไปอีกครั้ง
สุ่ยรั่วเห็นแล้วก็น้ำตาพรั่งพรู วุ่นวายอยู่กับการเอาผ้าขนหนูเช็ดเลือดให้เขา