ทุกคนเบียดกันอยู่หน้าประตูน้อมส่งฮูหยิน แต่คิดไม่ถึงว่ารถม้าวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็กลับได้ยินเสียงฮูหยินร้องสั่งให้หยุดดังลั่น ทุกคนยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็เห็นนางเลิกม่านขึ้นอีก เลื่อนสายตาไปยังบุรุษตัวโตหนวดดำที่อยู่ข้างประตูใหญ่แล้วเอ่ยเสียงเย็น
‘ขึ้นรถ’
จั้นปู้ฉวินมองซ้ายมองขวาแล้วจึงเอานิ้วชี้จมูกตัวเองพลางถาม
‘เรียกข้า?’
‘เหลวไหล ไม่เรียกเจ้าแล้วจะเรียกใคร!’ จริงๆ เลย นางเกือบจะลืมเจ้าเด็กนี่ไปแล้ว ‘งงอยู่ทำไม ยังไม่รีบขึ้นรถอีก!’
‘อ้อ’ จั้นปู้ฉวินเกาศีรษะแล้วรีบขึ้นรถแต่โดยดี
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้กลัวใครไม่กลัวกันเล่า แต่เขาก็ทำอะไรคนท้องไม่ได้ โดยเฉพาะหญิงท้องโตที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาสิบกว่าปี…คุณหนูใหญ่แห่งมังกรสมุทรตระกูลจั้น คนที่ชื่อเสียงระบือไกล หลักแหลมมากความสามารถ มีลูกน้องนับร้อย ร้อยศึกไร้ศัตรูคนนั้น ซึ่งก็คือจั้นชิง
กลับมาถึงเคหาสน์สี่สมุทร คนยังไม่ทันลงจากรถ เซียวจิ้งที่รีบกลับมาจากท่าเรือก็มาถึงประตูแล้ว เขาอุ้มภรรยาสุดที่รักลงจากรถม้า เห็นจั้นชิงยืดท้องใหญ่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดเซียวจิ้งอย่างบอบบางน่ารัก ทั้งสองคนยังไถ่ถามทุกข์สุขกระซิบกระซาบคำพูดหวานๆ ใส่กัน จั้นปู้ฉวินก็ได้แต่ปากอ้าตาค้างพูดไม่ออก
ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยเห็นหญิงห้าวอ่อนโยนถึงเพียงนี้ ทำเอาเขาต้องเอามือนวดตาสองข้างอย่างอดไม่ได้ มือยังไม่ทันวางลงก็เห็นเด็กสองคนที่อายุราวๆ สิบกว่าขวบกระโดดออกมาจากที่นั่ง พุ่งเข้ามาฟันฉับลงที่ตัวเขา ปากก็ยังไม่ลืมร้องด้วยเสียงดังลั่น
‘คนป่า เอามีดไปกินซะ!’
‘ทำ…’ จั้นปู้ฉวินหลบวูบ ยกเท้าขวาขึ้น สองมือคว้าไว้ เตะดาบใหญ่ของเด็กสองคนกระเด็นหวือ มือแต่ละข้างคว้าคอเสื้อของเด็กน้อยเหมือนจับลูกไก่ ขมวดคิ้วแล้วพูดต่อให้จบ ‘ทำบ้าอะไรเนี่ย?!’
‘ปล่อยข้า! เจ้าคนป่า!’ เด็กทางขวาที่แขนขาปัดป่ายดีดดิ้นอยู่กลางอากาศสุดชีวิตจ้องเขาอย่างเดือดดาล
เด็กคนที่อยู่ทางซ้ายก็ถลึงตากว้าง มองเขาหน้านิ่ง จากนั้นก็เอ่ยถาม…
‘เจ้าคิดจะกินพวกเราหรือ’
กิน?! จั้นปู้ฉวินทำหน้าเหลอหลา เด็กบ้าสองคนนี้นึกว่าข้าเป็นปีศาจกินคนหรือ
‘เอ้าหรานเอ้าเทียน อย่าเกเร’ ในที่สุดสามีภรรยาที่อยู่ข้างหน้าก็สังเกตเห็นสถานการณ์ทางนี้ เซียวจิ้งหัวเราะบอก
‘พวกเราไม่ได้เกเรสักหน่อย อาจารย์หลินบอกว่าคนป่าล้วนคือคนเลวที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ!’ เซียวเอ้าเทียนที่ถูกจั้นปู้ฉวินหิ้วอยู่ทางขวาร้องบอกเสียงดัง
‘อาจารย์หลินยังบอกอีกว่าคนป่าล้วนฆ่าคนไม่กะพริบตา แล้วยังกินคนด้วยนะ’ เซียวเอ้าหรานที่อยู่ทางซ้ายเอ่ยเสริมกับบิดามารดาทำหน้าจริงจัง
‘อาจารย์หลินนี่ใคร’ เซียวจิ้งขมวดคิ้ว ถามภรรยาที่รักในอ้อมกอดอย่างฉงน ตอนที่เขาออกจากบ้านไปเดือนก่อน ไม่เคยได้ยินบุตรชายพูดถึงคนที่ว่านี้
‘คนเล่านิทานที่อยู่ละแวกนี้น่ะ’ จั้นชิงมองบุตรชายสองคน เลิกคิ้วพร้อมบอกเสียงเย็น ‘ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหลอีก’
เด็กสองคนเห็นมารดาเอ่ยขึ้น ท่าทางก็อ่อนลงไปมาก
เห็นทั้งสองคนสงบเสงี่ยมขึ้นแล้ว จั้นปู้ฉวินก็ปล่อยคอเสื้อให้พวกเขายืนดีๆ
ดวงตาคู่งามของจั้นชิงเบิกกว้าง ก่อนจะเอ่ยตำหนิ
‘ใครให้พวกเจ้าเอาดาบมาฟันผู้อื่น ให้พวกเจ้าฝึกยุทธ์แล้วมาเล่นเหลวไหลเช่นนี้หรือ คนอื่นพูดอะไร พวกเจ้าก็เชื่ออย่างนั้น วันนี้โชคดีที่เป็นท่านอาของพวกเจ้า ถ้าหากวันไหนไปทำร้ายคนผ่านทางที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้าจริงๆ พ่อจะดูซิว่าพวกเจ้าจะเอาอะไรไปชดใช้เขา!’
เอ้าหรานเอ้าเทียนได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด แต่ชั่วพริบตาทั้งคู่ก็เงยหน้าขึ้น จ้องจั้นปู้ฉวินแล้วร้องลั่นพร้อมกันด้วยความตกตะลึง
‘ท่านอา?!’
จั้นปู้ฉวินก็ไม่ได้สงบนิ่งไปกว่ากัน ตาค้างลิ้นพันจ้องเด็กร้ายกาจสองคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหญิงห้าวมีบุตรชายสองคนที่โตขนาดนี้แล้ว
เอ้าเทียนเพิ่งจะพูดจบก็ถลึงตากว้าง ชี้มารดาแล้วร้องเสียงหลงอย่างอดไม่ได้
‘ท่านแม่ ที่แท้ท่านก็เป็นคนป่า!’
‘คนป่าอะไรกัน เหลวไหลทั้งเพ!’ จั้นชิงเคาะหัวบุตรชายเบาๆ อย่างอารมณ์เสีย
‘แต่เขาใส่ชุดชาวหู นะ!’ เอ้าหรานช่วยน้องชายพูดด้วยความสงสัย
‘ใครกำหนดว่าคนที่ใส่ชุดชาวหูคือคนป่า?’ เซียวจิ้งบอกขันๆ ‘แล้วถ้าพ่อใส่ชุดชาวหู พวกเจ้าจะเอามีดมาฟันพ่อเหมือนกันหรือไม่เล่า’
พี่น้องทั้งสองคนมองกันไปมองกันมา เป็นใบ้ไปชั่วขณะ แต่ยังคงขุ่นข้องในอก เอ้าหรานจึงว่าต่อ
‘นั่นไม่เหมือนกัน ท่านเป็นพ่อนี่ ไม่ใช่คนป่า’
‘ถ้าอย่างนั้นน้องสาวสกุลอวี่เหวินเป็นคนต่างถิ่น นางก็คือคนป่าน่ะสิ? พวกเจ้าสองคนจะฟันนางหรือ’ เซียวจิ้งถามยิ้มๆ