บทที่สอง
“เจ้าคิดว่าการค้าหนนี้เป็นอย่างไร”
ระหว่างที่เดินอยู่บนสะพานเล็กข้ามแม่น้ำในสวนอันวิจิตรงดงามของคฤหาสน์สกุลฉิน จันทราเต็มดวงบนฟากฟ้าสะท้อนกับสายน้ำเกิดเป็นเงาของจันทราอีกดวง ฉินเซี่ยวเทียนก็เปิดปากเอ่ยถามกะทันหัน
เซียวจิ้งเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนในศาลารับลม บนโต๊ะมีกับแกล้มและสุราเตรียมเอาไว้เรียบร้อยนานแล้ว เขารินสุราให้ตนเองกับสหายสนิทคนละจอกแล้วยิ้มบางๆ
“อาศัยจั้นชิงที่เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง กลับสามารถกลายมาเป็นประมุขของมังกรสมุทรตระกูลจั้น ทำให้ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งยอมฟังคำสั่งของนางได้ แสดงว่าจะต้องมีความสามารถโดดเด่นกว่าคนทั่วไปอย่างแน่นอน คุณหนูใหญ่สกุลจั้นผู้นี้มิอาจดูแคลนได้ เป็นคู่ค้าที่สามารถทำงานร่วมด้วยได้ การตัดสินใจของเจ้าไม่ผิด”
“แต่?” รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องยังมีประโยคต่อไปตามมาอีกแน่ๆ ฉินเซี่ยวเทียนจึงเลิกคิ้วรอฟัง
“ขอบเขตการเคลื่อนไหวของมังกรสมุทรตระกูลจั้นที่ผ่านมาล้วนอยู่แค่ในทะเล ถึงอย่างไรระหว่างทะเลกับแม่น้ำก็มีข้อแตกต่างกันอยู่ เมื่ออยู่ในแม่น้ำพวกเขาจะสามารถปราศจากปัญหาเฉกเช่นในทะเลได้หรือไม่ก็นับเป็นปัญหาหนึ่ง ปัญหาที่สองก็คือแต่ไหนแต่ไรมาคนนอกไม่ค่อยรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมังกรสมุทรตระกูลจั้นนัก ส่วนมากมักรู้แค่ว่าพวกเขาคือโจรสลัดที่ภายหลังกลายมาเป็นพ่อค้า บรรพบุรุษเมื่อสมัยราชวงศ์ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ทางการเกลี้ยกล่อมให้กลับตัวกลายเป็นพ่อค้าสุจริต ทั้งยังฉลาดหนีไปอยู่บนเกาะกลางทะเลในยามที่เกิดสงครามกลางเมือง จากนั้นอาศัยการเดินเรือที่ไปมาอย่างอิสระบนทะเล แล่นสำเภาค้าขายกับแคว้นต่างๆ ทำกำไรมาได้ไม่น้อย นอกเหนือจากนั้นแล้ว เกาะกลางทะเลที่ตั้งหลักของมังกรสมุทรตระกูลจั้นอยู่ที่ใด กองเรือสำเภาของพวกเขารวมแล้วมีทั้งหมดกี่ลำ คนเรือดีหรือไม่ มีคุณธรรมจริงหรือไม่ เคยลักลอบปล้นสะดมเรือสำเภาลำอื่นมาก่อนหรือไม่ เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่มีผู้ใดรับรู้”
เซียวจิ้งหยุดลงชั่วขณะ ดื่มสุราลงไปอึกหนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่สหายสนิทแล้วเอ่ยสรุป
“ด้วยเหตุนี้การร่วมมือกับพวกเขาจึงมีความเสี่ยงที่แน่นอนอยู่ด้วย” เขายิ้ม “จะดีที่สุดหากสามารถรู้การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ตลอดเวลา ป้องกันไว้เผื่อสกุลจั้นเกิดวางแผนร้ายอะไร คนที่ถูกปล้นยังหลงดีใจส่งสินค้าขึ้นเรือไปให้เขาด้วยตนเอง”
“ความหมายของเจ้าคือต้องการให้ข้าส่งเรือลำหนึ่งไปติดตาม?”
“หากสามารถทำเช่นนั้นได้ย่อมดี แต่ว่าถ้าสามารถสืบค้นข้อมูลของอีกฝ่ายอย่างละเอียดมาได้ตั้งแต่ก่อนเรือจะออกเดินทาง เช่นนั้นก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นไปอีก”
ฉินเซี่ยวเทียนดื่มสุราดับกระหายไปอึกหนึ่งแล้วเหลือบมองสหายสนิทหนึ่งหน ก่อนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าส่งใครไปจะเป็นการดีที่สุด”
เซียวจิ้งตอบกลับโดยสัญชาตญาณ
“แน่นอนว่าต้องหาคนที่ว่างที่สุด…” เขาเพิ่งพูดไปได้เพียงครึ่งเดียว รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นรอยขมขื่น ในคฤหาสน์สกุลฉินแห่งนี้ คนที่ว่างที่สุดย่อมเป็นเขาแขกที่มากินข้าวโดยเสียเปล่ามากว่าหนึ่งเดือนแล้ว
ฉินเซี่ยวเทียนตบบ่าเซียวจิ้ง เอ่ยกลั้วหัวเราะ
“เช่นนั้นก็ขอฝากเจ้าด้วยแล้ว เพื่อนยาก”
เซียวจิ้งยิ้มแห้งตอบกลับ
“ไม่ต้องเกรงใจ เป็นเรื่องที่ข้าสมควรกระทำอยู่แล้ว”
เหอะๆ ช่างหาเรื่องใส่ตัวโดยแท้ เขายิ้มขื่นส่ายศีรษะ ช่างเถิด มาเที่ยวเล่นที่เจียงหนานหนึ่งเดือน ก็สมควรจะออกกำลังยืดเส้นยืดสายเสียบ้างได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปสืบหาความจริงที่มังกรสมุทรตระกูลจั้นก็แล้วกัน
“รู้เขารู้เรา…” ฉินเซี่ยวเทียนยกจอกสุราขึ้น
“รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!” เซียวจิ้งยกจอกสุราขึ้นมาคำนับกับฉินเซี่ยวเทียนอย่างปลงตก
ฉินเซี่ยวเทียนเห็นรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้าสหายสนิทก็อดเลิกคิ้วเอ่ยถามอย่างขบขันไม่ได้
“เจ้าไม่ได้คิดอยากจะเจอนางอีกครั้งหรือไร”
เซียวจิ้งตกใจ ชะงักไปชั่วขณะแล้วถึงได้ถามกลับ
“ใคร”
“คุณหนูใหญ่สกุลจั้น จั้นชิง”
เซียวจิ้งนิ่งอึ้ง เขาแสดงออกอย่างชัดเจนขนาดนั้นเชียวหรือ เขายังหลงคิดว่าไม่มีใครทันสังเกตเสียอีก
ฉินเซี่ยวเทียนไม่ได้รอคำตอบของเขา แต่กลับจี้ถามต่อ
“เจ้าคิดว่าคุณหนูใหญ่สกุลจั้นผู้นี้เป็นอย่างไร”
ในใจเซียวจิ้งรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง บนใบหน้ากลับไม่แสดงความผิดปกติ เพียงตอบอย่างเรียบง่าย
“ก็ไม่เลว”
“ไม่เลว?” ฉินเซี่ยวเทียนสนใจในคำวิจารณ์ของอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง “แค่รู้สึกว่าไม่เลวเท่านั้น?”
เซียวจิ้งเห็นสหายสนิทดูเหมือนจะไม่พอใจในคำตอบนี้ มุมปากจึงยกยิ้มบางๆ แล้วเติมไปอีกประโยค
“เก่งกล้าโดดเด่น”
“เจ้าคิดว่านางยังไม่งดงามมากพอ?” ในดวงตาของฉินเซี่ยวเทียนทอประกายขบขัน เอ่ยหยอกเย้าถามกลับ สหายของเขาผู้นี้ก็ช่างยิ่งพยายามปกปิดยิ่งเห็นได้ชัดเสียจริง เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ละสายตาไปจากผู้อื่นตลอดทั้งคืน ผลสรุปสุดท้ายกลับกลายเป็นคำว่า ‘ไม่เลว’ และ ‘เก่งกาจโดดเด่น’ อีกหนึ่งคำ? มีแต่ผีเท่านั้นแหละถึงจะเชื่อว่าเซียวจิ้งไม่ได้สนใจในตัวคุณหนูใหญ่สกุลจั้น!