ยามอิ๋น เส้นขอบฟ้าทอแสงเรืองรอง
เรือสำเภาบนแม่น้ำเพียงลอยอยู่เหนือผืนน้ำ จั้นชิงยืนเท้าเปล่าอยู่บนดาดฟ้าหัวเรือ สัมผัสถึงความแข็งแรงของไม้ใต้ฝ่าเท้า นางเงยหน้ารับสายลมเย็นสบาย หลับตาสูดลมหายใจเข้าลึก ได้กลิ่นลม กลิ่นเรือ กลิ่นของน้ำ
เฮ้อ ถึงอย่างไรบนเรือก็ดีกว่าจริงๆ…
นางเพิ่งจะกำลังรู้สึกตื้นตันใจ ที่ด้านหลังก็ได้ยินเสียงหัวเราะของฉีซื่อเจินลอยมา
“ยายหนู กำลังฝันกลางวันอยู่อีกแล้วรึ!”
“อารอง” จั้นชิงหันกลับไปมองอย่างประหลาดใจ “ท่านยังไม่นอนอีกหรือ”
“นอนแล้ว ตื่นแล้ว” เขาส่ายศีรษะเอ่ย “คนแก่ก็แบบนี้ นอนไปได้พักเดียวก็ตื่นขึ้นมาเสมอ”
“อารอง เลิกพูดล้อเล่นได้แล้ว ท่านยังหนุ่มอยู่เลยน่า” นางเดินยิ้มแย้มเข้าไปหา
“ยายหนู ทำเป็นปากหวาน” ฉีซื่อเจินหัวเราะขึ้นมา พร้อมมองประเมินคุณหนูใหญ่สกุลจั้นที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโตตรงหน้าแล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ดูเจ้าสิ ราวกับว่าเมื่อวานยังเป็นเงือกน้อยที่ชอบเล่นน้ำผู้นั้นอยู่เลย มาวันนี้แค่ไม่ทันสังเกตไปชั่วครู่ก็กลายเป็นคุณหนูที่สง่างามเสียแล้ว หากว่าพ่อเจ้ายังอยู่ จะต้อง…”
“จะต้องอย่างไร ภาคภูมิใจในตัวข้าหรือ” นางทำสีหน้าพิลึกพิลั่นเป็นการล้อเล่น เอ่ยกึ่งจริงกึ่งเท็จ “ท่านพ่อมีแต่คิดอยากจะรีบแต่งข้าออกไปเท่านั้น”
“เจ้าก็ควรจะแต่งงานออกไปนานแล้ว”
“ไม่เอาน่า อารองท่านเองก็ถูกคนบนฝั่งเหล่านั้นเล่นงานมาแล้วหรือ” นางจงใจทำสีหน้าตื่นตกใจเกินจริง แล้วขมวดคิ้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ดูท่าข้าจะต้องพิจารณาแล้วว่าควรจะให้แผนการนี้ดำเนินต่อไปหรือไม่…”
“ก็ได้ๆ ข้าไม่พูดแล้วตกลงหรือไม่ อารองแค่อยากจะพูดขึ้นมาบ้าง ไม่ได้กดดันเจ้าแต่งงานเสียหน่อย ยายหนูเจ้านี่ก็จริงๆ เลย…” ฉีซื่อเจินทั้งโกรธทั้งขบขัน แล้วส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา “แต่ว่านะยายหนู เจ้าอายุยี่สิบปีแล้ว จะบอกว่าที่ผ่านมาไม่มีใครทำให้เจ้าใจเต้นได้เลยหรือ”
“อารองหมายถึงใครกัน ลองยกตัวอย่างขึ้นมาดูหน่อย” นางเอ่ยกลั้วหัวเราะตอบกลับ
“คุณชายใหญ่สกุลเฉินแห่งก่วงฝู่เล่า เขามีสมองทำการค้าที่ดียิ่ง”
“คุณชายสกุลเฉิน?” จั้นชิงเลิกคิ้วขวาขึ้น “ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นเหมือนอะไรในสายตาเขา”
“อะไร”
นางแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง
“เรือสำเภาล้ำค่าทำจากทองคำบริสุทธิ์ เปล่งประกายสีทองระยิบระยับลำหนึ่ง ในสายตาคนผู้นั้นมีแต่เงินเท่านั้น”
“เช่นนั้นเถ้าแก่หวังแห่งเฉวียนโจวเล่า คราวก่อนที่พวกเราจอดพักที่นั่น เขาไม่ได้ให้คนส่งปิ่นปักผมหยกเขียวราคามิสามัญอันหนึ่งมาให้หรอกหรือ”
“เถ้าแก่หวังต้องการจะรวบกิจการกองเรือสกุลจั้น เพื่อให้อิทธิพลของเขาแผ่มาถึงการขนส่งทางทะเล”
“เรื่องนี้…” ฉีซื่อเจินใบ้กิน ทันใดนั้นก็คิดถึงอีกตัวเลือกหนึ่งขึ้นมาได้ “เช่นนั้นเถ้าแก่เจียงแห่งโยวโจวเล่า เขามีทั้งเงินทั้งอำนาจ แล้วก็ยังมีสมอง คราวนี้ไม่เหลืออะไรให้ตำหนิแล้วใช่หรือไม่”
จั้นชิงยิ้มเอ่ย “อารอง คนผู้นั้นเย่อหยิ่งยโส คุณหนูใหญ่สกุลจั้นอย่างข้าไม่เข้าตาเขาหรอกนะ”
“พูดเช่นนี้ได้อย่างไร ยายหนูเจ้าเองก็ไม่ได้แย่เสียหน่อย ดูสิ ใบหน้ารูปไข่เป็นรูปไข่ ทรวดทรงเป็นทรวดทรง ทั้งยังฉลาดเฉลียว วาจาฉะฉาน เป็นเจ้าเด็กนั่นที่ตาไร้แววเอง” ฉีซื่อเจินขมวดคิ้ว กลับกลายมาต่อว่าคนที่เขาเสนอขึ้นมาเอง
“ใช่ๆๆ แล้วข้าก็ดันเป็นคนที่ไม่มีลักษณะแบบคุณหนูเช่นนั้น สิบกว่าปีนี้ล้วนอาศัยอยู่กับชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่บนเรือสำเภา ทั้งยังเรียนวิธีการปีนขึ้นลงเชือกแบบบุรุษ คนธรรมดาทั่วไปไม่กล้าต้องการยายหนูสุดที่รักของท่านหรอกนะ” นางเอ่ยคล้ายล้อเล่น แต่ในใจกลับรู้สึกผิดหวังไม่น้อย ช่างเถอะ ทางเส้นนี้เดิมทีก็เป็นนางที่เลือกเอง มีได้ก็ย่อมมีเสีย นางคิดได้มานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาบุรุษโง่งมทั้งเห็นตัวเองเป็นใหญ่เหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของนางเหมือนกัน
“ถ้าเป็นครอบครัวธรรมดาทั่วไป ข้าเองก็ตัดใจให้เจ้าแต่งออกไม่ลงเหมือนกัน” ฉีซื่อเจินเอ่ยไปก็พลันนึกถึงอีกตัวเลือกหนึ่งขึ้นมาได้ ทุบหมัดลงบนมือแล้วเอ่ยต่อ “ใช่แล้ว ที่เมืองหยางโจวแห่งนี้ยังมีฉินเซี่ยวเทียนอยู่อีกคนนี่! เมื่อวานเจ้าไม่ใช่เจอเขามาแล้วหรือ รู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ฉินเซี่ยวเทียน? จั้นชิงได้ยินแล้ว ที่ปรากฏขึ้นมาในหัวกลับไม่ใช่ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังของฉินเซี่ยวเทียน หากเป็นบัณฑิตข้างกายฉินเซี่ยวเทียนที่นุ่มนวลสง่างามทั้งชอบยิ้มผู้นั้น เมื่อคืนในตอนที่เขาช่วยเสี่ยวเอ้อร์ของร้านเคยบอกว่าตนเองชื่อเซียวจิ้ง ไม่รู้ว่าเขามีความสัมพันธ์เช่นไรกับสกุลฉิน
“ยายหนู?”
จั้นชิงได้สติกลับมาโดยพลัน ยามมองใบหน้าที่ปรากฏริ้วรอยของฉีซื่อเจินแล้วจึงเพิ่งคิดถึงหัวข้อที่พวกนางกำลังสนทนากันอยู่ขึ้นมาได้ รีบยิ้มเอ่ยตอบ
“อารอง ฉินเซี่ยวเทียนแต่งภรรยาไปนานแล้ว”
“เอ๋? ใช่หรือ” ฉีซื่อเจินพึมพำเสียงทุ้มต่ำออกมาอีกคำ “น่าเสียดายนัก” เมื่อครู่เห็นยายหนูเหม่อไปตั้งนาน เขายังหลงคิดว่ามีหวังแล้ว