X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลูบคมองครักษ์สวมรอย

ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 107

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 107

ตอนลู่เหิงได้ยินว่าฟางฮองเฮาพาตัวเฉาตวนเฟยไปและจับกุมหวังหนิงผินก็สังหรณ์ใจอยู่แล้วว่าฟางฮองเฮาจะต้องอาศัยเรื่องงานเป็นข้ออ้างแก้แค้นเรื่องส่วนตัว แต่ภารกิจขององครักษ์เสื้อแพรคือการอารักขาฮ่องเต้ รอจนฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมา ลู่เหิงจึงได้รายงานเรื่องนี้และให้ฮ่องเต้เป็นคนตัดสินใจ

ฮ่องเต้สั่งให้ลู่เหิงไปวังคุนหนิงคุมขังเฉาตวนเฟย แท้จริงแล้วก็คือการรักษาชีวิตของเฉาตวนเฟยไว้นั่นเอง องครักษ์เสื้อแพรเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ของราชสำนักฝ่ายหน้า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับฝ่ายใน แต่สำนักขันทีซือหลี่และกองการตำหนักในมีอำนาจของสนมชายาทั้งหลายปะปนอยู่ ขันทีพวกนั้นแค่ลงมือเล็กน้อยก็เพียงพอทำให้เฉาตวนเฟยลำบากแล้ว

แม้ฮ่องเต้จะยังมิได้ตรวจสอบให้กระจ่างว่าเหตุใดนางกำนัลจึงลอบสังหารตนเอง แต่ด้วยความรู้สึกของฮ่องเต้ ไม่มีทางเป็นฝีมือของเฉาตวนเฟยแน่

บิดาของเฉาตวนเฟยเป็นขุนนางของราชสำนัก ตัวนางเองเป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่ง ยังให้กำเนิดพระธิดาองค์หนึ่งที่อายุเพียงแปดเดือน หากเฉาตวนเฟยมีใจเป็นอื่นจริง ตลอดหลายปีมานี้ตอนกินอาหาร หลับนอนกับพระองค์ก็มีโอกาสมากมายถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงต้องให้นางกำนัลใช้เชือกรัดคอในคืนวันที่นางปรนนิบัติพระองค์ด้วยเล่า

เรื่องนี้ไม่ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว เฉาตวนเฟยก็ต้องเดือดร้อนไปด้วยแน่นอน นางไม่มีเหตุผลให้ต้องทำเรื่องเช่นนี้เลยจริงๆ

ตอนลู่เหิงไปวังคุนหนิงเพื่อคุมตัวคน แรกเริ่มฟางฮองเฮาไม่ยอมพูด เฉไฉไปเรื่องอื่นอยู่นาน จนลู่เหิงนำป้ายคำสั่งออกมาและแสดงท่าทีแข็งกร้าว ฟางฮองเฮาจึงยอมเอ่ยปาก บอกว่าขังโจรกบฏไว้ในสถานที่มิดชิดแห่งหนึ่งเพื่อสอบสวน

องครักษ์เสื้อแพรรุดมายังหมู่ตำหนักที่เปลี่ยวร้างมากแห่งหนึ่งหลังอุทยานหลวงตามคำบอกของฟางฮองเฮา ในที่สุดก็พบตัวเฉาตวนเฟยในตำหนักเย็น ลู่เหิงผลักประตูเข้าไปก็ต้องขมวดคิ้วอย่างแรง

เขายังคงประเมินความอำมหิตของฟางฮองเฮาต่ำเกินไป ฟางฮองเฮามิเพียงลงทัณฑ์โดยพลการ ยังใช้ทัณฑ์ขั้นสูงสุดอย่างหลิงฉือซึ่งเป็นวิธีที่โหดเหี้ยมมากที่สุด

ทัณฑ์หลิงฉือเป็นการใช้มีดแล่เนื้อออกมาทีละชิ้น โดยมากแม้จะถูกลงมีดไปหลายร้อยแผลแล้ว ผู้รับทัณฑ์ก็ยังคงมีสติอยู่ กล่าวได้ว่าทรมานเหมือนตายทั้งเป็น นี่เป็นวิธีลงทัณฑ์ที่เหี้ยมโหดที่สุด ที่ผ่านมามีแต่พวกทรยศแผ่นดินหรือคิดการกบฏเท่านั้นจึงถูกประหารด้วยวิธีหลิงฉือ เฉาตวนเฟยเป็นพระชายาคนแรกและก็น่าจะเป็นคนเดียวที่ถูกประหารชีวิตด้วยวิธีนี้

คุกหลวงได้ชื่อว่าเป็นนรกบนดิน เวลาองครักษ์เสื้อแพรสอบปากคำนักโทษก็มีการใช้เหล็กร้อน การเฆี่ยนด้วยแส้ และใช้เครื่องหนีบเท้าเหมือนกัน กัวเทาคิดว่าตนเองพบเห็นภาพนองเลือดเช่นนี้มาจนชินแล้ว ตอนเข้าไปในตำหนักเย็นเห็นภาพตรงหน้ายังแทบจะอาเจียน พระชายาผู้ได้รับความโปรดปรานที่ไม่นานก่อนหน้านี้ยังแย้มยิ้มร่าเริง บัดนี้เหลือเพียงเศษเนื้อกองเต็มพื้น ศีรษะเชื่อมต่อกับร่างกายที่แหว่งวิ่นไม่สมบูรณ์ นอนอยู่บนพื้นโดยไร้ซึ่งความอุ่น ดวงตาเบิกถลน ไม่เห็นความอ่อนโยนงดงามในวันวานอีก

องครักษ์เสื้อแพรหลายคนสีหน้าพะอืดพะอม พวกที่อ่อนเยาว์หน่อยวิ่งไปอาเจียนแห้งๆ ที่มุมกำแพงแล้ว ลู่เหิงตีหน้าเย็นชาเดินอ้อมศพของเฉาตวนเฟย ค้นหาในตำหนักรอบหนึ่ง แต่ไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์ ขันทีที่เป็นผู้ลงทัณฑ์ยืนชิดผนังห้อง พวกเขาลนลานอยู่บ้าง แต่ยังคงเอ่ยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ฝ่าบาททรงถูกคนโฉดปองร้ายในวังอี้คุน เฉาตวนเฟยกลับบังเอิญไม่อยู่พอดี นางจะต้องรู้เรื่องนี้แน่ คนทรยศเช่นนี้หลิงฉือยังสบายพวกนางเกินไปด้วยซ้ำ”

‘พวกนาง’ ลู่เหิงทวนคำนี้ช้าๆ หันกลับไปสั่งองครักษ์เสื้อแพร “ค้นวังและตำหนักโดยรอบให้ทั่ว หวังหนิงผินก็อยู่ที่นี่เช่นกัน”

ขันทีลนลานทันใด เขาคิดไม่ถึงว่าลู่เหิงจะความรู้สึกไวเช่นนี้ แค่พลั้งปากไปคำเดียวก็ถูกลู่เหิงจับพิรุธได้ แต่ขันทีคิดว่าตนรับคำสั่งจากฮองเฮาจึงเชิดหน้าอย่างไม่กลัวเกรง

ลู่เหิงออกคำสั่งแล้ว ไม่นานองครักษ์เสื้อแพรก็กลับมารายงานว่าพบหวังหนิงผินตรงเชิงกำแพงที่เปลี่ยวร้างสงัดเงียบแห่งหนึ่ง ทว่าพวกเขาไปถึงช้าเกินไป หวังหนิงผินถูกแขวนคอตายเสียแล้ว

ลู่เหิงถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง

อย่างไรเสียก็เป็นถึงพระชายาจะทิ้งศพไว้ภายนอกย่อมไม่สมควร ลู่เหิงจึงสั่งให้คนจัดการกับศพของเฉาตวนเฟยและหวังหนิงผิน หวังหนิงผินยังง่าย แต่ร่างของเฉาตวนเฟยถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ คิดจะเก็บศพไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ องครักษ์เสื้อแพรรวบรวมแขนขาที่ถูกตัดออกมาอย่างยากลำบาก องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งที่สวมชุดนายกองวิ่งเข้ามากระซิบข้างหูลู่เหิงว่า “ใต้เท้า ฮองเฮาเสด็จไปวังอี้คุนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ลู่เหิงรุดไปวังอี้คุน ฟางฮองเฮาอยู่ข้างในแล้ว สองมือของนางกำผ้าเช็ดหน้า ยังคงสุขุมสง่างามถึงเพียงนั้นขณะพูด “ฝ่ายในเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เป็นเพราะหม่อมฉันปกครองไม่ดีเอง หม่อมฉันรู้สึกผิดยิ่งนัก มิกล้าขอให้ฝ่าบาททรงอภัย คิดเพียงอยากรีบทำคุณไถ่โทษ หม่อมฉันจึงสั่งให้ขันทีจับกุมนางกำนัลมาสอบสวน มีนางกำนัลเคยได้ยินหยางจินอิงวางแผนการลับ ที่แท้หวังหนิงผินไม่เป็นที่โปรดปรานมานาน ในใจบังเกิดความเคียดแค้นจึงบงการให้หยางจินอิงทำเรื่องบังอาจ เฉาตวนเฟยแม้มิได้มีส่วนร่วม แต่นางล่วงรู้แผนการลับของหยางจินอิงและจงใจจากไปเป็นเวลานานทำให้ฝ่าบาททรงได้รับเคราะห์ภัย”

ลู่เหิงยืนฟังอยู่หน้าประตู ฟังไปได้ครึ่งหนึ่งเขาก็หลุบตาลงและลอบส่ายหน้า คำให้การของฟางฮองเฮานี้เต็มไปด้วยช่องโหว่ หวังหนิงผินแค้นที่ตนไม่ได้รับความโปรดปราน เช่นนั้นก็ยิ่งไม่มีทางสังหารฮ่องเต้ ต่อให้หวังหนิงผินเป็นตัวการจริง นางแค้นที่ตนไม่เป็นที่โปรดปรานถึงขั้นจะลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ ไฉนจึงไปร่วมมือกับเฉาตวนเฟยที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดเล่า

ไม่ว่าจุดใดล้วนฟังไม่ขึ้น ฮองเฮาพูดจบ ฮ่องเต้เงียบงัน ไม่แสดงความเห็นใดเนิ่นนาน ลู่เหิงพูดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม “ฮองเฮาทรงห่วงใยฝ่าบาท เรื่องนี้ทุกคนล้วนมองเห็นได้ แต่ใจคนยากคาดเดา กระหม่อมเกรงว่าจะมีคนฉวยโอกาสจากความร้อนพระทัยอยากปกป้องฝ่าบาทของฮองเฮา หลอกลวงฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”

ฟางฮองเฮาเห็นลู่เหิงหักหน้านาง สีหน้าก็ฉายแววไม่พอใจ ตีหน้าบึ้งเอ่ย “นี่ใต้เท้าลู่กำลังสงสัยข้าหรือ”

“มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เหิงตอบ “กระหม่อมเพียงแต่ห่วงว่าฮองเฮาจะทรงถูกคนหลอกลวง โดยเฉพาะนางกำนัลคนนั้น ในเมื่อนางได้ยินว่าหยางจินอิงวางแผนลับล่วงเกินเบื้องสูง เหตุใดจึงไม่รายงานเล่า”

พูดจบลู่เหิงก็ไม่ปล่อยให้ฟางฮองเฮามีโอกาสได้โต้แย้ง หันไปหาฮ่องเต้ทันที “ฝ่าบาท ตอนนี้คนในวังต่างหวั่นวิตก ไม่อาจไม่ป้องกัน นางกำนัลเหล่านี้อาจกำลังโกหกก็ได้ กระหม่อมขออาสาเป็นผู้สืบคดีนี้เองพ่ะย่ะค่ะ”

หวังเหยียนชิงนั่งอยู่ในตำหนักข้าง ท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิทแล้ว หากเป็นยามปกติเวลานี้นางเข้านอนนานแล้ว หญิงสาวหยิบถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง อาศัยการดื่มน้ำทำให้ตนเองกระปรี้กระเปร่า นางจิบไปได้ไม่กี่อึก ประตูตำหนักก็ถูกเคาะ มีคนพูดขึ้นข้างนอก “ฮูหยิน ใต้เท้าลู่เชิญขอรับ”

ในที่สุดก็มาจนได้ หวังเหยียนชิงวางถ้วยชา ลอบตรวจดูเสื้อผ้า ใบหน้า กับผมของตนเองก่อนจะเดินออกจากตำหนัก จากตำหนักข้างไปยังตำหนักกลางระหว่างทางเต็มไปด้วยองครักษ์เสื้อแพร ผู้มาแจ้งข่าวส่งนางถึงหน้าประตู หยุดอยู่นอกธรณีประตูพลางพูด “ทูลฝ่าบาท ทูลฮองเฮา ลู่ฮูหยินมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ครู่หนึ่งผ่านไปม่านประตูก็ถูกเลิกขึ้น ลู่เหิงออกมาด้วยตนเองและพาหวังเหยียนชิงเข้าไปในตำหนัก สองคนนอกจากสบตากันตอนเลิกม่านประตูแวบหนึ่งแล้ว เวลาที่เหลือล้วนไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกันอีก หวังเหยียนชิงหลุบตาเดินตามหลังชายหนุ่ม พอเขาหยุด นางก็ยอบกายคารวะตาม “ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ”

ฮ่องเต้เจ็บคอจึงนั่งเอนกายอยู่บนเตียงไม่เอ่ยอะไร ขันทีข้างกายเป็นผู้พูดแทน “ลุกขึ้นได้”

หวังเหยียนชิงยืดตัวขึ้น หางตาเหลือบมองรอบด้านอย่างรวดเร็ว เบื้องหน้ามีผ้าม่านสีเหลืองทิ้งตัวลงมาจรดพื้น หน้าเตียงมีขันทีล้อมอยู่จำนวนมาก ฟางฮองเฮานั่งอยู่บนเก้าอี้พนักโค้งข้างเตียง สองมือประสานกันวางบนตัก ปลอกเล็บยาวทับซ้อนกันอยู่ดูสง่าผ่าเผย

เบื้องล่างของฟางฮองเฮามีนางกำนัลคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ นางก้มศีรษะ สองมือวางบนพื้น ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย

ระหว่างทางองครักษ์เสื้อแพรเล่าให้หวังเหยียนชิงฟังคร่าวๆ ว่านางกำนัลผู้หนึ่งสารภาพว่าเคยได้ยินหยางจินอิงวางแผนการลับ ฟางฮองเฮาจึงประหารชีวิตเฉาตวนเฟยและหวังหนิงผินตามการชี้ตัวของนางกำนัล ดังนั้นตอนนี้พวกหยางจินอิงที่อยู่ในเหตุการณ์ รวมถึงเฉาตวนเฟยและหวังหนิงผินทั้งคู่ล้วนตายหมดแล้ว ลู่เหิงคิดว่านางกำนัลผู้นี้อาจจะโกหก ดังนั้นจึงตัดสินใจสืบคดีนี้ใหม่

ฮ่องเต้เห็นด้วย ทุกคนจึงถูกพาตัวมายังเบื้องพระพักตร์กลายเป็นภาพเหตุการณ์ที่หวังเหยียนชิงเห็นอยู่ตอนนี้

หวังเหยียนชิงถอนสายตากลับมา จ้องมองพื้นเงียบๆ ฟางฮองเฮาเห็นหวังเหยียนชิงแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ พลางถาม “ใต้เท้าลู่ ตอนนี้วังหลวงเพิ่งเกิดเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ ท่านกลับพาคนนอกเข้ามาในวัง ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

“ภรรยาของกระหม่อมสามารถแยกแยะคำโกหกได้ เพื่อป้องกันมิให้นางกำนัลผู้นี้เล่นลูกไม้ กระหม่อมจึงบังอาจพาภรรยาเข้าวังและสอบสวนนางกำนัลผู้นี้อย่างเปิดเผย กระหม่อมตัดสินใจโดยพลการ ขอฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ส่ายหน้าเป็นการบอกให้ลู่เหิงจัดการต่อไป หากเป็นเมื่อก่อนฮ่องเต้ไหนเลยจะมีความอดทนฟังการสอบสวน ที่ผ่านมาฮ่องเต้ล้วนดูแต่ผลลัพธ์ แต่วันนี้เรื่องราวเกี่ยวพันกับชีวิตของตนเอง ฮ่องเต้จึงอยากจะสืบให้กระจ่างแจ้ง

ตอนนี้เรื่องสำคัญอย่างแท้จริงคือการสืบหาความจริงให้แน่ชัด มิใช่เรื่องที่ลู่เหิงพาคนเข้ามาในวังโดยพลการ ลู่เหิงช่วยชีวิตฮ่องเต้ไว้ถึงสองหน หากเขาคิดปองร้ายฮ่องเต้จริงคงลงมือไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงป่านนี้

ฟางฮองเฮาคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะไว้ใจลู่เหิงถึงเพียงนี้ นางโมโหจนพูดไม่ออกชั่วขณะ ทั้งที่ฟางฮองเฮาต่างหากที่รุดมาถึงสถานที่เกิดเหตุเป็นคนแรก แต่บัดนี้ดูแล้วเห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ยกความดีความชอบส่วนใหญ่ให้กับลู่เหิง

อย่างไรเสียตอนที่ฟางฮองเฮารุดมาถึง ฮ่องเต้ก็ถูกรัดคอจนสิ้นสติไปแล้ว มิได้เห็นฟางฮองเฮาแก้เชือกออกมา รอจนฮ่องเต้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เห็นก็คือลู่เหิงเฝ้าอยู่หน้าเตียงมังกร การอารักขา ทดสอบพิษ และถ่ายทอดคำสั่งล้วนอยู่ในการดูแลขององครักษ์เสื้อแพร ผู้ใดมีความจริงใจมากกว่า เรื่องนี้เห็นได้ชัดโดยไม่ต้องพูด

ฟางฮองเฮากัดฟันอย่างไม่ยินยอม ทว่าอีกฝ่ายเป็นรองผู้บัญชาการสูงสุดองครักษ์เสื้อแพร เป็นบุคคลที่ฮ่องเต้ไว้วางใจมากที่สุด ต่อให้เป็นฮองเฮาก็ไม่กล้าชนกับลู่เหิงตรงๆ ฟางฮองเฮาจึงได้แต่ข่มกลั้นอารมณ์ ปล่อยให้สตรีประหลาดพิลึกผู้นี้ทำการสอบสวน

หวังเหยียนชิงลอบเลิกคิ้ว ตระหนักถึงอำนาจบารมีของลู่เหิงอย่างแจ่มแจ้ง ลู่เหิงร้ายกาจถึงขั้นที่แม้แต่ฟางฮองเฮาก็ยังไม่กล้าล่วงเกินเขา รอให้จัดการกบฏครั้งนี้เสร็จสิ้นเกรงว่าเขาคงได้เลื่อนตำแหน่งอีกแล้ว

ฮ่องเต้อนุญาตอย่างเงียบๆ ฟางฮองเฮาจึงต้องสงบปากสงบคำ ลู่เหิงบีบมือหวังเหยียนชิง ส่งสัญญาณให้นางเริ่มได้ หวังเหยียนชิงรวบรวมสมาธิ หลุบตายอบกายลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงโปรดอภัยด้วย ยามที่หม่อมฉันสอบถามจำเป็นต้องสังเกตสีหน้า หากมีสิ่งใดล่วงเกินไป ขอทั้งสองพระองค์โปรดเข้าพระทัยด้วยเพคะ”

พูดจบนางก็เดินไปด้านข้าง ยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่สามารถมองเห็นสีหน้าของนางกำนัล ฟางฮองเฮา และขันทีได้ในเวลาเดียวกัน สีหน้าของฟางฮองเฮา จางจั่ว และขันทีคนอื่นๆ พลันแปลกไป หวังเหยียนชิงมิได้สนใจพวกเขา เพียงมองนางกำนัลบนพื้นแล้วถาม “เจ้าชื่ออะไร”

นางกำนัลเงยหน้าขึ้น ลอบมองแวบหนึ่ง คงจะคาดไม่ถึงว่าเหตุใดหวังเหยียนชิงจึงไม่สอบสวนตามขั้นตอนปกติ “สวีสี่เยวี่ย”

“ภูมิลำเนา”

“อำเภออันเหริน เมืองเหิงโจว”

“เดือนเกิดและปีเกิด”

ฟางฮองเฮาทนฟังต่อไปไม่ไหว มุ่นคิ้วเอ่ยแทรก “รีบถามเรื่องของเฉาตวนเฟยกับหวังหนิงผินเถอะ เจ้าจะถามเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออันใดกัน”

สวีสี่เยวี่ยหมอบอยู่กับพื้น แม้จะก้มศีรษะ มิได้เหลือบมองไปยังทิศทางของฟางฮองเฮาสักนิด แต่ตอนที่ฟางฮองเฮาเอ่ยปาก สวีสี่เยวี่ยกัดริมฝีปาก นิ้วมือก็เกร็งเข้าด้วยกันโดยไม่รู้ตัว หวังเหยียนชิงมองเห็นทุกอย่าง สวีสี่เยวี่ยกำลังประหม่า ยังมีความรู้สึกหวาดหวั่นเจือปนอยู่ด้วย

นี่แสดงให้เห็นว่าคำพูดของฟางฮองเฮาสร้างแรงกดดันให้นาง

หวังเหยียนชิงหาได้สนใจฟางฮองเฮาไม่ ยังคงมองสวีสี่เยวี่ยและพูดซ้ำคำเดิม “เดือนเกิดและปีเกิด”

ฟางฮองเฮามีสีหน้าบึ้งตึงเผยแววไม่พอใจเมื่อถูกคนล่วงเกินออกมา ลู่เหิงก้าวออกมาพูดอย่างถูกเวลา “ทูลฮองเฮา คำถามพวกนี้ดูเหมือนคำถามทั่วไปก็จริง แต่นี่คือการถามหาเบาะแสแล้ว ขอพระนางทรงโปรดอย่าขัดจังหวะพ่ะย่ะค่ะ”

ฟางฮองเฮานิ่งงันไปทันใด ใบหน้าฉายความตกใจระคนสงสัย สวีสี่เยวี่ยกลืนน้ำลายเงียบๆ นิ้วมือกำแน่นยิ่งขึ้น หวังเหยียนชิงไม่ถูกเรื่องรอบตัวรบกวนแม้แต่น้อย น้ำเสียงยังคงสงบราบเรียบดุจเดิม เอ่ยถามเป็นครั้งที่สาม “เดือนเกิดและปีเกิด”

สวีสี่เยวี่ยหลุบตาลง ดวงตาสั่นระริก ตอบอย่างระมัดระวัง “รัชศกเจิ้งเต๋อปีที่สิบหก”

รัชศกเจิ้งเต๋อปีที่สิบหก เช่นนั้นปีนี้นางก็อายุสิบห้าเท่านั้น หวังเหยียนชิงสอบถามต่อไปอย่างไม่มีอารมณ์ความรู้สึก “ชื่อของบิดา”

“สวีไท่”

หลังจากนั้นหวังเหยียนชิงก็ถามถึงมารดาและพี่น้องของนาง ไปจนกระทั่งผู้ใหญ่บ้าน คำตอบของสวีสี่เยวี่ยช้าลงทุกที แค่ชื่อของผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น นางก็ต้องหยุดคิดนานมาก หวังเหยียนชิงสังเกตเห็นว่าใบหน้าของสวีสี่เยวี่ยขาวซีด ขอบหน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดซึมรำไร หวังเหยียนชิงเห็นว่าพอสมควรแล้วจึงถามว่า “เจ้ากับหยางจินอิงมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร”

ในที่สุดก็ได้ยินชื่อของหยางจินอิง สวีสี่เยวี่ยถึงกับลอบระบายลมหายใจออกมา นางตอบ “พวกเราพักอยู่ห้องเดียวกัน”

“ในเมื่ออยู่ห้องเดียวกัน เหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าจึงไม่รู้เรื่องที่นางวางแผนลอบปลงพระชนม์”

“ฝ่าบาทและฮองเฮาโปรดทรงวินิจฉัยด้วยเพคะ” สวีสี่เยวี่ยรีบพูด “ห้องของพวกเรามีคนอยู่ทั้งหมดแปดคน หม่อมฉันกับนางไม่ได้สนิทกัน”

“เจ้าได้ยินพวกนางวางแผนการลับได้อย่างไร”

สวีสี่เยวี่ยหลุบตา น้ำเสียงสงบนิ่งไหลลื่น เล่าออกมาโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย “วันที่ยี่สิบสี่เดือนหนึ่ง ผู้น้อยกลับมาจากข้างนอก เห็นประตูและหน้าต่างห้องปิดสนิท ข้างในคลับคล้ายมีเสียงคนคุยกัน บ่าวเข้าไปใกล้ก็ได้ยินหยางจินอิงกำลังพูดอยู่ในห้องว่านายหญิงหวังและนายหญิงเฉาเร่งรัดสั่งให้พวกนางรีบลงมือ ตอนนั้นผู้น้อยไม่รู้ว่าพวกนางคุยอะไรกัน ผู้น้อยผลักประตูเข้าไป เห็นในห้องมีหยางจินอิง จางจินเหลียน และนางกำนัลคนอื่นๆ อีกสิบกว่าคน สีหน้าทุกคนเคร่งเครียด พวกนางเห็นผู้น้อยกลับมาก็เตือนผู้น้อยว่าอย่าพูดจาส่งเดช จากนั้นก็แยกย้ายไป”

หวังเหยียนชิงผงกศีรษะ ถามต่อ “เจ้าได้ยินพวกนางคุยกันเวลาใด”

สวีสี่เยวี่ยไม่เปลืองเวลาขบคิดแม้แต่น้อย ตอบโดยตาไม่กะพริบ “วันที่ยี่สิบสี่เดือนหนึ่งยามโหย่วเจ้าค่ะ”

“คำพูดดั้งเดิมของหยางจินอิงคืออะไร”

“คำพูดดั้งเดิมของหยางจินอิงคือฝ่าบาทไม่เสด็จไปวังของหวังหนิงผินนานแล้ว หวังหนิงผินเกิดความเคียดแค้น เฉาตวนเฟยรับปากหวังหนิงผินแล้วว่าวันนั้นจะพานางกำนัลขันทีออกไปให้หมด หวังหนิงผินเห็นว่าเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพแล้วจึงเร่งให้หยางจินอิงลงมือโดยเร็ว”

หวังเหยียนชิงจ้องสวีสี่เยวี่ยด้วยสีหน้าปกติ เอ่ยถาม “คนอื่นๆ ว่าอย่างไร”

“คนอื่นๆ บอกว่าตกลง จะไม่ทำให้หวังหนิงผินกับเฉาตวนเฟยผิดหวังแน่นอน”

ฟางฮองเฮาฟังถึงตรงนี้ก็หันไปพูดกับฮ่องเต้ “ฝ่าบาท หญิงผู้นี้ตอบคำถามได้อย่างไหลลื่น ไม่มีชะงักหรือติดขัด คำให้การก็ไม่มีส่วนใดที่ขัดแย้งกัน ตามความเห็นของหม่อมฉัน คนร้ายครั้งนี้หวังหนิงผินก็คือตัวการ เฉาตวนเฟยรู้เรื่องแต่กลับให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ”

ผู้คนในตำหนักหันไปมองลู่เหิงเงียบๆ หลักฐานหนักแน่นดุจขุนเขา คำให้การละเอียดครบถ้วน ดูแล้วฟางฮองเฮาเป็นฝ่ายถูก ใต้เท้าลู่ได้ชื่อว่าไม่มีคดีใดที่คลี่คลายไม่ได้ เห็นทีครั้งนี้คงดูผิดไปเสียแล้ว

ลู่เหิงยืนอยู่ด้านข้างไม่เอ่ยอะไร สีหน้าสุขุมเยือกเย็นทีเดียว ไม่คิดจะชี้แจงแก้ตัวใดๆ ให้กับตนเอง ฟางฮองเฮาเชิดหน้าอย่างโล่งอก นางกำลังจะตีเหล็กตอนร้อน* ชิงเอาสิทธิ์ในการเลี้ยงดูองค์หญิงใหญ่มาไว้กับตัว หวังเหยียนชิงกลับเอ่ยปากกะทันหัน “หม่อมฉันกลับมีความเห็นต่างไปจากฮองเฮา หม่อมฉันคิดว่านางกำนัลผู้นี้กำลังโกหก”

วาจานี้ทำให้คนตกใจตายได้จริงๆ ทุกคนในตำหนักต่างสูดหายใจเข้าเบาๆ จางจั่วเหลือบมองสีหน้าของฟางฮองเฮาแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ตีหน้าขรึมเอ่ย “ลู่ฮูหยิน วาจานี้มิอาจกล่าวส่งเดชได้”

ฟางฮองเฮาสีหน้าถมึงทึง หวังเหยียนชิงกลับไม่ร้อนใจและไม่ขุ่นเคือง ถามกลับอย่างมีมารยาท “ไม่ทราบว่าควรเรียกขานกงกงว่าอย่างไรหรือ”

จางจั่วงุนงงกับคำพูดของหวังเหยียนชิง เขาเห็นฮ่องเต้ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ ด้วยเห็นแก่หน้าของลู่เหิงจึงตอบว่า “ข้าแซ่จาง”

“วันนี้จางกงกงกินอาหารเย็นหรือยัง”

จางจั่วงงงวยกว่าเดิม ตอบอย่างลังเล “กินแล้ว”

“ยามใด”

“ยามเซิน”

“กินอะไรไปหรือ”

สายตาของจางจั่วกวาดมองไปที่หวังเหยียนชิงกับลู่เหิงไม่หยุด ไม่แน่ใจว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ หวังเหยียนชิงยิ้มให้จางจั่วพลางพูด “จางกงกง ท่านดูเถิด ท่านจะไม่ตอบว่า ‘วันที่ยี่สิบแปดเดือนหนึ่งยามเซินข้ากินอาหารเย็นแล้ว’ แต่ตอนที่ข้าซักถามสวีสี่เยวี่ย นางจะทวนคำถามของข้าตลอดเวลา หากคนเราตอบโดยอาศัยความทรงจำที่แท้จริง ความสนใจจะมุ่งไปที่การทบทวนความทรงจำ หัวสมองจะยอมรับและละเรื่องราวที่สองฝ่ายต่างรู้ดีอยู่แล้วไปโดยปริยาย มีเพียงคนโกหกเท่านั้นที่ในหัวไม่มีรายละเอียดของความทรงจำ จิตใต้สำนึกจึงต้องพูดทวนคำสำคัญที่ได้ยินออกมาอีกครั้งอย่างแข็งทื่อ จุดประสงค์เพื่อเพิ่มเวลาในการตอบสนองให้ตนเอง”

พูดจบหวังเหยียนชิงก็หันไปหาฮ่องเต้ ยอบกายคำนับอย่างคล่องแคล่ว “ฝ่าบาท การสอบปากคำของหม่อมฉันเสร็จสิ้นแล้ว สวีสี่เยวี่ยโกหก นางไม่ได้ยินบทสนทนาของหยางจินอิงแต่อย่างใด การวางแผนลับที่นางว่าเป็นเพียงการท่องจำมาอีกทีหนึ่งเท่านั้นเพคะ”

ริมฝีปากของลู่เหิงมีรอยยิ้มฉายวาบขึ้นเล็กน้อย เขาสะกดมันไว้ทันที ตีหน้าขรึมประสานมือเอ่ยกับฮ่องเต้เช่นกัน “ฝ่าบาท ในเมื่อสตรีผู้นี้ไม่ได้ยินหยางจินอิงพูด เช่นนั้นเกรงว่าหวังหนิงผินกับเฉาตวนเฟยอาจมิใช่ตัวการของกบฏในครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ”

 

* ตีเหล็กตอนร้อน อุปมาถึงการกระทำบางสิ่งในช่วงเวลาหรือภายใต้เงื่อนไขที่ได้เปรียบ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: