สายตาทุกคนหันขวับไปมองยังที่มาของเสียงทันที เพียงเห็นตำแหน่งประมุขที่แต่เดิมว่างเปล่า ไม่รู้ตั้งแต่ยามใดที่ปรากฏสตรีชุดเขียวผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างหาญกล้า ที่ด้านหลังนางยังมีบุรุษผู้หนึ่งที่ดูเหมือนองครักษ์ยืนอยู่ด้วย
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?!” ชวีพั่งจื่อโกรธจนตบโต๊ะอีกครั้ง พร้อมกับลุกขึ้นยืนอีกหน
“พูดว่าเจ้าไร้ยางอาย” นางกำลังยิ้มเยาะ ซึ่งเข้ากับการพูดทวนอีกครั้งอย่างยิ่ง
“อวดดี! เจ้าเป็นยายเด็กป่าเถื่อนจากที่ไหนกัน” ดวงตาตี่ของชวีพั่งจื่อถลึงมอง เหมือนแทบจะพ่นไฟออกมาได้ เอ่ยคำรามอย่างข่มขวัญ
“ลงสี่? เช่นนั้นข้าก็ทิ้งห้าได้แล้ว นี่ไม่ใช่ว่ากำลังเล่นไพ่ใบไม้ กันอยู่เสียเมื่อไร!” ดวงตากลมโตของนางแฝงไปด้วยรอยขบขัน โยนมือคราหนึ่งก็ทิ้งถั่วลิสงหนึ่งเม็ดเข้ามาในปากเล็กๆ
“เจ้าๆ เจ้า…” ชวีพั่งจื่อโกรธจนพูดตะกุกตะกัก
สตรีชุดเขียวเห็นดังนั้นยังหยอกเย้าด้วยการเงยหน้าหันไปยิ้มแย้มถามองครักษ์ที่ข้างหลัง
“เสี่ยวโจว ข้าโอหังเกินไปแล้วหรือไม่”
เสี่ยวโจวกลั้นขำ ตอบกลับด้วยใบหน้าจริงจัง
“เรียนคุณหนูใหญ่ แค่เพียงเล็กน้อย นายท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่าจะต้องไว้หน้าผู้อื่นบ้าง ต่อให้บางคนไร้ยางอายจริงๆ พวกเราเองก็ต้องช่วยดูแลยางอายนั้นแทนเขาขอรับ”
“ใช่หรือ” นางกะพริบดวงตากลมโตสีดำสนิทปริบๆ หันกลับไปมองชวีพั่งจื่ออย่างไร้เดียงสา เอ่ยยิ้มแย้มอย่างเสแสร้ง “เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นข้าขออภัยด้วยแล้วกัน”
“เจ้าๆๆ” ชวีพั่งจื่อได้ยินแล้วยิ่งโกรธจัดจนตัวสั่น ชี้ไปที่ปลายจมูกของนางทว่าพูดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่า ‘เจ้า’
“ข้าๆๆ ข้าทำไมกัน” นางเลียนแบบอาการตะกุกตะกักของเขา แล้วก็ยื่นนิ้วชี้ออกไปชี้กลับสั่นๆ ด้วยเช่นกัน เอ่ยอย่างขบขัน “เจ้าๆ เจ้านั่งลงเถอะเจ้า!”
ที่ประหลาดก็คือในยามที่นิ้วชี้ของนางสะกิดลง คาดไม่ถึงว่าชวีพั่งจื่อเองก็หัวเข่างอพับลงอย่างควบคุมไม่ได้ นั่งกลับลงไปแล้วจริงๆ ทั้งยังไม่พูดอะไรอีก เห็นได้ชัดว่าถูกคนสกัดจุดเข้าให้แล้ว
ฝีมือนี้เรียกได้ว่าช่วยเปิดโลกให้กับทุกคนจริงๆ ในชั่วพริบตาก็ได้รู้ว่าตนพบกับยอดฝีมือในยุทธภพเข้าให้แล้ว มีเพียงฉินเซี่ยวเทียนกับเซียวจิ้งที่มองสบตากันคราหนึ่ง สังเกตเห็นว่าผู้ที่ลงมือความจริงไม่ใช่สตรีชุดเขียว หากเป็นบุรุษที่อยู่ด้านหลังนางผู้นั้นต่างหาก
“คราวนี้ก็เงียบสงบขึ้นเยอะแล้ว” นางยิ้มแย้มกวาดสายตามองทุกคน จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนเอ่ยเสียงกังวาน “ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้ทุกท่านในเมืองหยางโจวสามารถมาตามนัดได้ ขอเพียงในภายหน้าทุกท่านให้ความร่วมมือได้เฉกเช่นในวันนี้ พวกเรามังกรสมุทรตระกูลจั้นไม่มีทางสร้างความลำบากให้กับทุกท่านเป็นอันขาด หวังว่านอกจากจะสามารถร่วมมือกันได้อย่างราบรื่นแล้ว ยิ่งสามารถร่วมมือกันกำหนดค่าขนส่งได้อย่างเหมาะสม”
ประโยคนี้เพียงกล่าวออกไป บรรดาพ่อค้าคหบดีก็ต่างพากันนิ่งอึ้ง สตรีผู้นี้คือตัวแทนของสกุลจั้น?
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน พ่อค้าอย่างพวกเขาตอบรับเทียบเชิญมาที่นี่ สกุลจั้นกลับเลือกสตรีผู้หนึ่งมารับมือพวกเขาอย่างไม่ให้เกียรติ? ล้อเล่นอะไรกัน!
เถ้าแก่หลายคนแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมาทันที เถ้าแก่เฉินเป็นคนแรกที่โต้เถียงออกมา
“มังกรสมุทรตระกูลจั้นแม้จะเป็นผู้มีอิทธิพลทางทะเล แต่ส่งสาวน้อยผู้หนึ่งมารับมือกับพวกเรา ใช่เป็นการทำเกินไปหน่อยแล้วหรือไม่ เรียกผู้นำตระกูลจั้นชิงออกมา ไม่อย่างนั้นจะไม่มีการเจรจาอะไรทั้งนั้น!”
พ่อค้าจำนวนไม่น้อยก็สนับสนุนอย่างโกรธาทีละคน เจ้าพูดประโยคหนึ่ง ข้าพูดอีกประโยค
“ใช่ เรียกจั้นชิงออกมา!”
“แสดงความจริงใจหน่อย!”
“ที่นี่คือเมืองหยางโจว ไม่ใช่ถิ่นของสกุลจั้น!”
“พวกเราไม่เจรจาการค้ากับสตรี!”
“เรียกจั้นชิงออกมา!”
ในชั่วพริบตาเดียวภายในห้องโถงก็เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกไม่เลิกรา สตรีชุดเขียวยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา ยืนฟังคำวิจารณ์คร่ำครึเหล่านี้ของบรรดาพ่อค้า ทางนี้พูดว่าสาวน้อย ทางนั้นพูดว่าไม่เจรจากับสตรี ฟังจนเพลิงโทสะนางยิ่งทียิ่งสูง จนตบโต๊ะอย่างรุนแรงไปคราหนึ่ง
“หุบปากกันให้หมด!”
โต๊ะส่งเสียงดังสนั่นออกมา หากเสียงพูดของนางกลับยิ่งดังกังวานกว่า ในชั่วพริบตาที่เสียงผู้คนพากันเงียบกริบ นางก็หรี่ตาลงพร้อมเอนตัวไปข้างหน้า พูดเน้นทีละคำต่อบรรดาผู้คนที่หยิ่งยโสเหล่านั้น
“ข้าเองคือจั้นชิง!”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ทุกคนพากันจับจ้องไปยังสตรีที่บอกว่าตนเองคือจั้นชิง จากนั้น…เถ้าแก่หวังเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืนหมุนตัวจากไป เถ้าแก่เฉินไม่พูดอะไรสักคำก็เดินไปทางประตู กระทั่งคำพูดทักทายยังไม่เอ่ย คนอื่นๆ พากันทยอยติดตามออกไป ชวีพั่งจื่อหากไม่ใช่ว่าโดนสกัดจุดอยู่ จะต้องเป็นคนแรกที่เดินออกจากประตูไปอย่างแน่นอน
ถึงแม้จะคาดการณ์ได้แต่แรกแล้วถึงสถานการณ์เช่นนี้ แต่นางก็ยังโดนท่าทีดูถูกของผู้คนเหล่านี้ทำให้เจ็บอยู่ดี
แม้กระทั่งโอกาสฟังนางพูดพวกเขายังไม่มีให้!
เพียงแค่เพราะว่านางเป็นสตรี…