14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน ลำนำรักเจ้าสมุทรชุด หัวใจเจ้าทะเล
หอสี่สมุทรในตัวเมืองหยางโจวนับได้ว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง
เหตุใดจึงมีชื่อเสียง ย่อมเป็นเพราะว่าที่หอสี่สมุทรมีมีดอยู่เล่มหนึ่ง เป็นมีดที่มีชื่อเสียงยิ่ง!
มีดที่มีชื่อเสียงเล่มนี้มิได้เป็นมีดที่จอมยุทธ์นำมาใช้เข่นฆ่ากัน แต่เป็นมีดหั่นผักเล่มหนึ่ง มีดหั่นผักที่มีไว้ทำอาหารเลิศรสในใต้หล้าโดยเฉพาะ!
ใต้หล้านี้จะมีมีดหั่นผักที่ทำอาหารเองได้เยี่ยงไร ฟังดูแล้วไม่น่าขบขันไปหรือ
หากว่าท่านคิดเช่นนี้ เช่นนั้นก็ผิดแล้ว เพราะว่ามีดหั่นผักขึ้นชื่อของหอสี่สมุทรมิใช่มีดหั่นผักธรรมดาทั่วไป แต่เป็นชื่อชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง เขาแซ่ไช่ นามเตา เมื่อเรียกรวมกันก็กลายเป็น…ไช่เตา!
ภายในห้องครัว ในมือไช่เตาถือมีดหั่นผัก ยกมือสับไก่ต้มบนเขียงไม้อย่างคล่องแคล่วฉับๆๆ มีจังหวะเป็นอย่างยิ่ง ไม่เร็วไปนิด ไม่ช้าไปหน่อย แน่นอนว่าชิ้นเนื้อไก่ที่สับออกมานั้นก็มีขนาดกำลังพอดี
ถึงแม้จะบอกว่าชื่อของเขาเวลาเรียกแล้วจะฟังดูน่าขบขันอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้ผู้คนอดนับถือความมองการณ์ไกลในการตั้งชื่อของบิดาเขามิได้ เพราะว่าไช่เตาเก่งกาจในการใช้มีดหั่นผักจริงๆ แน่นอนว่าเขาย่อมทำอาหารเก่งด้วย และยังโชคดีที่รูปลักษณ์ของเขาไม่ได้คล้ายกับใบมีด
ไช่เตาสับไก่ต้มตัวสุดท้ายเสร็จแล้วก็จัดเรียงเนื้อไก่ลงบนจานอย่างคล่องแคล่ว ริมฝีปากอ้าขึ้น ส่งเสียงทุ้มต่ำ
“ยกอาหารได้!”
บรรดาเสี่ยวเอ้อร์ที่รอคอยอย่างนอบน้อมรีบผลัดกันยกถาดอาหารออกไปด้านนอกอย่างระมัดระวังทันที คืนนี้หอสี่สมุทรถูกคนเหมาเอาไว้หมดแล้ว ผู้คนที่มาราวยี่สิบกว่าคนล้วนเป็นคหบดีขั้นหนึ่งขั้นสองของเมือง ไม่อาจรับรองอย่างล่าช้าได้จริงๆ ดังนั้นทุกคนจึงบริการอย่างระมัดระวังยิ่งกว่ายามปกติ เกรงว่าจะไปมีเรื่องกับบรรดาคนใหญ่คนโตเหล่านี้
ออกมาด้านนอกห้องครัวแล้ว บรรดาเสี่ยวเอ้อร์พากันยกถาดอาหารไปวางบนโต๊ะ เห็นเพียงสีหน้าบรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ล้วนหนักอึ้ง ประดุจมารดาที่บ้านเสียอย่างไรอย่างนั้น ชวนให้ผู้คนไม่กล้าสูดหายใจส่งเดช
ฝีมืออาหารของไช่เตาหอสี่สมุทรสามารถมีราคาถึงสำรับละสองร้อยตำลึง และแน่นอนว่าย่อมมีชื่อเสียงถึงรสชาติอันโอชะ อาหารขึ้นโต๊ะมาจานแล้วจานเล่า ทว่ากลับไม่มีผู้ใดขยับตะเกียบ เพียงรอแต่คนส่งเทียบเชิญปรากฏตัวออกมา รอแล้วรอเล่ากลับไม่ปรากฏผู้ใดทั้งสิ้น เพียงไม่นานชวีพั่งจื่อผู้นั้นก็ยืนขึ้นมาอย่างทนไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่พอใจ
“เจ้าเด็กน้อยจั้นชีผู้นั้นอยู่ที่ใดกันแน่ ข้าไม่ได้มีเวลาบ้าบอมาเสียรออยู่ที่นี่ทั้งคืนนะ!”
“ชวีพั่งจื่อ บนเทียบเชิญเขียนไว้ว่าจั้นชิง มิใช่จั้นชี” เถ้าแก่หวังเอ่ยเยาะเย้ยเสียงเย็น สกุลหวังของเขากับสกุลชวีเป็นศัตรูคู่อริกัน ทั้งสองคนไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเข้าตาสักครั้ง
ใบหน้าชวีพั่งจื่อแดงขึ้นมา ส่งเสียงหยาบกระด้าง
“ใครสนว่ามันเป็นชีหรือว่าชิง พวกเราทุกคนมาถึงหอสี่สมุทรตรงตามเวลาในเทียบเชิญ ล้วนรอกันมานานกว่าหนึ่งเค่อ* แล้ว เจ้าเด็กน้อยสกุลจั้นผู้นั้นก็ยังไม่ปรากฏตัว เห็นได้ชัดว่าต้องการกลั่นแกล้งพวกเรา!”
เขากล่าวจบก็ตบโต๊ะอย่างรุนแรงคราหนึ่ง ใครจะคาดว่าเสี่ยวเอ้อร์ผู้หนึ่งกำลังวางอาหารลงบนโต๊ะพอดี ตบโต๊ะลงไปหนึ่งทีขยับไปทีหนึ่งครั้งนี้ เป็นความบังเอิญที่ไม่บังเอิญไปโดนน้ำแกงหูฉลามบนมือของเสี่ยวเอ้อร์เข้าให้ ในชั่วพริบตานั้นน้ำแกงก็สาดกระจายไปทั่ว
“อ๊าก…บ้าเอ๊ย! เจ้าเด็กตาไม่มีแวว!” ชวีพั่งจื่อรีบชักเท้าข้างขวาที่ถูกน้ำแกงกระเซ็นโดนออกมาทันที รองเท้าหุ้มข้อชั้นดีถูกราดด้วยน้ำแกงไปกว่าครึ่ง ทำให้เขาโกรธจนเงื้อมืออวบอูมขึ้น ดูท่ากำลังจะตบลงไปยังใบหน้าของเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังตกตะลึงผู้นั้นอยู่แล้ว ทว่าในเสี้ยวเวลาสุดท้ายกลับถูกคนขวางเอาไว้ได้ทัน
“เถ้าแก่ชวี” บัณฑิตผู้ติดตามข้างกายฉินเซี่ยวเทียนผู้นั้นไม่รู้ว่ามาอยู่เบื้องหน้าชวีพั่งจื่อตั้งแต่เมื่อไร ทั้งยื่นมือออกมาจับข้อมืออ้วนนิ่มของเขาได้อย่างง่ายดาย และเอ่ยยิ้มแย้มกับเขา “เพลิงโทสะอย่าได้ใหญ่โตนักเลย จะไม่ดีต่อร่างกายยิ่ง”
“เจ้านับเป็นตัวอะไรกัน” ชวีพั่งจื่อโกรธจนใบหน้าแดงจัดลงมาถึงคอหนา คิดอยากดึงมือกลับมาทว่าขยับไม่ได้ บัณฑิตผู้นี้มองดูอ่อนแอ คิดไม่ถึงว่าเรี่ยวแรงจะมีไม่น้อย
“ผู้น้อยเซียวจิ้ง” เขายิ้มบางๆ หลังแนะนำตัวเสร็จก็หันไปเอ่ยกับเสี่ยวเอ้อร์ที่ยังคงตัวสั่นอยู่ด้านข้าง “เจ้าอย่าได้กลัว เถ้าแก่ชวีจิตใจกว้างขวาง ไม่มีทางถือสาหาความเจ้า” เขาหันกลับไปมองเจ้าอ้วนชวีที่ถูกตนเองควบคุมอยู่ด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลเถ้าแก่ชวีร่ำรวยมหาศาล แค่รองเท้าหุ้มข้อราคาไม่กี่ตำลึงเงิน ไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก ท่านว่าถูกต้องหรือไม่ เถ้าแก่ชวี?”
ชวีพั่งจื่อได้ยินแล้วอ้าปากอยากสบถด่า แต่คิดได้ทันท่วงทีว่าประโยคนี้ของเขาหากด่าออกไปแล้ว มิใช่เป็นการยอมรับว่าตนเองเป็นคนจิตใจคับแคบ กระทั่งเงินไม่กี่ตำลึงเงินก็ยังถือสากับเด็กยากจนผู้หนึ่ง ความใจกว้างไม่มีสักนิดเดียวหรอกหรือ ปากของเขาอ้าขึ้นกว้างทีเดียว ทว่ากลับค้างไว้อย่างน่ากระอักกระอ่วน คิดเพียงแค่ว่าจะด่าก็ไม่ใช่ จะไม่ด่าก็ไม่ถูก
ชวีพั่งจื่อไม่ได้พูดอะไร เสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ด้านข้างตกใจจนใบหน้าซีดเผือด รีบร้อนคุกเข่าลงเบื้องหน้า จับผ้าบนบ่าช่วยเขาเช็ดรองเท้าหุ้มข้อพร้อมกับเอ่ยขอโทษติดๆ กันไปด้วย
“ขออภัยๆ…”
ชวีพั่งจื่อเห็นดังนั้น อย่างน้อยเสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ก็เอ่ยขอโทษแล้ว ดวงตาตี่ของเขามองไปรอบด้านคราหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ไว้ ถึงได้ปิดปากลงอย่างโกรธขึ้ง
เห็นโทสะของชวีพั่งจื่อลดลงไปมากแล้ว เซียวจิ้งก็คลายมือออกอย่างยิ้มแย้ม เอ่ยยกยอเขา
“เถ้าแก่ชวีไม่เสียทีที่เป็นเถ้าแก่ชวี นับเป็นผู้ที่ใจกว้างดั่งมหาสมุทรจริงๆ”
เถ้าแก่ชวีได้ยินแล้วแค่นเสียงออกมาหนักๆ ทว่าสีหน้าดูดีขึ้นหลายส่วน เขากลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ เป็นการยอมรับคำพูดยกยอปอปั้นนี้
“พูดได้ดี”
“ช่างไร้ยางอายเสียจริง!” เพียงประโยคเดียวไม่ดังไม่เบา ทว่ากลับพูดความในใจของทุกคนออกมาหมดแล้ว