เขามองไปยังบุตรสาวผู้มีสีหน้าดื้อรั้นบนฝั่ง เดิมทีคิดจะเอ่ยตำหนิ ทว่าเมื่อเห็นดวงตาที่ปกติเข้มแข็งมาโดยตลอดของนางทอประกายหยาดน้ำตา เห็นฟันที่กัดริมฝีปากล่างแน่น สองมือกำเป็นหมัด ก็อดถอนหายใจขึ้นมาในใจไม่ได้
เฮ้อ ไม่ควรเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเดินเรือท่องสมุทรพวกนั้นให้นางฟังแต่แรกเลยจริงๆ ยิ่งไม่ควรสอนนางเกี่ยวกับการทำงานต่างๆ บนเรือ ทำเอาในหัวนางตอนนี้ล้วนคิดแต่เรื่องจะขึ้นเรืออยู่ตลอดทั้งวัน
สองบิดาบุตรสาว หนึ่งอยู่บนเรือ อีกหนึ่งอยู่บนฝั่ง ต่างจ้องตามองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ สหายสนิทที่ติดตามจั้นเทียนมากว่ายี่สิบปีอย่างฉีซื่อเจินเองก็ทนมองไม่ไหวอีกต่อไป จึงเอ่ยเกลี้ยกล่อมขึ้นมาเสียงเบา
“พี่ใหญ่ นางเหมือนท่านมาตั้งแต่เด็กแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อไรพวกเราจะได้ออกเรือกัน เลิกโมโหเด็กมันได้แล้วน่า”
จั้นเทียนได้ยินแล้วไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้
“งั้นความหมายของเจ้าคือจะยอมให้นางขึ้นเรือมาหรือ”
“เรื่องนี้…” ฉีซื่อเจินหันหน้ากลับมามองพรรคพวกที่อยู่รอบๆ ทว่าทุกคนที่สบตากับเขาล้วนเบนสายตามองไปทางอื่น แสดงให้เห็นชัดเจนว่าไม่คิดอยากจะรับเผือกร้อนชิ้นนี้
เขาสบถด่าในใจสองสามประโยค เมื่อหันหน้ากลับไปมองหลานสาวบนฝั่งที่พยายามจะขึ้นเรืออย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาแล้ว ก็ได้แต่รู้สึกว่านางช่างกล้าหาญกว่าผู้คนบนเรือส่วนใหญ่นัก หลังไตร่ตรองอยู่สักพัก เขาก็เปิดปากเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่”
“อะไรนะ!” ทุกคนต่างตกใจ สายตาล้วนดึงกลับมากันหมด “ท่านฉี ท่านไม่ได้จริงจังหรอกใช่หรือไม่”
“เจ้ารอง?” จั้นเทียนเองก็มองไปยังพี่น้องร่วมสาบานอย่างประหลาดใจ
ส่วนเด็กหญิงบนฝั่งยิ่งเหมือนได้จุดประกายความหวังขึ้นอีกครั้ง สายตามองไปยังอารองฉีของนางอย่างตื่นเต้น
“แม้ยายหนูจะเป็นสตรี แต่ความกล้าไม่น้อยไปกว่าผู้อื่น” ฉีซื่อเจินยิ้มแย้มเอ่ย “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเราส่งใครสักคนไปแข่งกับเด็กน้อย ถ้าหากนางชนะ ก็ให้ขึ้นเรือเป็นอย่างไร”
“ไม่ได้ ข้าไม่มีทางยอมอยู่บนเรือลำเดียวกับสตรี!” ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งโต้แย้งขึ้นมาอย่างไม่พอใจทันที
ฉีซื่อเจินเลิกคิ้ว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เถียนเหล่าชี เจ้าก็เป็นคนไปแข่งกับยายหนูก็แล้วกัน!”
“แข่งก็แข่ง หากข้าชนะแล้ว นางจะไม่มีวันได้ขึ้นเรือเป็นอันขาด!” เขาพ่นลมทางจมูกเอ่ยเสียงดัง
“ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าหากแพ้ขึ้นมาเล่า”
“พูดเล่นไปได้ ข้าจะไปแพ้ให้กับยายหนูอายุสิบขวบคนหนึ่งได้อย่างไร!”
“พูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่การแข่งขันจะต้องระบุกฎกติกาให้ชัดเจนก่อนเสมอ ถูกต้องหรือไม่” ฉีซื่อเจินยกยิ้มมุมปาก เอ่ยอย่างนุ่มนวล
“ได้! หากข้าแพ้ขึ้นมาจะยอมลงจากเรือทันที ชาตินี้ไม่มีวันกลับไปทำงานในทะเลอีกแล้ว!” เถียนเหล่าชีแค่นเสียงเอ่ย คิ้วคมเข้มทั้งสองเลิกขึ้นทั้งคู่ เอ่ยอย่างมั่นใจ
ผู้คนรอบข้างไม่มีใครยับยั้งเถียนเหล่าชีที่เอ่ยคำสาบานอันหนักหนาออกมา ในใจพวกเขาล้วนคิดว่าต่อให้คุณหนูใหญ่จะเก่งกาจมากเพียงใด ถึงอย่างไรก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ไม่มีทางเอาชนะเถียนเหล่าชีได้
จั้นเทียนเองก็เพียงขมวดคิ้ว ไม่ได้กล่าวอะไร
“ท่านฉี เช่นนั้นจะแข่งอะไรกันดีหรือ” เสี่ยวโจวเอ่ยถามความสงสัยในใจทุกคนออกมาอย่างใคร่รู้
ฉีซื่อเจินมองไปรอบๆ จากนั้นจึงยิ้มออกมาจางๆ นิ้วชี้ไปที่ปลายหน้าผาสูงชันซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“แข่งสิ่งนั้นก็แล้วกัน ให้เถียนเหล่าชีกับยายหนูออกตัวจากเรือลำนี้ ว่ายน้ำไปถึงริมฝั่งแล้วเด็ดดอกไม้สีเหลืองกลับมา ผู้ใดมาถึงก่อน คนนั้นก็ชนะ”
“ตกลง!” เถียนเหล่าชีตอบรับด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เด็กหญิงมองไปที่หน้าผา บนใบหน้าแฝงความตกตะลึง สถานที่แห่งนั้นมิใช่…