14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน ลำนำรักเจ้าสมุทรชุด หัวใจเจ้าทะเล
บทที่หนึ่ง
ราชวงศ์ถัง รัชศกเจินกวนปีแรก
เมืองหยางโจวตั้งอยู่ตรงจุดพบกันระหว่างแม่น้ำฉางเจียงกับแม่น้ำอวิ้นเหอ นับตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนจวบจนกระทั่งปัจจุบัน เหล่าพ่อค้าคหบดีมากอิทธิพลทั้งในแดนกลางและแคว้นนอกล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ แม้ระดับความเจริญรุ่งเรืองในตัวเมืองจะยังไม่อาจเทียบเท่าเมืองใหญ่ทางตอนเหนืออย่างเมืองฉางอันหรือลั่วหยาง หากก็คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ความโกลาหลที่เกิดจากสงครามช่วงปลายราชวงศ์สุยจะทำให้จำนวนประชากรลดลงไปอย่างมหันต์ ชีวิตความเป็นอยู่ตกต่ำ พ่อค้าชาวหยางโจวเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบไปได้ ทว่าหลังผ่านช่วงฟื้นฟูในช่วงรัชสมัยของเกาจู่ ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในแคว้นถึงแม้จะยังไม่ได้กลับไปอยู่ในระดับเดียวกับช่วงรุ่งโรจน์ของราชวงศ์สุย แต่ก็ค่อยๆ กลับมามั่นคงแล้ว หากว่าสามารถเจริญเติบโตอย่างสม่ำเสมอเช่นนี้ต่อไปได้ เช่นนั้นก็นับได้ว่าไม่เลวนัก ทว่าช่วงหลายปีมานี้กลับเกิดทั้งภัยแล้งและภัยหนาวติดต่อกัน พ่อค้าจำนวนไม่น้อยมองเห็นโอกาสให้ตักตวง ต่างพากันขึ้นราคาข้าวสาร คิดอยากร่ำรวยเงินทองครั้งใหญ่จากภัยพิบัติ โดยเฉพาะคหบดีกังฉินที่ทำการขนส่งทางทะเลมายังตัวเมืองหยางโจว
แต่เดิมภัยพิบัติเหล่านี้ก็ทำให้ราษฎรลำบากกันมากพออยู่แล้ว หลังข้าวสารถูกคนโก่งราคาขึ้นก็ยิ่งแพงระยับจนชวนให้ผู้คนอยากร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ผ้าไหมสิบผืนกลับแลกได้เพียงข้าวสารหนึ่งโต่ว เท่านั้น ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาไม่อาจหากินได้แต่แรก
ในตอนนั้นเองที่ริมฝั่งแม่น้ำหยางโจวกลับปรากฏกองเรือสำเภาลำใหญ่ของมังกรสมุทรตระกูลจั้น ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วิธีการอันใด ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวันก็รวบซื้อกิจการทางน้ำทั้งหมดของตัวเมืองหยางโจว ในชั่วพริบตาเดียวเส้นทางออกนอกเมืองหยางโจวทางน้ำทั้งหมดล้วนถูกควบคุมโดยกองเรือที่แขวนธง ‘จั้น’ เอาไว้
เมื่อนึกถึงว่าเมืองหยางโจวนี้ด้วยเหตุผลทางทำเลที่ตั้งทำให้การส่งสินค้าออกนอกเมืองโดยส่วนใหญ่แล้วล้วนอาศัยการขนส่งทางน้ำ เวลานี้เส้นทางการขนส่งสินค้าถูกคนควบคุมเอาไว้ เหล่าตระกูลพ่อค้าคหบดีภายในเมืองต่างพากันหวาดหวั่นหวาดระแวง รู้สึกไม่สงบอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้ว่าสกุลจั้นที่แต่เดิมเป็นผู้มีอิทธิพลทางทะเลกำลังวางแผนทำอะไรอยู่
คาดไม่ถึงว่าในวันถัดมามังกรสมุทรตระกูลจั้นกลับจัดคนส่งเทียบเชิญไปให้ทุกตระกูลพ่อค้าคหบดีในเมือง ชี้แจงว่าดึกวันนี้จะจัดงานเลี้ยงที่หอสี่สมุทร เชิญชวนเหล่าพ่อค้าทุกท่านให้มารวมตัวกัน สิ่งนี้พูดให้เสนาะหูได้ว่าเชิญชวน ในความเป็นจริงแล้วเหล่าพ่อค้าจะไม่ไปกันก็ไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้ในมือผู้อื่นถือไพ่ใบสำคัญอยู่เล่า นอกเสียจากตนเองจะไม่อยากทำการค้าในเมืองหยางโจวอีกต่อไปแล้ว มิเช่นนั้นก็ทำได้แต่ต้องตอบรับคำเชิญอย่างเชื่อฟัง
ยามดึก โคมไฟที่หอสี่สมุทรจุดขึ้นอย่างสว่างไสว ที่ด้านนอกปรากฏเกี้ยวที่หรูหรามากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ คันแล้วคันเล่า ทั้งยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่นั่งรถม้าประดับทองคำและหยกทอประกายเจิดจรัสมา
บนหอสี่สมุทร บุรุษผู้หนึ่งนั่งเท้าคางอยู่ริมหน้าต่าง มองประเมินลงไปยังบรรดาเกี้ยวและรถม้าประกายทองระยับเหล่านั้น ริมฝีปากพึมพำประหลาดใจ
“ช่างยอดเยี่ยมกันจริงๆ ดูรถม้าคันนั้นของสกุลเฉิน แม้กระทั่งหลังคารถยังหุ้มด้วยทองคำเปลว เกี้ยวของสกุลหวังใหญ่มากพอจะให้คนสี่คนนอนเรียง ยังมีเจ้าหมูอ้วนแซ่ชวีนั่น เขาสวมใส่บรรดาเพชรนิลจินดาของล้ำค่าเหล่านั้นแล้วยังมีวิธีเดินไม่ให้ล้มได้ ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์เสียจริง”
สตรีชุดเขียวที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาเลิกคิ้วแล้วแค่นเสียงเบาๆ คราหนึ่ง
”ในยุคสมัยเช่นนี้ยังสามารถถลุงเงินได้ถึงเพียงนี้ แค่ดูจากการแต่งกายก็สามารถรู้ได้แล้วว่าพวกพ่อค้ากังฉินเหล่านี้ละทิ้งสำนึกดีงามหาเงินมาได้มากน้อยเท่าไร ไปเป็นมหาโจรยังทำเงินได้ไม่ดีเท่านี้เลย! แต่คนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหยางโจวไม่ใช่คนเหล่านี้ เจ้าหันไปดูผู้อาวุโสที่เดินมาจากทางขวานั่น…” นางยื่นมือชี้ออกไป “เขาถึงจะเป็นคหบดีอันดับสองของเมืองหยางโจว”
“ท่านจะบอกว่าผู้อาวุโสที่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ นั่นคือคหบดีอันดับสองของเมืองหยางโจว?! เป็นไปไม่ได้หรอกน่า” เขาเบ้ปาก แสดงสีหน้าเกินจริง
“คนรวยที่แท้จริงจะไม่แสดงออกว่าตนเองรวย ก็เหมือนกับที่คนเลวไม่มีทางยอมรับว่าตนเองเลวเช่นนั้น ผู้อาวุโสที่สวมชุดเก่าขาดผู้นั้นชื่อโจวอวี้เฉิง เชื่อมั่นในการขยันพากเพียรทำงานหนักจนกลายเป็นคหบดี ถึงแม้จะร่ำรวยเงินทองเป็นอย่างยิ่งแต่กลับไม่ชอบใช้เงิน” นางพูดไปพร้อมกับรินสุราดอกซิ่ง ประจำฤดูดื่มไปด้วย
“คหบดีอันดับสองแต่งตัวเช่นนี้ เช่นนั้นคหบดีอันดับหนึ่งคงไม่ใช่ว่าแต่งเหมือนขอทานเลยหรอกนะขอรับ”
“รู้จักอดออมแต่ไม่รู้จักหาเงินเองก็ยากจะประสบความสำเร็จ” นางพยักพเยิดหน้าไปทางซ้ายล่างทีหนึ่ง เอ่ยอธิบาย “นู่น บุรุษที่กำลังลงจากรถผู้นั้นก็คือคหบดีอันดับหนึ่งแห่งเมืองหยางโจว เขาชื่อฉินเซี่ยวเทียน อายุสามสิบปี กิจการที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเป็นของเขา เขาเองก็เป็นคนเพียงคนเดียวในเมืองที่กล้าใช้เงินตัวเองจัดตั้งกองเรือสำเภาและกองรถม้า”
“ที่ลงจากรถมามีสองคน เป็นผู้ที่สวมชุดสีม่วงคนนั้น หรือคุณชายที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตข้างๆ เขากันขอรับ”
“ผู้ที่สวมชุดสีม่วงคนนั้น” สตรีชุดเขียวเพิ่งจะกล่าวจบ กลับได้เห็นบัณฑิตผู้นั้นคล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาของพวกเขาจึงเงยหน้าขึ้นมามองอย่างกะทันหัน สายตาของทั้งสองคนพลันสบกัน เขาเผยรอยยิ้มจางๆ ผงกศีรษะให้นาง
นางรู้สึกใจสั่นขึ้นมาต่อดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นของเขาอย่างอธิบายไม่ได้ ทว่านอกจากอาการใจสั่นแล้ว ยังมีความแปลกใจปนอยู่ด้วย
คนผู้นี้รู้ว่าพวกนางกำลังสังเกตการณ์อยู่ เขาเป็นใครกัน
นางขมวดคิ้ว จำไม่เห็นได้ว่าสกุลฉินมีบุคคลผู้นี้อยู่ด้วย
บุรุษที่ข้างกายนางไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง เพียงแค่จ้องมองไปยังบุรุษชุดม่วงผู้นั้นอย่างอึดอัดใจ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉินเซี่ยวเทียนผู้นี้ยังจะมาอีกทำไมกัน การปิดกั้นของพวกเราไม่มีผลต่อเขามิใช่หรือขอรับ”
ได้ยินดังนั้นนางจึงละสายตากลับมา
“ตรงนี้นี่แหละที่เป็นความร้ายกาจของเขา เขาสามารถทำกิจการตามลำพังได้มิผิด ปัญหาอยู่ที่พวกเรา ตอนนี้พวกเรากินรวบการขนส่งสินค้ามากกว่าแปดส่วนของเมืองหยางโจว หากพวกเราต้องการโก่งราคาให้สูงขึ้น ก็ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเขา แต่หากไม่ใช่เล่า ถึงแม้ความเป็นไปได้นี้จะน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยจริงหรือไม่ หากว่าพวกเราลดค่าจัดส่งลง ต้นทุนของบรรดาพ่อค้าในเมืองก็ต้องต่ำลง ย่อมส่งผลกระทบต่อกิจการของตระกูลเขาอย่างแน่นอน” สตรีชุดเขียวลุกขึ้นยืน “ที่เขากลัวก็คือความเป็นไปได้อันเล็กน้อยนั้นจะเกิดขึ้น”
“อ้อ เช่นนั้นหนนี้เขาก็มาถูกแล้ว” เขาหยักยิ้ม จากนั้นก็คิดขึ้นมาได้ “คุณหนูใหญ่ เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นอุปสรรคหรือไม่ขอรับ”
“ไม่” อย่างน้อยนางก็หวังว่าเขาจะไม่เป็น
“ท่านมั่นใจขนาดนี้ได้อย่างไร”
“เพราะว่าคนผู้นี้ยังนับได้ว่าไม่เลวนัก เงินที่หามาล้วนเป็นเงินสุจริต” กล่าวจบนางก็หันไปมองข้างนอกเล็กน้อย เห็นว่าคนมากันพร้อมเกือบหมดแล้วจึงวางจอกสุราในมือลง เลิกคิ้วงามขึ้น “ไปกันเถิดเสี่ยวโจว พวกเราเองก็ควรปรากฏตัวได้แล้ว ไปเชิญผู้อื่นมาก็ไม่ควรให้ผู้อื่นต้องรอนานเกินไป”