จั้นปู้ฉวินทำหน้าไม่สบอารมณ์ เขาไม่เชื่อว่านางจะไม่เห็นกิริยาเล็กๆ น้อยๆ ของเขา แต่นางกลับมองข้ามความต้องการของเขา ตักน้ำหนึ่งชามจากอ่างน้ำช้าๆ แล้วเยื้องย่างกรีดกรายเดินกลับมา แต่ยามนี้หนึ่งคือเขาไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรเอง สองคือพอเห็นใบหน้างามอ่อนหวานของนางแล้วก็ไม่อาจโต้แย้งได้ จึงได้แต่มองของรักใต้โต๊ะที่เอากลับมาอย่างยากลำบากตาปริบๆ แล้วก็ทอดถอนใจ
“ท่านลุกขึ้นนั่งได้หรือไม่”
นางกลับมาที่ข้างเตียง น้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวลนั้นทำให้เขาไม่อาจโมโหนางได้จริงๆ
จั้นปู้ฉวินพยักหน้า ลองลุกขึ้นนั่ง เส้นเอ็น กระดูก และกล้ามเนื้อทั่วร่างทำให้เขาเจ็บจนเหงื่อโซมกาย มือไม้อ่อนยวบ เกือบจะทรุดนอนกลับลงไปบนเตียงใหม่ สุ่ยรั่วรีบวางน้ำชามนั้นแล้วเข้าไปพยุงแผ่นหลังและไหล่ของชายหนุ่มช่วยให้เขานั่งได้
ดวงหน้าเล็กของนางเข้ามาใกล้ตรงหน้า ผมยาวถึงเอวตกลงบนขาของเขาราวกับน้ำตก มือเล็กนุ่มราวกับไร้กระดูกข้างหนึ่งแตะไหล่เขา อีกข้างพยุงต้นแขน กลิ่นหอมเฉพาะตัวของสตรีจู่โจมมาพร้อมกับที่นางเข้ามาใกล้ จั้นปู้ฉวินอดไม่ไหวสูดหายใจเข้าลึก แต่กลับทำให้กล้ามเนื้อหน้าอกขยายกว้างเพราะเหตุนั้น เจ็บจนเขาต้องฉีกปากกัดฟันไว้ ในสมองข่มความสับสนไว้ไม่อยู่ เหตุใดสตรีที่ยังไม่ออกเรือนจึงมีวิธีทำให้ตัวเองหอมละมุนได้ในทุกสถานการณ์กันนะ
“ท่านไม่เป็นไรนะ” สุ่ยรั่วเบิกตารูปเมล็ดซิ่งดำขลับด้วยความกังวลเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร…” สิแปลก! จั้นปู้ฉวินเผยรอยยิ้มบนใบหน้าเพื่อปลอบใจนาง ทว่าความจริงนั้นเจ็บจนเกือบร้องเรียกบิดามารดานานแล้ว ถึงอย่างนั้นแม้เขาจะไม่ใช่วีรบุรุษอะไร แต่ก็ไม่ใช่หมีดำที่แค่เจ็บเล็กๆ น้อยๆ ก็จะร้องส่งเสียงออกมาต่อหน้าสตรี หากเป็นเช่นนั้นต่อไปเขายังจะคลุกคลีอยู่ในยุทธภพได้อย่างไร ต่อให้ต้องเจ็บจนตายเขาก็จะข่มกลั้นไว้!
สุ่ยรั่วได้ยินเขาตอบเช่นนั้นก็หมุนตัวไปหยิบชามใส่น้ำสะอาดที่วางอยู่บนโต๊ะ นางเพิ่งจะหันไป ใบหน้าของจั้นปู้ฉวินก็บิดเบี้ยวไม่เหมือนคนและเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมาทันที แต่พอนางหันกลับมา เขาก็กลับมาวางท่าอย่างจอมยุทธ์ดุจเดิม
นางเอาน้ำมาให้ จั้นปู้ฉวินเดิมต้องยื่นมือออกไปรับ แต่เพิ่งจะยกมือก็เจ็บปวดอย่างสุดแสน เขาแค่นเสียงขึ้นจมูก ฝืนข่มไว้ ใครจะรู้ว่าสุ่ยรั่วกลับนั่งลงข้างเตียงอย่างเป็นธรรมชาติ เอาน้ำมาใกล้ปากเขาแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบานุ่มนวล
“ค่อยๆ ดื่ม”
การที่นางปรนนิบัติเช่นนี้ทำให้เขาค่อนข้างลิงโลดใจที่ได้รับการดูแล และค่อนข้างรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาอ้าปากจิบน้ำสะอาด รับความปรารถนาดีจากนาง น้ำสะอาดเย็นๆ ไหลผ่านลำคอ ลำคอที่แห้งผากจึงค่อยชุ่มชื่นขึ้น แต่ก็ยังคงแสบนิดๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
เขาไอออกมาสองครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ น้ำในชามกระเซ็นออกมาเลอะหนวดเฟิ้มของเขา สุ่ยรั่วย้ายชามน้ำออกไป รีบเอาผ้ามาช่วยเช็ดให้แห้ง
มองกิริยาอันนุ่มนวลของนาง ความอ่อนโยนในหัวใจจั้นปู้ฉวินก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งครั้งนี้ก็แทบจะเป็นคลื่นสูง มีอาการที่ยากจะควบคุม เขาพบว่าคราวนี้ตัวเองสิ้นท่าแล้วจริงๆ เขาไม่เพียงแค่อยากวาดภาพนางเท่านั้น แต่เขายังแทบจะมองสีหน้าของนางได้ทุกเวลาโดยไม่เบื่อเลยสักนิด คล้ายเพียงแค่มองเห็นนาง จิตใจของเขาก็สบายขึ้นมาก หลายวันที่ผ่านมานี้เขาเพิ่งจะตระหนักว่าเพราะรูปโฉมของนางทำให้มองแล้วรู้สึกสบายใจ และตัวนางก็ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายอ่อนโยนไปทั้งตัว คล้ายสายลมอ่อนสดชื่นบนผิวทะเลสาบหลังฝน ทำให้คนมักจะยิ้มออกมาไม่รู้ตัว
“จะดื่มอีกสักนิดหรือไม่…” สุ่ยรั่วยกชามขึ้นพร้อมถามเขา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตาที่อ่อนโยนคู่นั้นจ้องตนอยู่ พาให้หัวใจนางเต้นตึกตัก น้ำเสียงจางหายไปไม่รู้ตัว แล้วก็หน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง
เหตุใดเขาชอบมองนางเช่นนี้
สุ่ยรั่วถูกอีกฝ่ายมองจนก้มหน้าลงอีก หมุนชามในมืออย่างกระสับกระส่าย
“ข้า…หมดสติไปนานเท่าไร” รู้ว่าสายตาของตนร้อนแรงเกินไป ไม่อยากให้นางอึดอัดเกินไปนัก เขาจึงถามคำถามที่ไม่ค่อยอ่อนไหว
“สามวัน” นางตอบตามตรงแล้วชำเลืองมองเขาอีก อดคิดไม่ได้ว่าอาจเป็นเพราะครึ่งหนึ่งบนหน้าของเขาคือหนวด ก่อนหน้านี้นางนึกว่าเขาอายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่หลายวันมานี้นางพบว่าเขาดูเหมือนอ่อนวัยกว่านั้นมาก แต่แค่ไม่รู้ว่าเขาอายุเท่าใดกันแน่
จั้นปู้ฉวินไม่สังเกตเห็นว่านางลอบชำเลืองมอง เพียงแค่นึกดีใจกับตัวเองที่วันนั้นเขานำอาหารแห้งกลับมามากพอ จะให้อยู่ต่อไปอีกสองสามวันก็คงไม่มีปัญหานัก