บทที่หก
ตอนที่จั้นปู้ฉวินฟื้นก็เป็นกลางดึกวันที่สามแล้ว
เขาลืมตาแห้งๆ ทั้งสองข้าง แต่เพิ่งจะลองขยับตัวเล็กน้อยก็ปวดกล้ามเนื้อจนทำให้ต้องนอนราบลงไปใหม่ เขาอดสบถคำหยาบออกมาสองประโยคไม่ได้
เขาเสียเลือดไปมากเกินไประหว่างที่หนีตายมาสองวัน กอปรกับพาแม่นางที่ไม่เป็นวรยุทธ์วิ่งหนีมาทั้งคืน เหน็ดเหนื่อยแทบตายมานานแล้ว แผลจากดาบยังไม่หายดี และอาการบาดเจ็บภายในที่เดิมต้องใช้เวลาครึ่งวันจึงจะหายก็กลับแย่ลงไม่น้อย ทั้งอาการบาดเจ็บภายในและภายนอกถูกเขาฝืนข่มไว้ตลอด จนกระทั่งคืนนั้นที่โคจรพลังปราณ ไม่ได้ปรับลมหายใจเป็นปกติ สุดท้ายอาการจึงมาถึงขั้นที่ยากจะควบคุม เกือบจะกระอักเลือดตาย
มองหลังคาบ้านไม้เก่าคร่ำคร่า เขาก็ลองรวบรวมพลังปราณ แต่พลังปราณในร่างกลับเหมือนใยบางๆ ค่อนไปทางรู้สึกว่าไร้พลังไปทุกส่วน ทำให้เขาด่าสาปแช่งออกมาติดๆ กันอย่างอดไม่ได้
มารดาเถอะ ทั่วร่างเขาทั้งบนล่างเจ็บเจียนตาย คล้ายถูกม้าหลายตัวย่ำเหยียบ พลังปราณในร่างกายยามนี้ก็ไม่อาจรวบรวมได้ ดูท่าภายในสามสี่วันนี้เขาคงลงจากเตียงไม่ได้ หากคนสกุลสุ่ยตามมาสังหารในเวลานี้ แค่ฟันลงมาดาบเดียว เขาก็จะไปเฝ้ายมบาล ไปเป็นเขยขวัญของท่านทันที!
ฉับพลันนั้นแขนนวลเนียนข้างหนึ่งก็พาดมาบนหน้าอกเขา จั้นปู้ฉวินนิ่งอึ้ง ข่มความเจ็บปวดแล้วฝืนหันไป จึงได้เห็นสุ่ยรั่วนอนหลับอิงแอบอยู่ข้างกายเขา เส้นผมของนางที่ราวกับเส้นไหมคลุมอยู่บนร่างเขากว่าครึ่ง ดวงหน้างามที่แต่เดิมขาวเนียนไร้ตำหนิเลอะฝุ่นเล็กน้อย ดวงตาที่ปิดอยู่มีรอยคล้ำจากความเหนื่อยล้า ที่น่าแปลกคือระหว่างที่หมดสติอยู่มือของเขาคล้ายจะโอบเอวนางไว้โดยสัญชาตญาณ ทำให้เขาเริ่มจะสงสัยว่านี่อาจเป็นอำนาจจิตของตัวเอง
สติสัมปชัญญะบอกเขาว่าเขาควรดึงมือกลับมา แต่ตอนที่มือใหญ่ของเขาเริ่มขยับก็ไม่ได้ดึงกลับ ทั้งยังโอบกอดนางแน่นยิ่งกว่าเดิม
จั้นปู้ฉวิน นางเป็นหญิงที่ยังไม่ออกเรือนทั้งยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ใช่หญิงคณิกาเหล่านั้นที่จะให้เจ้าหลับนอนด้วยในคืนเดียว!
แม้จะบอกตัวเองเช่นนั้น แต่มือคู่นั้นก็ยังอ้อยอิ่งอยู่บนตัวสุ่ยรั่วแน่นไม่ยอมดึงกลับมา เขาเองก็ได้แต่มองใบหน้ายามนิทราของนางนิ่งค้างและเหม่อลอย
ก่อนหน้านี้ที่ลักพาตัวนางจากสกุลสุ่ยก็เป็นการทำลายชื่อเสียงของนางอย่างใหญ่หลวงแล้ว ยามนี้ไม่เพียงจะนอนร่วมเตียงเคียงหมอนกับนาง มือใหญ่ก็ยังโอบนางเข้ามาใกล้ หากคนสกุลสุ่ยพรวดพราดเข้ามาตอนนี้ เขาจะต้องถูกสับเละจนตายแน่นอน
ลมหนาวระลอกหนึ่งพัดลอดช่องประตูเข้ามา สุ่ยรั่วขี้หนาวจึงอิงแอบเข้ามาชิดเขายิ่งกว่าเดิม
จั้นปู้ฉวินทอดถอนใจ ช่างเถอะ ถูกสับตายก็เอาเถอะ
ตอนนี้เขาเพิ่งจะได้ตระหนักว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ตายใต้ดอกโบตั๋น แม้เป็นผีก็ยังสำราญ’!
ตอนที่สุ่ยรั่วตื่นขึ้นมา ฟ้าก็สว่างแล้ว นางเอามือคลำหน้าผากชายหนุ่ม แต่เพิ่งจะแตะโดน เขาก็ลืมตาขึ้น
นางกะพริบตา มือเล็กยังนิ่งค้างอยู่บนหน้าผากเขา ราวกับไม่ค่อยมั่นใจว่าเขาตื่นอยู่หรือไม่
“สุขสวัสดิ์ยามเช้า” เขายกมุมปาก แม้มุมปากของเขาจะซ่อนอยู่ในดงหนวด แต่ก็ยังคงมีผลกับสีหน้าบนใบหน้า
สุ่ยรั่วสะดุ้งตกใจ เกือบจะหงายหลังตกเตียง โชคดีที่มือของเขายังคงโอบเอวนางอยู่
“สุขสวัสดิ์ยามเช้า…” นางเขินหน้าแดง ไม่อาจดึงมือเล็กที่แข็งค้างอยู่บนหน้าผากเขากลับมาได้ เอ่ยตะกุกตะกัก “ทะ…ท่าน…ยัง…สบายดีอยู่หรือไม่”
จั้นปู้ฉวินดึงมือใหญ่กลับมา ยิ้มแห้งๆ เอ่ยด้วยเสียงไร้เรี่ยวแรงและแหบพร่า
“ไม่สบาย”
สุ่ยรั่วทัดผมที่ยุ่งนิดๆ ไว้หลังหูอย่างกระสับกระส่าย สูดหายใจลึกๆ สองที สงบความประหม่าในใจได้อย่างยากเย็น พวงแก้มสองข้างจึงไม่ได้ร้อนไหม้อีก ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม
“จะดื่มน้ำให้ชุ่มคอหน่อยหรือไม่”
เขาย่นคิ้วหนาพร้อมส่ายหน้า เสียงยังคงแหบพร่า
“เหล้า…”
สุ่ยรั่วตะลึงงัน ดวงหน้าเล็กเอียงเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามเบาๆ
“ตอนนี้ท่านดื่มเหล้าได้หรือ”
เขาผงะ มองนางด้วยสายตาที่เหมือนกับว่านางถามคำถามปัญญาอ่อนอะไรอย่างนั้น นานพักหนึ่งจึงได้พยักหน้า
แต่สุ่ยรั่วกลับขมวดคิ้วงาม ไม่เชื่อคำตอบของเขาแล้วหมุนตัวลงจากเตียง เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา
“ข้าจะเอาน้ำมาให้ท่านดื่ม”
หญิงคนนี้…