“คุณหนู! แค่กๆๆ คุณหนู…” เฉี่ยวเอ๋อร์มือข้างหนึ่งเอาผ้าเช็ดหน้าอุดจมูก มืออีกข้างหอบภาพเรือ หรี่ตาเล็กเดินไปข้างหน้าคลำหาคุณหนูด้วยความเป็นห่วงท่ามกลางฝุ่นเหลืองสกปรก “คุณหนู ไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ คุณหนู?”
คนที่อยู่ข้างๆ ยังตื่นตระหนกไม่หาย สถานการณ์บนถนนจบลงแล้ว แต่กลับทำให้ทุกคนตาค้าง…เห็นเพียงบริเวณที่กีบม้าก้าวผ่านไปคือความโล่งว่าง แล้วคนล่ะไปอยู่ไหน ไม่เห็นแม้แต่ชายเสื้อ!
เฉี่ยวเอ๋อร์ตะลึงงัน มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“แล้ว…คนเล่า?” แม้ว่าจะถูกเหยียบแบนแต่ก็น่าจะมีซากศพ หรือทิ้งรอยเลือดไว้สองสามแอ่งสิ เหตุใดในชั่วพริบตาเดียวจึงไม่เห็นอะไรเลยเล่า!
ทันใดนั้นก็มีใครบางคนตบหลังของนาง
“เฮือก?!” เฉี่ยวเอ๋อร์สะดุ้งโหยงแล้วเผลอปล่อยมือ ภาพเรือและผ้าเช็ดหน้าร่วงลงพื้นในทันที
นางหันขวับกลับไป เห็นผีร่างสูงเจ็ดฉื่อเต็มไปด้วยผงแป้งขาวราวหิมะทั่วทั้งตัว
“อ๊าก!…”
นางตกใจร้องลั่น ถอยหลังไปสามก้าวดังตึงๆๆ ร้องได้ครึ่งเดียวจึงเห็นชัดว่าที่มือของผีตนนั้นยังอุ้มผีสาวที่สลบไสลอยู่ด้วย…แม้สตรีผู้นั้นจะมีผงแป้งเลอะเต็มหน้า เฉี่ยวเอ๋อร์ก็ยังนึกออกทันทีว่าอีกฝ่ายคือคุณหนูของตน
“คุณหนู?!” นางหยุดถอยแล้วพุ่งตัวไปข้างหน้า ตวาดแหวใส่เจ้าคนร่างสูงใหญ่ “เจ้าทำอะไรคุณหนูของข้า รีบวางนางลงเดี๋ยวนี้!”
จั้นปู้ฉวินอยากจะอ้าปากพูด แต่อาการคลื่นเหียนก็พุ่งขึ้นมาที่คอ เขากลัวว่าจะอาเจียนออกไปอีกจึงได้แต่ปิดปากสนิทคลี่ยิ้มขื่น
เสี่ยวเอ้อร์ของหอเซียวเซียงซึ่งอยู่ข้างๆ ที่เอามือตบไหล่นางเมื่อครู่นี้รีบบอกอย่างไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
“แม่นางเฉี่ยวเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว คุณชายท่านนี้ช่วยคุณหนูของเจ้าไว้ เขาอุ้มคุณหนูใหญ่หลบกีบม้า เหาะขึ้นไปบนชั้นสองของหอเรา แต่คุณหนูใหญ่อาจจะตกใจมาก จึงได้หมดสติตอนที่ร่อนลงพื้น”
“จริงหรือ” เฉี่ยวเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นแล้วสีหน้าก็ลดความดุร้ายลงเล็กน้อย แต่แววตายังเต็มไปด้วยความสงสัย มองสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า
“จริงสิ” เสี่ยวเอ้อร์ที่ร้านช่วยพูด เมื่อครู่นี้เขาอยู่บนชั้นสอง เห็นกับตาว่าคุณชายคนนี้อุ้มคุณหนูใหญ่กระโดดขึ้นชั้นสองอย่างง่ายดาย ทักษะที่ปราดเปรียวนั้นทำให้เขาเลื่อมใสยิ่งนัก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสั้นเร่งรถม้าคันหนึ่งผ่านมา เห็นเฉี่ยวเอ๋อร์แล้วจึงตวัดตัวลงจากม้าเดินเข้ามา
“คุณชายสวี่” เฉี่ยวเอ๋อร์เห็นผู้มาใหม่คือสวี่จื่อฉีศิษย์คนโตของนายท่านก็รีบอธิบายเรื่องราวให้เขาฟัง
สวี่จื่อฉีได้ฟังที่มาที่ไปของเหตุการณ์แล้วก็รีบเรียกรถม้าที่อยู่ข้างหลัง จั้นปู้ฉวินให้ความร่วมมือส่งแม่นางที่หมดสติขึ้นรถ เฉี่ยวเอ๋อร์ก็ปีนขึ้นรถคอยดูแลคุณหนูที่รักของนาง ก่อนจะขึ้นรถก็ยังไม่ลืมบอกให้คนอื่นๆ เก็บภาพเรือที่หล่นอยู่บนพื้นกลับไปด้วย
“อาจารย์ของข้าคือสุ่ยอวิ๋นดาบทองคำ ข้าน้อยสวี่จื่อฉี” ศิษย์คนโตของสกุลสุ่ยประสานมือให้จั้นปู้ฉวิน “ไม่ทราบว่าพี่ชายมีนามว่าอย่างไร”
จั้นปู้ฉวินได้ยินแล้วก็ผงะ ที่แท้แม่นางผู้นี้คือคุณหนูสกุลสุ่ย เสียแรงตามหาตั้งนานหาไม่เจอ แต่บทจะเจอก็เจอโดยบังเอิญจริงๆ ตอนนี้ท้องไส้ของเขาดีขึ้นบ้างแล้วจึงประสานมือตอบกลับ
“ที่แท้คือศิษย์ยอดฝีมือของจอมยุทธ์สุ่ย เป็นเกียรติยิ่งนัก ข้าน้อยจั้นปู้ฉวิน”
“ขอบคุณพี่จั้นที่ออกโรงช่วยเหลือ พี่จั้นคงไม่ใช่คนต้งถิงกระมัง ยามนี้เนื้อตัวสกปรกทำความสะอาดลำบาก หวังว่าพี่จั้นจะกลับไปคฤหาสน์สกุลสุ่ยของพวกเราด้วยกัน เพื่อล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ให้อาจารย์ของข้าได้ขอบคุณท่านด้วยตัวเอง”
ก็ดีเหมือนกัน ไหนๆ ช้าเร็วก็ต้องไปสกุลสุ่ยอยู่แล้ว ในเมื่อตอนนี้มีคนนำทาง แล้วแม่นางสุ่ยผู้นั้นก็ยังต้องลำบากเพราะข้า ข้าก็ควรตามไปด้วย แม้จะรู้สึกอยากดื่มเหล้า แต่อย่างน้อยก็ต้องรอให้คนปลอดภัยก่อนแล้วค่อยไปดื่มก็ยังไม่สาย จั้นปู้ฉวินใช้ความคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบรับอีกฝ่ายด้วยความยินดี