“ไม่ใช่ นางแค่ฉลาดเฉลียวเกินไปแล้ว”
ฉินเซี่ยวเทียนไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่มองสหายด้วยรอยยิ้มขบขัน
ภายใต้สายตาสนใจอย่างเต็มเปี่ยมจากสหายสนิท เซียวจิ้งอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาอีก
“แล้วก็วาจาฉะฉานเกินไปหน่อย ไม่ค่อยอ่อนโยนเท่าไรนัก ไม่มีลักษณะแบบคุณหนูในห้องหอ…”
“แต่กลับมีกลิ่นอายเทียบเท่าบุรุษ” ฉินเซี่ยวเทียนช่วยต่อประโยคของอีกฝ่ายให้จบ เอ่ยอย่างมีความนัยลึกซึ้ง “หากเจ้าก็ยังคงรู้สึกแค่นางถือได้ว่า ‘ไม่เลว’?”
ดูท่าแล้ว หากเขาไม่พูดให้กระจ่าง ฉินเซี่ยวเทียนคงไม่ยอมเลิกราแน่
เซียวจิ้งยิ้ม “ก็ได้ ข้าสนใจนางมากไม่ผิด แต่ว่าไม่ใช่แบบที่เจ้าคิดแบบนั้น”
“หมายความว่าอย่างไร” ฉินเซี่ยวเทียนเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“เป็นต่างหูที่หูของนาง” เขายกมือชี้ไปที่ติ่งหูของตนเอง “ที่หูข้างขวาของนางสวมต่างหูวงเล็กที่รูปร่างเป็นเอกลักษณ์ มีสีน้ำเงินปนขาว ลักษณะคล้ายเกลียวคลื่น ข้าแค่คิดอยากยืนยันว่านั่นใช่รูปแบบเดียวกับที่ข้าเคยเห็นมาก่อนหรือไม่”
“ก็แค่ต่างหูวงเดียว เหตุใดจึงทำให้เจ้าติดใจได้เช่นนี้” ฉินเซี่ยวเทียนเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“คนที่สวมต่างหูรูปแบบเดียวกันนี้เมื่อหลายปีก่อนเคยช่วยชีวิตพี่ใหญ่ของข้าเอาไว้” เซียวจิ้งอธิบาย “ตอนนั้นข้ากลับไปไม่ทัน หากไม่ใช่คนผู้นั้นยื่นมือมาช่วยเหลือ เกรงว่าพี่ใหญ่คงตายไปแล้ว แต่หลังเขาช่วยชีวิตคนแล้วก็จากไปทันที ไม่ได้ทิ้งชื่อแซ่เอาไว้ พี่ใหญ่คิดอยากหาตัวเขามาขอบคุณต่อหน้ามาโดยตลอด เป็นเพราะรูปแบบต่างหูวงนั้นมีเอกลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงจำได้ไม่ลืม เพราะอย่างนั้นในตอนที่ข้าเห็นว่าที่หูข้างขวาของคุณหนูจั้นเองก็สวมเอาไว้ ถึงได้ตั้งใจให้ความสนใจเป็นพิเศษ”
“เรื่องตั้งแต่เมื่อไรกัน ก่อนที่เจ้าจะไปซีอวี้?” ฉินเซี่ยวเทียนถาม
เซียวจิ้งผงกศีรษะ
“ผ่านมาห้าปีแล้ว เจ้ายังไม่คิดกลับไปยังคฤหาสน์สกุลเซียวอีกหรือ”
เซียวจิ้งมองจอกสุราในมือ เหยียดมุมปากแล้วเอ่ยตอบ
“กลับไปก็มีแต่จะหาเรื่องน่ารำคาญใส่ตัว ตั้งแต่แรกที่ตัดสินใจออกมาก็ไม่ได้วางแผนจะกลับไปอีก”
“เจ้าควรจะรู้ว่าเขาไม่ถือสา” ฉินเซี่ยวเทียนขมวดคิ้วเอ่ยเกลี้ยกล่อม
“แต่ว่าข้าถือ” ในดวงตาของเขาทอประกายซับซ้อน เอ่ยยืนยันซ้ำอีกครั้งอย่างหนักแน่น “ข้าถือ”
กับความยืนกรานของสหายสนิท ฉินเซี่ยวเทียนทำได้เพียงนิ่งเงียบ
สายลมกลางคืนพัดผ่านไป โบกสะบัดชายเสื้อของคนทั้งสอง ทันใดนั้นเซียวจิ้งก็พลันยิ้มขึ้นมาบางๆ ทำลายบรรยากาศหนักอึ้งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“เลิกพูดเรื่องพวกนี้ได้แล้ว ดื่มสุราเถิด ถ้าไม่ดื่มก็เย็นหมดแล้ว” เขายกกาสุราขึ้น รินสุราลงไปในจอกของทั้งสอง
“มีเวลา…ก็กลับไปดูเสียบ้าง” ฉินเซี่ยวเทียนอดเกลี้ยกล่อมขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้
เซียวจิ้งยิ้มบางๆ ตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ
“ไว้ว่ากันทีหลังเถิด”
ฉินเซี่ยวเทียนได้ยินแล้วก็ไม่บีบบังคับสหายอีกต่อไป เพียงแค่รู้สึกไร้กำลังต่อสถานการณ์ของพี่น้องสกุลเซียวคู่นี้อยู่บ้าง ตระกูลอื่นเป็นเพราะแย่งชิงทรัพย์สมบัติกันถึงได้กลายมาเป็นศัตรู สองคนสกุลเซียวนี้กลับเป็นเพราะความที่รักเอ็นดูน้องชายเกินไป ทำให้เซียวเหวยยกน้องชายขึ้นเป็นผู้นำตระกูล และด้วยเหตุนี้เซียวจิ้งถึงได้หนีออกจากบ้านมา
ฉินเซี่ยวเทียนยกจอกลิ้มรสสุรา มองไปยังสหายสนิท ตั้งแต่เมื่อก่อนเขาก็คิดมาโดยตลอดว่าหากเซียวเหวยเห็นแก่ตัวกว่านี้ หรือเซียวจิ้งไม่ได้ฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้ บางทีสองพี่น้องคู่นี้ก็คงไม่มีวันมาถึงจุดนี้แล้ว