14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน ลำนำรักเจ้านาวา ชุด หัวใจเจ้าทะเล
บทที่สอง
ท่าเรือเยวี่ยหยางที่แสนพลุกพล่าน คนมากมายรีบขนสินค้าขึ้นลง
คุณชายจั้นที่เพิ่งลงเรือสีหน้าไม่สู้ดีนัก ใบหน้าส่วนที่ไม่ได้ถูกบดบังด้วยหนวดครึ้มยังคงขาวซีดราวกับคนตาย เห็นเขาค้อมหลังงอตัว ร่างสูงเจ็ดฉื่อไม่ได้มีความองอาจผ่าเผย ดูแล้วเหมือนคนไม่เอาไหนไร้สามารถ
“คุณชาย ท่านยังสบายดีใช่หรือไม่ขอรับ” อู่จงเดินลงจากเรือ ถามคำถามเดียวกันครั้งที่หนึ่งร้อยแปดด้วยความเป็นห่วง
จั้นปู้ฉวินโบกมือสองที ลูบเหงื่อเย็นบนหน้า พยายามยืดตัวขึ้น เหลือบมองคนถามอย่างอ่อนแรง
“ร้านเหล้าที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน”
อู่จงผงะไปครู่หนึ่ง แล้วนึกถึงว่าตลอดทางคุณชายจะอาศัยกรอกสุราร้อนแรงเข้าปากจึงยืนหยัดเดินทางทางน้ำมาได้ มิน่าเล่าพอลงเรือก็ถามว่าร้านเหล้าไปทางไหน เขาจึงรีบบอก
“ข้างหน้าออกจากท่าเรือไปแล้วเลี้ยวขวาก็จะเห็นธงของหอเซียวเซียงขอรับ” พูดจบก็เรียกลูกน้องที่ขนย้ายสินค้าหนึ่งในนั้น “เสี่ยวลิ่ว เจ้าพาคุณชายจั้นไป”
จั้นปู้ฉวินโบกมือห้าม
“ไม่ต้องหรอก ไหนๆ ก็อยู่ข้างหน้านี้ พวกเจ้าทำงานของพวกเจ้าไปเถอะ ข้าไปเองได้”
เห็นคุณชายยืนกรานเช่นนั้น อู่จงก็ไม่ฝืนใจ แค่บอกที่อยู่สำนักเดินเรือสี่สมุทรสาขาเยวี่ยหยางกับจั้นปู้ฉวิน หลังจากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้าไปช่วยถ่ายสินค้าออก
จั้นปู้ฉวินลากร่างใหญ่ยักษ์เชื่องช้าออกจากท่าเรือไปอย่างหมดแรง มุ่งหน้าไปยังหอเซียวเซียง โชคดีที่พอใครๆ เห็นร่างใหญ่ยักษ์ของเขาเดินโงนเงนมาก็พากันหลีกทางให้โดยสมัครใจ ถ้าไม่อย่างนั้นมีใครเผลอมาชนเขาเข้า ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้คงต้องอาเจียนรดคนผู้นั้นแน่
ใครจะไปรู้ว่าเขาเพิ่งจะเลี้ยวเข้ามาในถนนใหญ่ก็มีใครบางคนปรี่ตรงเข้ามา ด้วยรูปร่างของเขาจึงทำให้เคลื่อนไหวเชื่องช้า อยากจะหลบก็หลบไม่ทัน ได้แต่มองหญิงสาวในชุดขาวกอดกระดาษหลายม้วนพุ่งเข้าชนร่างตัวเองเต็มแรงอย่างช่วยไม่ได้
เสียงตึงดังขึ้น เพราะจั้นปู้ฉวินร่างสูงใหญ่กำยำ แม่นางผู้นั้นชนเขาเข้าแล้วก็หงายหลังล้มลง ม้วนกระดาษที่กอดอยู่กระจายลงพื้นทันที จั้นปู้ฉวินเองก็รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนเพราะถูกนางชน เขาโก่งตัว กระทั่งความคิดที่จะข่มกลั้นไว้ยังไม่ทันแวบขึ้นมาก็อาเจียนเอาเศษอาหารและน้ำย่อยที่เหลืออยู่ในท้องออกมารดศีรษะและใบหน้าของแม่นางผู้นั้นแล้ว
สุ่ยรั่วล้มลงที่พื้น ยังไม่ทันทำความเข้าใจกับสถานการณ์ คิดไม่ถึงว่าพอเงยหน้าขึ้นมาก็จะถูกคนอาเจียนรดใส่ทั้งตัว! ครั้นได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยว นางก็เกือบจะอาเจียนตาม อีกทั้งใบหน้ายังเลอะเทอะ บนเสื้อผ้าก็เปรอะเปื้อนไปทั่ว นางเห็นสิ่งสกปรกน่าขยะแขยงพวกนั้นแล้วก็คิดแค่ว่าอยากจะหมดสติไปเสียตรงนั้น!
และในตอนนี้หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นว่าภาพเรือที่หล่นอยู่ข้างกายเลอะของเสียเหล่านั้นด้วยเช่นกัน จึงรีบควบคุมความคิดที่จะหมดสติไปไว้ แล้วตะลีตะลานกอบกู้ภาพเรือพวกนั้นที่อุตส่าห์วาดมาทั้งคืนอย่างตื่นตระหนก กระทั่งไม่สนคราบสกปรกที่ติดอยู่บนหน้าและเนื้อตัว แต่กลับใช้มือเปล่าปัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนภาพเรือนั้นออกก่อน
“คุณหนู! นี่มันอะไรกันเจ้าคะ” เฉี่ยวเอ๋อร์ที่มัวแต่อืดอาดยืดยาดเพิ่งจะมาถึง เห็นคุณหนูของตนคุกเข่าอยู่ที่พื้นกำลังช่วยชีวิตภาพเรือ บนศีรษะและบนดวงหน้ายังมีสิ่งสกปรกเหนียวเหนอะเหม็นเปรี้ยวติดอยู่ นางก็กรีดร้องทันที ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วเข้าไปพยุงคุณหนูให้ลุกขึ้น เช็ดคราบเปื้อนออกจากตัวของอีกฝ่ายพลางบ่นอุบ “สวรรค์! คุณหนูเดี๋ยวค่อยเก็บเจ้าค่ะ…”
“เฉี่ยวเอ๋อร์ เจ้ามาได้จังหวะพอดี รีบช่วยเช็ดภาพให้แห้งเร็วเข้า ถ้าชักช้าเดี๋ยวจะเลือนหมด” สุ่ยรั่วเอาม้วนภาพที่เก็บกลับมาได้ยัดให้เฉี่ยวเอ๋อร์ แล้วหันกลับไปกำลังจะย่อตัวลง
“คุณหนู ท่านทำความสะอาดตัวเองก่อนเจ้าค่ะ! คุณหนู…” เฉี่ยวเอ๋อร์ได้แต่ร้องเรียกนายตัวเองอย่างหมดแรง แต่สุ่ยรั่วไม่ได้ฟังเลยสักนิด เอาแต่รีบเก็บภาพเรือที่กลิ้งหล่นไปกลางถนนใหญ่ ทำเอาเฉี่ยวเอ๋อร์โมโหจนได้แต่กอดภาพเหม็นเปรี้ยว ย่ำเท้าอยู่ข้างๆ
เมื่อทำอะไรคุณหนูตัวเองไม่ได้ เฉี่ยวเอ๋อร์ก็หันกลับมาเห็นตัวต้นเหตุที่หน้าซีดขาว กำลังค้อมหลังยันกำแพงไว้ นางโมโหจนตะโกนใส่เขา
“เหตุใดเจ้าเดินไม่ดูทาง! ไม่มีลูกตาหรือไร น่ารังเกียจที่สุด! ถ้าหากขาดไปแม้แต่ภาพเดียว เจ้าขายตัวเองยังไม่พอให้ชดใช้เลย ยังจะมีหน้ายืนอยู่ได้ ไม่รีบมาช่วยกันอีก!”
จั้นปู้ฉวินเดิมก็สับสนงุนงงอยู่แล้ว พอถูกสาวใช้ตะคอกใส่จึงได้สติขึ้นหน่อย เขาหันไปอย่างโงนเงน ตั้งใจจะช่วยแม่นางผู้นั้น แต่คาดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะยืนตรงได้ก็ได้ยินสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ คนนั้นกรีดร้องอีกครั้ง
“คุณหนูระวังเจ้าค่ะ!”
พอเขาได้ยินก็เงยหน้าหันไปทางแม่นางผู้นั้นที่กำลังเก็บภาพอยู่บนถนน นางสนใจแต่จะเก็บภาพ โดยไม่รู้เลยว่ารถม้าคันหนึ่งแล่นมากลางถนนใหญ่ที่เบียดเสียดคับคั่ง พอรถม้าที่บรรทุกถุงแป้งไว้เต็มคันรถเอียงแฉลบเข้าไปทางแม่นางที่ขวางทางอยู่ด้วยระยะที่ห่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผงแป้งบนรถยังตกลงมาหนึ่งห่อดังปุ้ก พอถุงแป้งแตกเป็นรู ผงแป้งขาวก็ลอยฟุ้งเต็มฟ้าทันที คนขับรถม้าและผู้คนที่อยู่ข้างถนนต่างสะดุ้งตกใจจนเหงื่อท่วมเพราะนาง
ขณะเดียวกับที่ทุกคนโล่งอก ก็กลับได้ยินเสียงกีบเท้าที่ห้อมาอย่างรวดเร็วดังมาไม่ขาดสายจากที่ไม่ไกลนัก เฉี่ยวเอ๋อร์ยังไม่ทันดึงคุณหนูของตนกลับมา อาชาพันธุ์ดีสองสามตัวก็ห้อตะบึงมาชนิดฟ้าผ่ายังไม่ทันอุดหู และเพราะข้างหน้ารถม้ามีฝุ่นตลบและผงแป้งที่ลอยฟุ้งรอบทิศ ผู้คุ้มกันบนม้าจึงมองไม่เห็นว่ามีหญิงสาวอยู่บนถนนใหญ่ ยังคงควบม้ามาด้วยความเร็วสุดขีด
ผู้คนข้างถนนเห็นเหตุการณ์ก็รีบร้องลั่น
“ข้างหน้ามีคน! รีบหยุดเร็วเข้า!”
เสียงกีบเท้าม้าดังแสบแก้วหู คนบนหลังม้าไม่ได้ยินว่าคนที่อยู่ริมถนนกำลังร้องตะโกนอะไร
และก่อนที่เฉี่ยวเอ๋อร์จะพุ่งเข้าไปนั้น ชายตัวโตหนวดดำก็ตบหลังนาง…
“อย่าขยับ!”
ชายตัวโตหนวดดำพุ่งออกไป จมหายเข้าไปในควันฝุ่นและผงแป้ง พริบตาต่อมาผู้คุ้มกันสองสามคนนั้นที่เร่งม้าให้รีบเดินทางก็ผ่านไปราวกับสายลมพร้อมเสียงอึกทึกดังสนั่น เหลือทิ้งไว้เพียงผงแป้งขาวและทรายเหลืองลอยฟุ้งทั่วฟ้า…