บทที่ 59
หวังเหยียนชิงคลับคล้ายได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว นางหันกลับไปก็เห็นขบวนผู้คนและอาชามุ่งหน้ามาตามริมฝั่งแม่น้ำ เป็นคณะของลู่เหิงที่เข้าไปตรวจดูสภาพพื้นที่ในป่าเขาก่อนหน้านี้ หญิงสาวรีบวางก้อนหินในมือ พูดกับหลี่เจิ้งเจ๋อ “คนที่ข้ารอกลับมาแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อน เจ้ารีบกลับไปเถอะ”
หลี่เจิ้งเจ๋อเห็นคนกลุ่มใหญ่จึงเก็บก้อนหินด้วยความหวาดกลัวและวิ่งปรู๊ดจากไป หวังเหยียนชิงลุกขึ้น สังเกตเห็นโดยบังเอิญว่าชายกระโปรงเปื้อนดิน นางรู้สึกประดักประเดิด รีบปัดดินออกเงียบๆ
เคราะห์ดีที่คนส่วนใหญ่มิได้สนใจนาง คนของทางการห้อมล้อมเจ้าเมืองและนายอำเภอเดินผ่านเงาต้นหลิวไป ตรงเข้าไปในหมู่บ้าน มีเพียงลู่เหิงที่ออกจากขบวนเดินตรงมาหานาง
ลู่เหิงจูงม้า เดินย่ำแสงอาทิตย์เจิดจ้าในฤดูคิมหันต์มาหยุดใต้กิ่งหลิว เขากวาดตามองหวังเหยียนชิงพลางยิ้มถาม “เจ้าทำอะไรอยู่”
กระโปรงของหวังเหยียนชิงยับยุ่งเล็กน้อย เนื่องจากนั่งอยู่ข้างนอกนาน จอนผมจึงมีเหงื่อ ผิวขาวปานหิมะซับสีแดงเรื่อ หวังเหยียนชิงยกมือขึ้นรวบปอยผมตรงข้างแก้ม ตอบเขา “ไม่มีอะไร”
มือของนางกำลังจะแตะแก้ม แต่กลับถูกลู่เหิงคว้าไว้ ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา บรรจงเช็ดคราบดินบนนิ้วมือนาง “มองข้ามแม่น้ำมาก็เห็นเจ้านั่งเล่นดินอยู่ตรงนี้ ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”
“มิใช่เล่นดินเสียหน่อย” หวังเหยียนชิงแย้งอย่างขึงขัง “ข้ากำลังถ่ายทอดวิธีการอาศัยสิ่งเล็กคาดการณ์สิ่งใหญ่ และวิธีจัดแถวตั้งค่ายต่างหาก”
ลู่เหิงฟังแล้วกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ชิงชิงมีความสามารถเช่นนี้ด้วยหรือ วิธีการล้ำเลิศเช่นนี้ เหตุใดไม่สอนข้า กลับเอาไปถ่ายทอดให้คนนอกก่อน”
หวังเหยียนชิงอุทานเบาๆ “ท่านอย่าหัดดีดก้อนหินเลยดีกว่า ผู้อื่นมาเห็นเข้าจะกระทบต่อภาพลักษณ์ขุนนางที่น่าเกรงขามเอาได้”
ลู่เหิงหัวเราะออกมาในที่สุด แสงแดดเจิดจ้าในเดือนเจ็ดทำให้คนตาลาย เขาหัวเราะเบาๆ เรือนร่างสูงโปร่งเหยียดตรง ในดวงตามีธารดาราระยับวับวาว ร่างกายยังเจือกลิ่นเขียวชอุ่มชุ่มชื้นของป่าเขา
ตอนที่พวกเขายังไม่กลับมา หวังเหยียนชิงรู้สึกว่าหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงชันและแขวนธงไว้ทุกข์เกือบทุกครัวเรือนแห่งนี้เงียบสงัดจนน่ากลัว แต่พอพวกเขากลับมา หวังเหยียนชิงกลับรู้สึกว่าที่นี่เขาครามน้ำเขียว ทุ่งหญ้าเขียวขจี เปี่ยมด้วยความเป็นธรรมชาติและพลังชีวิต
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเขา
หวังเหยียนชิงมองชุดขุนนางสีน้ำเงินเข้มของเขา เฟยอวี๋บนนั้นถลึงตาปานระฆังทองแดง กางเล็บแยกเขี้ยวจ้องมองนาง หวังเหยียนชิงพูด “พี่รอง อากาศร้อนถึงเพียงนี้ ไฉนท่านยังสวมใส่เสื้อผ้าสีเข้มอยู่อีก”
ลู่เหิงเช็ดเศษดินตรงปลายนิ้วนางอย่างละเอียดลออพลางตอบ “หากสวมสีแดงหรือสีม่วงไปเดินในป่าก็ออกจะโง่เขลาเกินไปหน่อย”
เวลาลู่เหิงประชุมขุนนางหรือตามเสด็จจะสวมชุดสีแดง แต่เวลาปฏิบัติภารกิจข้างนอกส่วนใหญ่จะสวมชุดลำลอง ในบางโอกาสน้อยครั้งที่สามารถเปิดเผยฐานะได้เขาจะสวมชุดขุนนางสีน้ำเงินหรือสีดำ เสื้อผ้าขององครักษ์เสื้อแพรเด่นสะดุดตาเกินไป เว้นแต่จำเป็น…หาไม่แล้วเขาก็ไม่อยากเปิดเผยฐานะ
อย่างน้อยเรื่องโง่เขลาอย่างการสวมเสื้อผ้าสีแดงในป่า เขาก็ไม่คิดที่จะทำ
อาชาของลู่เหิงถูกฝึกเลี้ยงดูมาอย่างมีระเบียบ ต่อให้ไม่ได้ผูกเชือกไว้ก็ไม่วิ่งเพ่นพ่าน เพียงกินหญ้าอยู่ใต้ต้นไม้เงียบๆ พอลู่เหิงผิวปาก มันก็เดินเข้ามาหาเอง ลู่เหิงเก็บผ้าให้เรียบร้อย กุมมือหวังเหยียนชิง มืออีกข้างจูงเชือกบังเหียนเดินไปยังหมู่บ้าน ตอนเดินผ่านต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาเหลือบมองไปข้างหลัง
หลังต้นไม้เด็กชายคนหนึ่งหดศีรษะกลับไปอย่างว่องไวเผยให้เห็นเพียงนัยน์ตาดำขลับคู่หนึ่ง มองดูพวกเขาอย่างสนใจใคร่รู้ระคนหวาดหวั่น
ลู่เหิงจำได้ว่านี่คือเด็กน้อยที่พูดคุยกับหวังเหยียนชิงเมื่อครู่นี้ เขาถาม “นี่ใครกัน”
“หลานชายของผู้ใหญ่บ้าน ชื่อหลี่เจิ้งเจ๋อ”
“ ‘เจิ้งเจ๋อ’ คือความเถรตรงมีระเบียบ เป็นชื่อที่ดี”
สองคนพูดคุยเพียงผิวเผินเท่านั้น ที่นี่ไม่เหมาะจะสนทนาจึงไม่ได้คุยอะไรลึกซึ้งกว่านี้ กว่าพวกเขาจะกลับถึงหมู่บ้านก็เป็นยามเว่ยแล้ว ทุกคนดื่มน้ำกินอาหาร พักผ่อนเล็กน้อย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังตัวอำเภอ
คนตั้งมากมายถึงเพียงนี้พักอยู่ในหมู่บ้านเหอกู่ไม่สะดวก ลู่เหิงตรวจดูสภาพพื้นที่โดยรอบแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ในหมู่บ้านอีกต่อไป มิสู้ไปที่ว่าการอำเภอที่สะดวกกว่า สำหรับเรื่องที่อยู่และอาหารการกิน ลู่เหิงไม่เคยปล่อยให้ตนเองลำบาก
หัวค่ำวันเดียวกัน ลู่เหิงและคณะของเจ้าเมืองเฉิงก็เดินทางมาถึงอำเภอฉีและเข้าพักในที่ว่าการอำเภอ นายอำเภอเถาอีหมิงเชื้อเชิญใต้เท้าเจ้าเมืองและผู้บัญชาการไปกินอาหารในหอสุราที่ดีที่สุดในเมือง ขณะเดียวกันก็สั่งให้คนรีบกลับไปยังที่ว่าการจัดเตรียมห้องหับ
คาดว่าที่ว่าการอำเภอฉีคงจะไม่เคยครึกครื้นเช่นนี้มาก่อน ต้องต้อนรับใต้เท้าถึงสองท่านในคราวเดียวกัน อีกทั้งใต้เท้าแต่ละท่านยังพาผู้ติดตามมาด้วยมากมาย การจัดห้องพัก เตรียมกำลังคน ตัดหญ้ามาเลี้ยงม้า ล้วนเป็นงานที่มีความยุ่งยาก ระหว่างนั้นนายอำเภอเถาอีหมิงเสนอจะยกเรือนหลักซึ่งก็คือที่พักของตัวเขาเองให้ลู่เหิง แต่ถูกลู่เหิงปฏิเสธ
ในด้านนี้ลู่เหิงมีนิสัยรักสะอาด เขาไม่ชอบแตะต้องข้าวของของผู้อื่น และไม่ชอบให้ผู้อื่นมาแตะต้องข้าวของของเขา เขายินดีไปอยู่ในห้องว่างที่เล็กแต่สะอาดยังดีเสียกว่า
หอสุรารู้ว่าคนใหญ่คนโตจะมาเยือนจึงจัดเตรียมสถานที่ไว้ล่วงหน้าแล้ว ลู่เหิง เจ้าเมืองเฉิง เถาอีหมิง และขุนนางในเมืองคนอื่นๆ กินอาหารบนชั้นสอง หวังเหยียนชิงนั่งกินอาหารในห้องพิเศษตามลำพัง พูดตามตรงหวังเหยียนชิงพอใจกับการจัดการเช่นนี้มาก นางไม่ต้องคอยคาดเดาสีหน้าผู้อื่น ทั้งไม่ต้องห่วงเรื่องหน้าตา สามารถกินอาหารมื้อนี้อย่างอิสระได้
การสังสรรค์ของเหล่าขุนนางส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ กินอาหารสามส่วน ดื่มสุราเจ็ดส่วน เดิมทีหวังเหยียนชิงคิดว่าพวกเขาคงจะใช้เวลานานมาก คิดไม่ถึงว่านางรอเพียงไม่นานพวกเขาก็กินอาหารเสร็จแล้ว
เสี่ยวเอ้อร์ของหอสุราเข้ามาเชิญหวังเหยียนชิงลงไปข้างล่างอย่างพินอบพิเทา หวังเหยียนชิงออกจากประตูและขึ้นเกี้ยว ไม่นานคนหามเกี้ยวก็ยกเกี้ยวขึ้นมา เดินกลับไปยังที่ว่าการอำเภอ
หวังเหยียนชิงเป็นสตรี มิได้ลงจากเกี้ยวบริเวณเดียวกับที่เหล่าบุรุษลงจากม้า ต้องพ้นกำแพงเรือนไปแล้วจึงจะลงมาได้ พอนางออกมาก็มีบ่าวรับใช้หญิงก้าวเข้ามาทันที เดินนำนางไปยังสถานที่พักผ่อนในค่ำคืนนี้
ที่ว่าการอำเภอเล็กๆ ยามนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่บริเวณที่หวังเหยียนชิงมุ่งหน้าไปยังคงเงียบสงบ เรือนหลังนี้เพิ่งจัดเก็บทำความสะอาด สถานที่ไม่กว้างขวาง แต่สงบเงียบทีเดียว ด้านหน้าเป็นห้องสามห้อง สองข้างเป็นกำแพง เชื่อมต่อกับเรือนหลังอื่นๆ ด้วยประตูไม้อูมู่ ในลานเรือนปลูกไผ่ไว้หลายกอ คล้ายช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนกระดานหมาก
ในลานเรือนใช้ก้อนหินปูทางเป็นรูปอักษรสิบบนนั้นยังหลงเหลือคราบน้ำจากการทำความสะอาด บ่าวรับใช้หญิงเดินนำหวังเหยียนชิงมาถึงหน้าประตูและผลักประตูให้ “แม่นาง เดิมทีที่นี่เป็นสถานที่เก็บเอกสารตำรา นายอำเภอรู้ว่าใต้เท้าลู่ชอบความสงบจึงสั่งให้พวกเราเก็บกวาดที่นี่ทันที น้ำร้อนน้ำชาต้มไว้เรียบร้อยแล้ว แม่นางลองดูว่ายังขาดเหลือสิ่งใดอีกหรือไม่”
หวังเหยียนชิงยกชายกระโปรงก้าวข้ามธรณีประตู ได้ยินดังนั้นก็ตอบว่า “ไม่มีแล้วล่ะ รบกวนแล้ว”
บ่าวรับใช้หญิงเช็ดมือกับชายกระโปรงพลางพูด “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ทางห้องครัวยังมีงานอยู่ บ่าวต้องไปช่วยก่อน หากท่านต้องการสิ่งใดก็เรียกหาได้ บ่าวขอตัวเจ้าค่ะ”
หวังเหยียนชิงเอ่ยขอบคุณตามจิตใต้สำนึก หลังจากบ่าวรับใช้หญิงจากไป หวังเหยียนชิงเดินอยู่ในห้องช้าๆ เรือนขนาดสามห้องไม่ใหญ่ เทียบกับจวนสกุลลู่ไม่ได้โดยสิ้นเชิง ห้องทิศตะวันตกมีหีบใส่ของและม้วนเอกสารมากมายแทบจะไม่เหลือที่ให้ยืน ห้องโถงตกแต่งอย่างเคร่งขรึมเป็นระเบียบ วางอักษรภาพวาดและเก้าอี้ ห้องทิศตะวันออกจัดเป็นห้องนอนให้ลู่เหิง วางเตียงและเครื่องนอนไว้
ทุกอย่างนี้ดูปกติธรรมดาในสายตาของหวังเหยียนชิง แต่สำหรับที่ว่าการอำเภอสามารถจัดเตรียมสถานที่เช่นนี้ออกมาได้นับว่าไม่ง่ายดายแล้ว เนื่องจากเป็นที่พักชั่วคราว หวังเหยียนชิงจึงไม่ได้คาดหวังมากนัก นางเดินดูรอบหนึ่ง จู่ๆ ก็ตระหนักว่าไฉนจึงมีเตียงแค่หลังเดียว
ลู่เหิงเข้ามา พบว่าหวังเหยียนชิงเดินค้นหาบางอย่างไปทั่วเรือน จึงถาม “หาอะไรอยู่หรือ”
ความรู้สึกในใจหญิงสาวยากจะบรรยาย นางมุ่นคิ้วตอบ “เหตุใดพวกเขาจึงเตรียมห้องไว้เพียงห้องเดียว”
ใช่แค่ห้องเดียวที่ใดเล่า ยังมีเตียงแค่หลังเดียวด้วย
ลู่เหิงรับคำอย่างสุขุม ยกชายเสื้อแล้วนั่งลง อธิบายให้นางฟัง “วันนี้เจ้าจะชิงพูดให้ได้ว่าเป็นสาวใช้ของข้า สาวใช้พักอยู่ห้องเดียวกับข้า มิใช่เรื่องปกติธรรมดาหรือ”
หวังเหยียนชิงนิ่งงัน พูดไม่ออกชั่วขณะ ลู่เหิงรินน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ ปรายตามองนางอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เขาพูดยิ้มๆ “อย่างไรกัน จะให้พวกเขาจัดห้องใหม่หรือไร”
ลู่เหิงแค่เอ่ยปากคำเดียวเท่านั้นก็สั่งให้นายอำเภอจัดห้องใหม่อีกห้องได้แล้ว แต่หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับพวกเขาเปลี่ยนคำพูดของตนเอง กลับคำไปมาเกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นสงสัยได้ หวังเหยียนชิงกัดฟันตอบว่า “ช่างเถอะ แต่ก่อนใช่ว่าจะไม่เคย อย่ายุ่งยากเลย”
เดิมทีลู่เหิงดื่มชาอย่างสบายอารมณ์ ครั้นได้ยินคำพูดนี้แล้ว เขาก็กระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะเสียงดัง ไม่มีอารมณ์อยากจิบชาต่อแม้แต่น้อย หวังเหยียนชิงเพิ่งจะวางห่อสัมภาระของตนเองพลันได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลัง นางหันกลับไปมองอย่างประหลาดใจ “พี่รอง มีอะไรหรือ”
ลู่เหิงนั่งตัวตรง กระตุกมุมปากอย่างเย็นชายิ่ง ตอบว่า “ไม่มีอะไร”
เขาบอกไม่มีอะไร แต่น้ำเสียงนี้ฟังอย่างไรก็ไม่เหมือนไม่มีอะไร หวังเหยียนชิงมองเขาด้วยความฉงน เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย ไฉนเขาจึงโมโหขึ้นมากะทันหันได้
หวังเหยียนชิงวางของไว้ด้านข้างชั่วคราว นั่งลงข้างโต๊ะ นัยน์ตากระจ่างใสมองเขาอย่างเป็นห่วง “พี่รอง ท่านนึกอะไรขึ้นมาได้หรือ”
ลู่เหิงก็อยากรู้เหมือนกันว่าเหตุใดเขาต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย เขาพ่นลมหายใจ ลอบกัดฟันขณะพูด “ไม่มีอะไร แค่คิดถึงคนเคราะห์ร้ายคนหนึ่งเท่านั้น”
ฟังจากน้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะเป็นคนในกลุ่มขุนนาง หวังเหยียนชิงรับคำมาคำหนึ่งและไม่ถามต่อ นางเช็ดคราบน้ำบนโต๊ะ รินน้ำชาให้เขาใหม่ จากนั้นก็เอ่ยว่า “พี่รอง เรื่องขุ่นใจก็อย่าไปคิดถึงอีกเลย ปัจจุบันต่างหากที่สำคัญที่สุด”
ลู่เหิงหรี่ตา ยิ้มอย่างคลุมเครือ “เจ้าพูดถูก เป็นข้าที่คิดมากเกินไป”
“พี่รอง วันนี้ท่านพบอะไรที่แม่น้ำบ้างหรือไม่”
ทั้งที่ตอนแรกเป็นเขาเองที่ให้นางเรียกเขาว่า ‘พี่รอง’ แต่ตอนนี้ลู่เหิงได้ยินคำว่า ‘พี่รอง’ ติดๆ กันเช่นนี้แล้วกลับรู้สึกหงุดหงิดเกินบรรยาย เขาพูด “ตอนนี้ไม่มีผู้อื่น เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่า ‘พี่รอง’ ตลอดเวลาก็ได้กระมัง”
หวังเหยียนชิงหันมามองเขา แม้ไม่พูดอะไร แต่ดวงตากระจ่างใสสะท้อนความหมายออกมาอย่างชัดเจน “ท่านพูดอะไรของท่าน”
ลู่เหิงยกคิ้วขึ้น แม้แต่ตนเองยังรู้สึกว่าคำพูดนี้ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ฟังไม่ขึ้นแม้แต่น้อย ชายหนุ่มพยายามแล้ว แต่ในชั่วเวลาสั้นๆ มิอาจคิดหาคำพูดที่ฟังขึ้นได้จึงล้มเลิกความพยายาม “ช่างเถอะ ไว้วันหลังค่อยพูดเรื่องนี้แล้วกัน พวกเขาคงคิดว่าคนที่มาจากนครหลวงล้วนเป็นเศษสวะ พาข้าไปดูหลายจุดที่เกิดน้ำป่าบ่อยครั้ง”
“จากนั้นเล่า”
“เหลวไหลสิ้นดี” ลู่เหิงว่า “การฟังคนโง่โกหกเป็นความทรมานอย่างหนึ่ง ข้าพอรู้สภาพภูมิประเทศโดยรอบคร่าวๆ แล้ว ดังนั้นจึงรีบกลับมา”
หวังเหยียนชิงพยักหน้า ดวงตาฉายแววครุ่นคิด ลู่เหิงจิบน้ำชาอึกหนึ่ง เอ่ยถามอย่างใจเย็น “เจ้าล่ะ นักแสดงเจ้าบทบาท”
เดิมทีหวังเหยียนชิงกำลังใช้ความคิดอย่างเคร่งขรึม ได้ยินคำพูดนี้แล้วสีหน้าประดักประเดิด “ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน ข้าจึงได้แต่ใช้อุบายนี้…”
“เจ้าไม่ต้องอธิบายให้ข้าฟังหรอก” ลู่เหิงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องขออภัยในสิ่งที่เจ้าอยากทำ แม้จะกับข้าก็ตามที วิธีของเจ้าดีมาก ข้ายังเกือบถูกเจ้าหลอกด้วยซ้ำ เพียงแต่…”
ดวงตาของหวังเหยียนชิงฉายแววประหม่า คิดว่าตนเองเผยพิรุธอะไร ลู่เหิงจิบน้ำชาช้าๆ อีกครั้ง ดึงความสนใจจากนางได้มากพอแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เพียงแต่ฝีมือการแสดงละครแย่เกินไป”
หวังเหยียนชิงถาม “ข้าดูแสดงละครเยอะเกินไปหรือ”
ลู่เหิงพยักหน้า “ที่แท้เจ้าก็รู้ตัวนี่”
หวังเหยียนชิงจนใจเล็กน้อย แต่นางพยายามอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ นางถอนหายใจ ขอคำชี้แนะอย่างนอบน้อม “พี่รอง เช่นนั้นควรต้องแสดงท่าทางอย่างไร”
ลู่เหิงอ้าปากกำลังจะชี้แนะ พอคำพูดมาถึงริมฝีปากกลับนึกขึ้นได้ ยิ้มเอ่ย “ข้าไม่เคยศึกษาเรื่องพวกนี้เสียหน่อย ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
หวังเหยียนชิงเพิ่มพูนฝีมือของตนไม่สำเร็จก็ตัดใจอย่างไม่ยี่หระ “ช่างเถอะ อย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย พี่รอง ข้าคิดว่าท่านต้องดูของสิ่งนี้”
หวังเหยียนชิงหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากถุงผ้าใบเล็ก ลู่เหิงรับไป มองซ้ายมองขวาพลางยิ้มถาม “ได้มาอย่างไร”
พูดถึงเรื่องนี้หวังเหยียนชิงก็พลันกระตือรือร้น เล่าอย่างต่อเนื่อง “ตอนพวกท่านตรวจดูบ้านของหลิวต้าเหนียง ข้าสังเกตเห็นว่าสีหน้าของผู้ใหญ่บ้านไม่ปกติ เขาซับเหงื่อบ่อยครั้ง ถูมือโดยไม่รู้ตัว ท่าทางร้อนรนกระวนกระวาย ข้าเดาว่าผู้ใหญ่บ้านน่าจะรู้อะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงหาทางแฝงตัวเข้าไปในบ้านพวกเขา หลังจากเข้าไปในบ้าน ข้าพบว่าแม่สามีกับลูกสะใภ้บ้านนี้ดูเหมือนจะไม่ลงรอยกัน ข้าฉวยโอกาสตอนแม่สามีออกไปข้างนอก แอบยุแยงลูกสะใภ้…”
หวังเหยียนชิงหยุดชะงัก ลู่เหิงกลั้นยิ้ม ดวงตาจ้องนางอย่างจดจ่อ พยักหน้านิดๆ “ข้าเข้าใจ หนึ่งค่ายทหารมิอาจมีสองแม่ทัพ สมัยที่ข้ากับพี่ชายอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันยังไม่ปรองดอง นับประสาอะไรกับแม่สามีลูกสะใภ้เล่า เจ้าเล่าต่อเถอะ”
หวังเหยียนชิงประหลาดใจอยู่บ้าง นางมักคิดว่าเขาเป็นคนที่ต้องการให้ภรรยากตัญญูต่อพ่อแม่สามีและคอยดูแลน้องชายน้องสาว ไม่คิดว่าลู่เหิงกลับเปิดกว้างในเรื่องนี้อย่างไม่น่าเชื่อ ทว่าเหตุใดนางจึงคิดเช่นนี้เล่า เหตุใดนางจึงเข้าใจพี่รองผิดไปได้มากปานนี้
หวังเหยียนชิงทางหนึ่งรู้สึกว่าตนเองเหลวไหล ทางหนึ่งอธิบายต่อ “ระหว่างการสนทนากับอู๋ซื่อลูกสะใภ้ของผู้ใหญ่บ้าน ข้าทราบมาว่าผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาได้ลาภจำนวนไม่น้อยมาก้อนหนึ่ง แต่พวกเขาปิดบังลูกสะใภ้ ตอนที่แอบบอกหลานชายเผอิญอู๋ซื่อมาได้ยินเข้า อู๋ซื่อคิดว่าพวกเขายักยอกเงินค่าทำศพที่ราชสำนักมอบให้ครอบครัวของผู้ตาย ข้าหาโอกาสกันอู๋ซื่อออกไปและค้นหาในเรือนพวกเขาคร่าวๆ น่าเสียดายที่ไม่พบอะไร”
ลู่เหิงเลิกคิ้ว เอ่ยชมจากใจจริง “ชิงชิง วันนี้ทั้งวันเจ้าทำอะไรได้ไม่น้อยจริงๆ หากองครักษ์เสื้อแพรมีความสามารถได้สักครึ่งของเจ้า ต้าหมิงก็คงไร้เทียมทาน”
หวังเหยียนชิงส่ายหน้า เรื่องนี้นางรู้ตนเองดี “นี่เป็นเพราะข้าอาศัยฐานะของสตรี เจตนาวางแผนกับคนที่ไร้อุบายอย่างพวกนาง หากเปลี่ยนเป็นบุรุษคนหนึ่งอยู่ในบ้าน เฉียนซื่อกับอู๋ซื่อไม่มีทางออกไปจากบ้านแน่ องครักษ์เสื้อแพรภายใต้การปกครองของพี่รองต่างคนต่างมีจุดแข็งของตนเอง พวกเราไม่ว่าใครก็ทดแทนใครคนหนึ่งไม่ได้ ได้แต่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเท่านั้น”
แม้แต่ตัวลู่เหิงเองยังไม่ตระหนักว่าดวงตาเขาฉายแววรักใคร่สงสารอย่างอธิบายไม่ถูก เหตุผลที่หวังเหยียนชิงพูดมาไม่ผิด การทำคดีมิใช่เรื่องของคนเพียงคนเดียว การสืบหาหลักฐาน จับกุม สอบสวน เขียนสำนวน ความจริงที่เปิดเผยออกมาในแต่ละครั้งล้วนประกอบด้วยความดีความชอบของหลายๆ คน หากผู้ใต้บังคับบัญชาเขาทะนงตนเพราะคิดว่ามีผลงาน หลงลำพองว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น เขาจะโบยตีอีกฝ่ายอย่างรุนแรงแน่นอน แต่สำหรับหวังเหยียนชิง เขากลับอยากให้นางเอาแต่ใจกว่านี้อีกนิด เห็นแก่ตัวกว่านี้อีกหน่อย
ลู่เหิงลูบผมนาง “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว ในด้านการซักถามไม่มีผู้ใดทดแทนเจ้าได้จริงๆ”
จู่ๆ ลู่เหิงก็ชมนาง ทำให้หวังเหยียนชิงรู้สึกกระอักกระอ่วน นางก้มหน้าอย่างเขินอาย ใบหน้ากลับระบายยิ้ม “พี่รองไม่รังเกียจข้าก็ดีแล้ว ตอนบ่ายเฉียนซื่อกับอู๋ซื่อต่างหลับไป หลานชายผู้ใหญ่บ้านหลี่เจิ้งเจ๋อเล่นอยู่ใต้ชายคาคนเดียว ว่าไปแล้วก็เป็นข้าที่เอาเปรียบเด็ก ข้าใช้อุบายเล็กน้อย เด็กคนนั้นก็เลื่อมใสข้ายิ่งนัก จะกราบข้าเป็นอาจารย์ ข้าเสนอให้เขาเอาของที่มีค่ามากที่สุดมาแลกเปลี่ยน ข้าคิดว่าเขาจะไปหาทรัพย์สมบัติที่ย่าเขาซุกซ่อนไว้ออกมา เพราะอู๋ซื่อบอกว่าเฉียนซื่อแอบบอกที่ซ่อนกับหลี่เจิ้งเจ๋อแล้ว…”
ลู่เหิงพบว่าเวลาอยู่กับหวังเหยียนชิงเขายิ้มง่ายมาก เขากุมหมัดบังริมฝีปากไว้ กระแอมกระไออย่างขบขัน “ชิงชิง เรื่องพวกนี้แม้จะอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าเมือง แต่มากน้อยอย่างไรองครักษ์เสื้อแพรก็ได้ชื่อว่าตรวจตรารักษาความปลอดภัย เรื่องพวกนี้เจ้าอย่าเอามาพูดต่อหน้าข้าเลยดีกว่ากระมัง”
นางซื่อตรงเหมือนจอมหลอกลวงที่กำลังสารภาพขั้นตอนการกระทำความผิดอย่างไรอย่างนั้น ลู่เหิงคิดในใจ ไฉนนางจึงน่าเอ็นดูได้ถึงเพียงนี้หนอ
หวังเหยียนชิงจนปัญญา ชี้แจงแถลงไขอย่างจริงจัง “ต่อให้เขาเอาออกมาจริง ข้าก็ไม่มีทางแตะต้อง”
แย่แล้ว เหมือนจะน่าเอ็นดูยิ่งกว่าเดิม ไม่ง่ายเลยกว่าลู่เหิงจะหยุดหัวเราะได้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ ไม่เป็นไร ข้าจะไม่บอกผู้อื่น เจ้าพูดต่อเถอะ”
ลู่เหิงทำท่าว่า ‘ข้าจะไม่แจ้งความ’ หวังเหยียนชิงลอบค้อนปะหลับปะเหลือกแล้วเล่าต่อ “สุดท้ายเขากลับวิ่งออกจากบ้านไป ขุดก้อนหินกองหนึ่งขึ้นมาจากใต้ต้นหลิวริมแม่น้ำ แล้วมอบก้อนหินเมื่อครู่ให้กับข้า”
ลู่เหิงเข้าใจความคิดของนางโดยสมบูรณ์แล้ว “ดังนั้นเจ้าจึงเล่นดินเป็นเพื่อนเขาใต้ต้นไม้ตลอดช่วงบ่าย”
หวังเหยียนชิงแก้ไขคำพูดเขาอย่างจริงจัง “เป็นก้อนหิน”
“ได้ ก้อนหิน” ลู่เหิงยอมแก้คำพูดแต่โดยดี “เขาได้ก้อนหินเหล่านี้มาจากที่ใด”
“ในแม่น้ำ”
ลู่เหิงผงกศีรษะ จากนั้นนิ้วมือถูถ้วยชาช้าๆ ไม่พูดอะไรอีก หวังเหยียนชิงมองดูครู่หนึ่ง ถามเสียงแผ่วเบา “พี่รอง ท่านคิดได้แล้วหรือ”
ลู่เหิงทำท่าจนใจทีเดียว “เจ้ายกย่องข้าถึงเพียงนี้เชียว? ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ทว่านี่เพิ่งจะวันเดียวเท่านั้น”
หวังเหยียนชิงรับคำอย่างผิดหวังเล็กน้อย นางเห็นในห้องตะวันตกมีเอกสารอยู่มากมาย จึงลองถาม “ที่นี่มีเอกสารอยู่พอดี พวกเราไปแอบอ่านกันดีหรือไม่”
ลู่เหิงมองไปยังห้องตะวันตก ตรงนั้นไม่ได้จุดไฟ เอกสารมากมายกองอยู่ด้วยกัน เงาดำวูบไหว ดูคล้ายสัตว์ร้ายตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่ง ลู่เหิงมองเพียงปราดเดียวก็ถอนสายตากลับมา “ช่างเถอะ เอกสารมากมายถึงเพียงนั้นอ่านถึงพรุ่งนี้ก็อ่านไม่หมด อีกอย่างยามนี้ข้ามีคนงามอยู่ข้างกาย ไยข้าต้องละทิ้งความอบอุ่นอ่อนนุ่มไปรื้อเอกสารในห้องที่เย็นยะเยียบนั่นด้วย”
หวังเหยียนชิงขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้ยากเอาการ นางทำเป็นไม่สนคำพูดช่วงหลังของลู่เหิง “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี หมู่บ้านเหอกู่เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ตามหลักขุนนางระดับสูงในท้องถิ่นสมควรสอบสวนอย่างจริงจัง แต่นายอำเภอกลับไล่พวกนางกลับไปหลายครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าปัญหาอยู่ที่นายอำเภอเถา”
ลู่เหิงเป็นเหมือนคลังเก็บตำราแห่งหนึ่งที่ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้ เห็นดังนั้นจึงพูด “เถาอีหมิงเป็นจวี่เหริน* ในรัชศกเจิ้งเต๋อปีที่ห้า เขาเป็นชาวเมืองชิ่งหย่วน ฐานะครอบครัวขัดสน สอบฮุ่ยซื่อไม่ผ่านหลายครั้ง ภายหลังจึงล้มเลิกการสอบเป็นจิ้นซื่อ เข้ารับตำแหน่งเป็นขุนนางท้องถิ่น แต่เขาไม่ได้รับการคุ้มครองจากวงศ์ตระกูล ทั้งยังไม่มีอาจารย์คอยสนับสนุน ต่อให้อยากเข้าเป็นฝ่ายเดียวกับฝักฝ่ายใด ผู้อื่นก็ไม่ยอมรับ ดังนั้นดวงขุนนางของเขาจึงไม่ดีนัก เข้าสู่ราชสำนักยี่สิบปียังคงวนเวียนอยู่กับตำแหน่งนายอำเภอในอำเภอระดับล่าง พื้นที่ที่ไปรับตำแหน่งส่วนใหญ่ก็หนาวเหน็บกันดาร ไม่มีผลประโยชน์ให้รีดไถได้”
หวังเหยียนชิงเข้าใจ นี่คือบุคคลที่อาศัยการอ่านหนังสือเปลี่ยนแปลงโชคชะตา แต่กลับมิอาจเปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์ นางขบคิดถึงประวัติของเถาอีหมิงโดยละเอียด พลันตระหนักถึงความผิดปกติ “พี่รอง เถาอีหมิงเป็นเพียงนายอำเภอตำแหน่งลำดับรองขั้นเจ็ดคนหนึ่ง ไฉนท่านจึงรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเขาดีถึงเพียงนี้”
ต่อให้องครักษ์เสื้อแพรมีหน้าที่รวบรวมข่าวกรอง แต่นครหลวงมีขุนนางระดับสูงมากมายถึงเพียงนั้น แค่ขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งพวกเขาก็จับตาดูไม่หวาดไม่ไหวแล้ว ไฉนลู่เหิงจึงบังเอิญไปเห็นประวัติของเถาอีหมิงได้
ลู่เหิงคิดในใจ ยังไม่นับว่าโง่นัก เขาดื่มน้ำชาจนหมดก่อนพูด “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้จักเขา แม้แต่เฉิงโยวไห่ข้ายังไม่รู้จักด้วยซ้ำ นี่เป็นเรื่องที่ล้วงมาได้บนโต๊ะสุราเมื่อครู่นี้”
หวังเหยียนชิงส่งเสียงอ้อเบาๆ ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดลู่เหิงจึงรับปากไปกินอาหารกับพวกเขา ถึงอย่างนั้นหวังเหยียนชิงยังคงรู้สึกเหลือเชื่อ เลิกคิ้วถาม “บนโต๊ะอาหารมีคนตั้งมากมาย เถาอีหมิงหาใช่คนโง่งม คงไม่ถึงขั้นเปิดเผยประวัติของตนเองออกมาจนหมดกระมัง ท่านซักถามเรื่องพวกนี้มาได้อย่างไร”
เรื่องนี้สำหรับลู่เหิงง่ายดายยิ่งนัก เขาพูดอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “ไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดออกมาเสมอไป ดูจากการพูดคุย การแต่งกาย และท่าทีของเขาย่อมคาดเดาพื้นฐานครอบครัวและสิ่งที่เขาประสบพบเจอมาได้ไม่ยาก คนคนหนึ่งขอเพียงปรากฏตัว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นช่องโหว่”
หวังเหยียนชิงเลื่อมใสจนพูดไม่ออก ลู่เหิงไร้เทียมทานในเรื่องการสังเกตคน
หวังเหยียนชิงถามอย่างจริงจัง “เช่นนั้นต่อจากนี้ควรทำอย่างไร”
ลู่เหิงอมยิ้มมองนาง ตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจเป็นอย่างยิ่ง “นอน”
หวังเหยียนชิงหางคิ้วกระตุก นางคิดว่าตนเองฟังผิดไป ทว่าหลังจากประสานสายตากับเขา นางก็ค่อยๆ ตระหนักได้ว่าเขาพูดความจริง
หวังเหยียนชิงเงียบงัน เดาไม่ถูกว่าลู่เหิงคิดจะทำอะไรอีก ลู่เหิงปรายตามองนาง พูดอย่างเข้าใจ “ข้าไม่ได้หลอกเจ้า ครั้งนี้เป็นความจริง ตกลงเจ้าไม่อยากนอนเพราะกลัวว่าการสืบคดีจะล่าช้า หรือเป็นเพราะไม่ไว้ใจข้ากันแน่”
หวังเหยียนชิงไม่รู้ว่าตนเองถูกเปิดโปงความคิดหรือถูกปรักปรำกันแน่ เอ่ยแย้งเสียงขุ่น “ข้าเปล่าคิด”
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง” ลู่เหิงพยักพเยิดคางไปยังที่นอน “ดึกแล้ว เจ้าควรนอนได้แล้ว”
ลู่เหิงสุขุมเยือกเย็น เขาเห็นกับตาว่าใบหน้าของนางแดงเรื่ออย่างช้าๆ สุดท้ายก็ไม่อาจแข็งใจกลั่นแกล้งนางได้ จึงชิงพูดขึ้นก่อนที่นางจะเอ่ยปาก “ออกมาอยู่ข้างนอกเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องระวังไว้บ้าง คืนนี้อย่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย กลางคืนอย่าได้หลับลึกเกินไป ตื่นตัวไว้หน่อย”
หวังเหยียนชิงพรูลมหายใจยาวเหยียด เมื่อครู่นางก็อยากพูดคำนี้เหมือนกัน แต่กลัวพี่รองจะเข้าใจผิด โชคดีที่พี่รองก็คิดเช่นนี้
หวังเหยียนชิงประหนึ่งได้ปลดภาระอันหนักอึ้ง เข้าไปในห้องเตรียมตัวนอน ลู่เหิงนั่งอยู่ในห้องโถงตามลำพัง มองถ้วยกระเบื้องในมือ เนิ่นนานผ่านไปจึงถอนหายใจเบาๆ
นอกหน้าต่างมีสายลมราตรีพัดมาอ่อนๆ แสงจันทร์ประหนึ่งสายน้ำ เสียงนี้แผ่วเบาคล้ายดั่งมายา
หวังเหยียนชิงล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็ปล่อยผมและเอนกายลงบนเตียงโดยไม่ถอดเสื้อผ้า นางกลัวจะกระอักกระอ่วนใจ ก่อนขึ้นเตียงจึงเป่าตะเกียงในห้องให้ดับ เหลือไว้เพียงโคมผนังดวงหนึ่ง
นางหลับตาลง ท่ามกลางความมืดเวลาคล้ายจะเปลี่ยนรูป ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เสียงฝีเท้าเลือนรางดังขึ้นข้างกาย ตามมาด้วยลมหายใจอันคุ้นเคย ความง่วงงุนอันพร่าเลือนของหวังเหยียนชิงหายวับไปทันใด นางอ้าปากร้องเรียกอย่างไม่แน่ใจ “พี่รอง?”
ลู่เหิงได้ยินคำเรียกขานนี้แล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้น เขารับคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา จับอารมณ์ใดๆ ไม่ได้
หวังเหยียนชิงเห็นว่าเป็นเขาก็หลับตาลงอย่างวางใจอีกครั้ง ลู่เหิงพบว่าหญิงสาวทำท่าจะนอนต่อ ชั่วขณะหนึ่งที่ความรู้สึกในใจเขาแปลกประหลาดยิ่งนัก
เขาไม่รู้แล้วว่าควรขอบคุณนางที่เชื่อใจเขา หรือควรริษยาความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างนางกับพี่รองตัวจริงของนางดี
ชายหนุ่มเป่าโคมไฟดวงสุดท้ายให้ดับลง เมื่อครู่เขายังลังเลว่าจะเข้ามานอนหรือไปอยู่ในห้องตะวันออกทั้งคืนดี แต่พอได้ยินคำพูดนาง เขาก็พลันเปลี่ยนใจแล้ว
นางคล้ายละเมอเรียกพี่รองออกมา จากนั้นก็สามารถหลับไปอย่างสบายใจได้ หากเขายังจะถอยอีก ไยมิใช่สมองเป็นโพรงหรือไรกัน
ลู่เหิงนอนทั้งชุดเดิม คืนนี้เขาไม่คิดที่จะหลับ มีคนอีกคนนอนอยู่ในระยะใกล้ถึงเพียงนี้ ในตำแหน่งที่สามารถลอบโจมตีเขาได้ทุกเมื่อ เขาจะหลับตาลงได้อย่างไร ดังนั้นว่ากันตามเหตุผลแล้ว เขาขึ้นมาเอนกายบนเตียงกับไปห้องตะวันออกเพื่ออ่านเอกสาร ผลลัพธ์ล้วนไม่ต่างกัน
แต่พอได้เอนกายลงจริงๆ ฟังเสียงลมหายใจยาวและแผ่วเบาของนาง ลู่เหิงก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเขามิได้รู้สึกต่อต้านถึงเพียงนั้น ในปีที่ลู่เหิงอายุยี่สิบสามนี้เอง ในราตรีคิมหันต์ที่แสนจะธรรมดาคืนหนึ่ง เขาเอนกายลงบนเตียงที่ไม่สบายตัวในเรือนซึ่งไม่คุ้นเคยหลังหนึ่ง ในชั่วเวลานั้นเขารู้สึกสั่นคลอนกับความคิดที่เขาปักใจเชื่อมาตลอดในอดีต
เขาเชื่อมาโดยตลอดว่าตนเองไม่อาจไว้ใจผู้อื่นได้ ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางนอนหลับข้างกายคนอีกคนได้อย่างสบายใจ การแต่งภรรยาเป็นเพียงการเปลี่ยนสถานที่แสดงละครเท่านั้น เขาไม่ต้องการ ดังนั้นจึงหลบเลี่ยงการแต่งภรรยาสร้างครอบครัวมาโดยตลอด เขาคิดตามหลักเหตุผลไปเช่นนี้ แต่ความจริงเขากลับยังไม่เคยลองดูสักครั้ง
การด่วนสรุปเช่นนี้ออกจะอคติเกินไปหน่อย
ลู่เหิงกำลังขบคิดถึงแผนการในชีวิตของตนเอง ฉับพลันเขาได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้นนอกหน้าต่าง แทบจะในเวลาเดียวกันลู่เหิงลืมตาทันใด
บทที่ 60
ท่ามกลางความมืดดวงตาของลู่เหิงกระจ่างใสเปล่งประกายเจิดจ้าจนมิอาจจ้องมองตรงๆ ได้ ไม่มีแววง่วงงุนสักกระผีก เขาลุกขึ้นนั่งทันที เดิมทีหวังเหยียนชิงมิได้หลับลึกอยู่แล้ว ตอนลู่เหิงเอนกายลงมานางสะลึมสะลือไม่มีการตอบสนอง แต่พอลู่เหิงจะจากไป นางกลับสะดุ้งตื่นฉับพลัน
หวังเหยียนชิงลืมตา ยังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ก็ยื่นมือไปคว้ากริชใต้หมอน ลู่เหิงกดมือนางไว้ ส่งเสียงชู่ว์เบาๆ “ข้าเอง อย่าส่งเสียง”
หวังเหยียนชิงค่อยๆ เพ่งสายตามองดู เห็นหน้าคนตรงหน้าชัดแล้ว นางผงกศีรษะนิดๆ ลู่เหิงเห็นนางตื่นแล้วจริงๆ จึงปล่อยมือช้าๆ แล้วก้าวลงจากเตียง
สองคนนอนโดยมิได้ถอดเสื้อผ้า ยามนี้จึงไม่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว ลู่เหิงกดดาบในมือ ค่อยๆ เดินไปตรงหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ มองผ่านรอยแยกของหน้าต่างออกไปข้างนอก
ในลานเรือนไม่มีคน ลู่เหิงไม่พูดพร่ำทำเพลง ออกแรงผลักหน้าต่างออกไป หวังเหยียนชิงตามหลังเขามา เห็นการกระทำของเขาแล้วตกใจ “พี่รอง!”
เพิ่งจะพูดจบหน้าต่างก็ถูกผลักออกและกระแทกขอบไม้อย่างแรง หวังเหยียนชิงเงยหน้ามองไป รูม่านตาขยายกว้างอย่างห้ามไม่อยู่
จันทร์เสี้ยวดุจเคียวแขวนตัวอย่างเดียวดายบนผืนนภาราตรีไร้ขอบเขต บนหลังคาที่ว่าการอำเภออันมืดมิดฝั่งตรงข้าม คนกระดาษตัวหนึ่งหันหลังให้แสงจันทร์ ใบหน้าวาดสีแดงฉูดฉาด นัยน์ตาเป็นสีดำ กำลังแสยะยิ้มให้พวกเขา
แม้หวังเหยียนชิงจะเคยผ่านคดีผีหลอกมาแล้ว แต่ยามนี้ก็ยังตกใจสะดุ้งโหยงเพราะมัน คนกระดาษตัวนี้มีขนาดเท่ากับคนจริง ร่างกายทำจากกระดาษสีขาว บนนั้นใช้สีสันหลากหลายวาดเป็นเสื้อผ้าและเครื่องหน้าดูเหมือนมีชีวิตจริง มองปราดแรกคิดว่าเป็นคน
หวังเหยียนชิงนึกถึงคนกระดาษที่ใช้ในการบวงสรวงเทพเจ้าในวันเซ่อรื่อทันที หน้าตาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ลมราตรีโชยพัดมา อากาศเจือไอน้ำหนักอึ้ง ฝนน่าจะใกล้ตกเต็มทีแล้ว หวังเหยียนชิงถูกลมเย็นพัดใส่จึงสงบสติอารมณ์ลงได้ นางเดินเข้าไปใกล้ลู่เหิงเงียบๆ แล้วถาม “พี่รอง คนกระดาษนี้ใครเป็นคนเอาไปวางบนหลังคาหรือ”
ลู่เหิงจ้องไปที่หลังคา ส่ายหน้าช้าๆ “อาจจะมิได้นำขึ้นไปวาง”
หวังเหยียนชิงไม่เข้าใจ “อะไรนะ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ พลันเห็นคนกระดาษบนหลังคาขยับได้ ข้อต่อของมันแข็งทื่อเหมือนเพิ่งเรียนรู้ที่จะขยับตัวกระนั้น ทำท่าทำทางอย่างเชื่องช้าและแปลกพิกล ใบหน้าแสยะยิ้มหันมาทางพวกเขาตลอดเวลา หลังการเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้ มันก็หันกายกะทันหันกระโดดลงจากหลังคาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
หวังเหยียนชิงสูดหายใจเบาๆ ย่นคิ้วถาม “นี่มันตัวอะไรกัน”
คนกระดาษสร้างความตื่นตระหนกให้กับเจ้าหน้าที่ข้างนอก เสียงร้องดังลั่นลอยมาตลอดทาง หลังจากนั้นก็มีคนตะโกน “จับมันไว้!”
ราตรีคิมหันต์เงียบสงัด เสียงตะโกนนี้กล่าวได้ว่าสร้างความแตกตื่นอย่างยิ่ง เสียงฝีเท้าถี่กระชั้นดังขึ้นทันใด แสงสว่างวูบไหวไปทั่วทุกหนแห่ง จากนั้นประตูเรือนของพวกเขาก็ถูกทุบดังปึงปัง “ผู้บัญชาการ ดูเหมือนในที่ว่าการอำเภอจะมีคนร้าย ท่านยังปลอดภัยดีหรือไม่ขอรับ!”
ลู่เหิงเก็บดาบลงในฝัก หัวเราะสั้นๆ พลางพูด “ไปเถอะ พวกเราออกไปดูกัน”
องครักษ์เสื้อแพรเคาะประตูอยู่นานโดยไม่ได้รับการตอบรับ พวกเขาร้อนใจ ขณะกำลังจะพังประตูเข้าไป ประตูเรือนพลันเปิดออกมาจากด้านใน ใต้เท้าผู้บัญชาการสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ยืนอยู่หลังประตูอย่างสุขุมมั่นคง ข้างหลังยังมีแม่นางตามมาด้วยคนหนึ่ง ผู้ติดตามระบายลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก รีบกุมหมัดคารวะ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตนช่างโง่งม เขาเอาความมั่นใจมาจากที่ใด ถึงได้คิดว่าผู้บัญชาการจะถูกคนวางแผนร้ายเล่นงานและต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา
“ผู้บัญชาการ เมื่อครู่นี้ข้าน้อยเห็น…คนกระดาษที่มีที่มาไม่แน่ชัดตัวหนึ่ง ด้วยเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้บัญชาการ จึงตั้งใจมาช่วยเหลือและขอคำชี้แนะจากผู้บัญชาการขอรับ”
“ข้าไม่เป็นไร” ลู่เหิงตอบเสียงเรียบ “ของสิ่งนั้นหายไปที่ใดแล้ว”
“หนีไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ขอรับ”
“ตามไปล้อมมันไว้ อย่าให้มันหนีไปได้”
“รับทราบ”
ผู้ใต้บังคับบัญชากุมหมัดรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง กระจายกำลังออกไปสองฟากอย่างคล่องแคล่ว เห็นได้ชัดว่าการล้อมจับเป็นเรื่องที่พวกเขาทำจนคุ้นชินแล้ว นอกจากองครักษ์เสื้อแพร เจ้าหน้าที่ในที่ว่าการอำเภอต่างสะดุ้งตื่นเช่นกันและวิ่งออกมาช่วยเหลือ เสียงฝีเท้าสับสนดังขึ้นทั่วทุกหนแห่ง เสียงตะโกนดังอย่างต่อเนื่อง เพียงพริบตาความเงียบสงัดในค่ำคืนนี้ก็ถูกทำลายไป
ลู่เหิงเอามือไพล่หลังยืนอยู่หน้าประตูเรือน สุขุมราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนเองกระนั้น เขาหันกลับมาถามหวังเหยียนชิง “หนาวหรือไม่”
กระดุมบนเสื้อตัวนอกของหวังเหยียนชิงกลัดเรียบร้อยทุกเม็ด นางส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม ลู่เหิงพูด “เช่นนั้นก็ดี อาจต้องวุ่นวายอีกสักพัก เจ้าจะดูอยู่ข้างนอกหรือกลับเข้าไปพักในเรือน หากอยากกลับไปข้าจะแบ่งกำลังพลส่วนหนึ่งมาเฝ้าประตูไว้ เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย”
หวังเหยียนชิงยังคงส่ายหน้า “ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้าอยากดูอยู่ข้างนอก”
ลู่เหิงเห็นนางยืนกรานก็ไม่โน้มน้าวอีก เอ่ยเพียง “ประเดี๋ยวจะมีผู้คนมากมาย ข้าอาจดูแลเจ้าไม่ได้ เจ้าต้องระวังตัว อย่าเดินไปบริเวณที่มืด”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หวังเหยียนชิงตอบ “พี่รองไปทำงานเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า ข้าอยู่คนเดียวได้”
เรือนที่เดิมทีจมสู่ห้วงแห่งการหลับใหลสว่างไสวขึ้นทีละแห่ง เจ้าเมืองเฉิงเสื้อผ้ายังไม่ทันสวมใส่ให้ดีก็วิ่งพรวดพราดออกมา ถามอย่างตื่นตระหนกไม่หาย “ใต้เท้าลู่ เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ลู่เหิงสวมชุดขุนนางสีน้ำเงินยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน สายคาดเอวรัดเอวเขาจนดูโดดเด่น ขับเน้นให้เห็นไหล่ผึ่งผาย แผ่นหลังเหยียดตรง และช่วงขายาว แม้จะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่เขาก็ยังเป็นคนที่สะดุดตาที่สุด โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ กลิ่นอายคุกคามน่าตกใจ
สายลมเย็นชื้นพัดมาจากส่วนลึกของม่านรัตติกาล แสงไฟวูบวาบไปมา เงาแสงสาดผ่านร่างของลู่เหิงไปอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง หยั่งคาดมิได้ ใบหน้าด้านข้างของลู่เหิงอยู่ท่ามกลางแสงไฟ ผิวเนียนละเอียดดุจหยก “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าได้ยินเสียงประหลาดกลางดึก ผลักหน้าต่างออกมาก็เห็นคนกระดาษหน้าตาประหลาดยืนอยู่บนหลังคา มันทำท่าอะไรสักอย่าง จากนั้นก็กระโดดลงไปในลานเรือนด้านหน้า”
เจ้าเมืองเฉิงร้องเสียงหลง “อะไรนะ! คนกระดาษ?”
องครักษ์เสื้อแพรที่ลู่เหิงพามายืนล้อมอยู่ข้างกายเขา คนหนึ่งวิ่งเร็วๆ มาจากด้านหน้า กุมหมัดเอ่ย “เรียนผู้บัญชาการ ข้าน้อยเห็นชัดเจนว่าคนกระดาษวิ่งมาทางนี้ แต่จู่ๆ มันก็หายไปขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ” ลู่เหิงถาม “ทางแยกข้างหน้าตรวจสอบหรือยัง”
“มีคนเฝ้าอยู่ขอรับ แต่ไม่มีใครเห็นมันผ่านมา”
เจ้าเมืองเฉิงหลบอยู่ข้างหลังลู่เหิง ได้ยินเช่นนี้แล้วตกใจจนใบหน้าซีดเผือด น้ำเสียงสั่นเครือ “ในจวนของทางการแท้ๆ กลับมีของพรรค์นี้ได้อย่างไร! หรือจะมีภูตผีอาละวาด”
ลู่เหิงหันกลับไปมองเจ้าเมืองเฉิง “เจ้าเมืองเชื่อเรื่องผีสางด้วยหรือ”
เจ้าเมืองเฉิงถูกถามจนอึกอักไปครู่หนึ่ง ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก “ท่านข่งจื่อไม่พูดถึงเรื่องลี้ลับงมงาย ผู้น้อยย่อมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว…แต่ใต้เท้าลู่เห็นคนกระดาษด้วยตาตนเอง ตอนนี้ทั่วทุกหนแห่งมีแต่คนของทางการ เจ้าสิ่งประหลาดนั่นกลับหายวับไปกลางอากาศ คือว่า…ผู้น้อยเป็นขุนนางมายี่สิบปี ไม่เคยพบเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้มาก่อน”
ลู่เหิงพยักหน้า ถอนหายใจเอ่ย “นั่นสิ หลังจากมันตกลงไปข้าก็สั่งให้องครักษ์เสื้อแพรและเจ้าหน้าที่ในที่ว่าการไล่ตามทันที แต่มันกลับหายตัวไปภายใต้สายตาของทุกคน ที่ว่าการมีพื้นที่เพียงเท่านี้ มันยังจะไปซ่อนตัวที่ใดได้อีก”
เจ้าเมืองเฉิงได้ยินดังนั้นรีบพูดทันใด “ผู้น้อยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หากใต้เท้าลู่ไม่เชื่อ สามารถไปค้นเรือนของผู้น้อยได้ ผู้น้อยไม่มีข้อโต้แย้งแน่นอน”
ลู่เหิงเห็นเถาอีหมิงเดินมาจากข้างหลังช้าๆ เขายิ้มถาม “นายอำเภอเถา ท่านคิดว่าอย่างไร”
เถาอีหมิงประสานมือเช่นกัน ตอบว่า “ผู้น้อยยินดีให้ความร่วมมือกับใต้เท้าลู่ในการสืบคดี”
ลู่เหิงไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ส่งคนออกไปค้นเรือนทันที แม้กระทั่งเรือนของเฉิงโยวไห่และเถาอีหมิงก็ไม่ละเว้น ทหารถือโคมไฟเปิดประตูค้นไปทีละห้อง ทุกคนยืนอยู่ด้วยกันข้างนอก เฝ้ารอผลการค้นหาเงียบๆ
เดือนเจ็ดอากาศเริ่มเย็นลงทีละนิด ราตรีนี้หนาวเย็นเล็กน้อย เจ้าเมืองเฉิงถูแขนไปมาพลางพูด “ใต้เท้าลู่โปรดอภัย ผู้น้อยรีบออกมาอย่างฉุกละหุกจึงไม่ทันได้สวมเสื้อผ้าให้ดี แต่งกายไม่เรียบร้อย ทำให้ใต้เท้าลู่ขบขันแล้ว”
ลู่เหิงพยักหน้ายิ้มๆ เป็นเชิงว่าตนไม่ถือสา รออีกพักหนึ่งองครักษ์เสื้อแพรค้นหาเสร็จสิ้นและออกมารายงานลู่เหิง “เรียนผู้บัญชาการ ไม่พบคนกระดาษแต่อย่างใด”
สีหน้าของเถาอีหมิงไม่เปลี่ยนแปลง แต่เจ้าเมืองเฉิงกลับสูดหายใจด้วยความตระหนก “นี่…นี่มันตัวอะไรกันแน่!”
เวลานี้เองมีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามา ร้องบอกอย่างลนลาน “ใต้เท้าเฉิง ใต้เท้าลู่ นายอำเภอเถา เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”
ลู่เหิงสีหน้าไม่เปลี่ยน เอ่ยถาม “เรื่องใดทำให้เจ้าตื่นตระหนกถึงเพียงนี้”
“หน้าประตูที่ว่าการอำเภอมีคนกระดาษตั้งอยู่ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ ท่านรีบไปดูเถอะขอรับ!”
ลู่เหิงและเจ้าเมืองเฉิงได้ยินว่ามีเรื่องเช่นนี้ก็รีบรุดไปหน้าประตู กลุ่มคนในที่ว่าการทะลักไปยังประตูใหญ่ จริงดังว่า ด้านนอกประตูหลักบนขั้นบันไดมีคนกระดาษตั้งอยู่อย่างผึ่งผาย รายละเอียดของคนกระดาษปรากฏชัดเจน คิ้วตาประหนึ่งคนจริง ปากสีแดงสดยิ้มอ้ากว้างจนแทบจะฉีกไปถึงโคนหู
เจ้าเมืองเฉิงเห็นคนกระดาษแล้วร้องโอย รีบปิดตาไว้ ทหารพากันวิพากษ์วิจารณ์ “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าปากทางทุกจุดถูกเฝ้าไว้เป็นอย่างดี มันวิ่งออกมาข้างนอกได้อย่างไร”
เสียงผู้คนเจือแววประหลาดใจ ความหวาดหวั่นอันไร้เสียงแผ่กระจายออกไปในราตรี ลู่เหิงกลับเหมือนไม่ได้ยิน เดินไปตรงหน้าคนกระดาษอย่างสุขุม ยืนเผชิญหน้ากับคนกระดาษที่สูงเท่าตัวคน
เมื่อครู่นี้อยู่ไกลมองเห็นไม่ชัด บัดนี้ยืนอยู่ใกล้จึงพบว่าทำได้เหมือนจริงโดยแท้ ลู่เหิงจับกระดาษพลางถาม “นี่เป็นผลงานของช่างฝีมือร้านใด”
เจ้าเมืองเฉิงปิดตาอยู่ อย่าว่าแต่ตอบคำถามเลย แม้กระทั่งมองคนกระดาษตรงๆ เขายังไม่กล้า เถาอีหมิงได้แต่ก้าวออกมาชี้แจง “อำเภอนี้แม้จะมีร้านขายเสื้อผ้าคนตายและกระดาษเงินกระดาษทอง แต่ฝีมือหยาบกระด้าง ไม่มีทางทำคนกระดาษที่เหมือนจริงได้ถึงเพียงนี้ น่าจะมาจากข้างนอกขอรับ”
“มาจากข้างนอก?” ริมฝีปากของลู่เหิงยกยิ้มคล้ายมีคล้ายไม่มี “ประตูเมืองลงดาลแล้ว จะมาจากข้างนอกได้อย่างไร”
เจ้าเมืองเฉิงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้นตามความเห็นอันสูงส่งของใต้เท้าลู่…”
“กลับไปนอนก่อนเถอะ” มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ลู่เหิงกลับล้มเลิกความคิดที่จะสืบหาความจริงกะทันหัน “ดึกมากแล้ว ขืนเสียเวลาต่อไปจะไม่ดีต่อสุขภาพ คืนนี้รบกวนทุกท่านแล้ว ขอบคุณท่านทั้งสองที่ให้ความร่วมมือ”
เจ้าเมืองเฉิงกับเถาอีหมิงปฏิเสธเป็นพัลวัน มิกล้ารับคำ ลู่เหิงบอกให้แยกย้าย ทุกคนมิกล้าไม่ปฏิบัติตาม คนของที่ว่าการอำเภอทยอยเดินกลับไป องครักษ์เสื้อแพรเห็นว่าหน้าประตูยังมีคนกระดาษฉีกยิ้มตั้งอยู่จึงกุมหมัดถาม “ผู้บัญชาการ ของสิ่งนี้…”
ลู่เหิงกวาดตามองแวบหนึ่งแล้วสั่งการ “หาสถานที่สะอาดห่างไกลน้ำเก็บรักษาไว้ให้ดี พรุ่งนี้สืบคดียังต้องเกี่ยวข้องกับคนกระดาษตัวนี้”
“รับทราบขอรับ”
องครักษ์เสื้อแพรเคยเห็นทั้งคนตายคนเป็นมาไม่น้อย มิต้องพูดถึงคนปลอมที่ทำจากกระดาษ พวกเขาก้าวเข้าไปแบกคนกระดาษที่สูงเท่าคนจริงขึ้นมา และเดินไปยังเรือนหลัง ฝูงชนสลายตัว ลู่เหิงรั้งท้าย เขาเดินกลับเรือนอย่างเชื่องช้า หวังเหยียนชิงเดินเข้าไปข้างกายเขาเงียบๆ ลู่เหิงหันมามองนาง หยิกแก้มนางอย่างขบขัน “เป็นอะไรไป ทำหน้าจริงจังถึงเพียงนี้”
หวังเหยียนชิงส่ายหน้า ไม่เอ่ยอะไร
รอจนกลับถึงเรือนแล้ว หวังเหยียนชิงก็ปิดประตูทันที พูดกับลู่เหิง “พี่รอง เรื่องในคืนนี้ไม่ปกติ”
ลู่เหิงยิ้มน้อยๆ “ข้ารู้”
“เช่นนั้นท่าน…”
ลู่เหิงส่ายหน้า กุมมือนางไว้ จากนั้นก็แตะมือที่คอนางเพื่อวัดความอุ่นเย็นของร่างกาย “ร่างกายเจ้าไม่ปกติ สองวันนี้ต้องระวังให้มากหน่อย ดึกมากแล้ว เจ้ารีบไปนอนเถอะ”
เมื่อครู่ที่ลู่เหิงพูดหน้าประตูว่าดึกแล้ว ขืนเสียเวลาต่อไปจะไม่ดีต่อสุขภาพ เขาหมายถึงหวังเหยียนชิง หาไม่แล้วเขาจะสนใจไปไยว่าเฉิงโยวไห่กับเถาอีหมิงสุขภาพเป็นอย่างไร
หวังเหยียนชิงจับความหมายที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของเขาได้ รีบถาม “แล้วท่านล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะเฝ้าอยู่ในเรือนนี่ล่ะ” ลู่เหิงพูดจบ เอ่ยอย่างไม่จริงจัง “ถือโอกาสนี้ไปหาของในห้องตะวันตกเล็กน้อยด้วย”
“ก่อนหน้านี้ท่านมิใช่บอกว่าเอกสารเยอะเกินไปหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ เอ่ยอย่างผ่อนคลาย “ดังนั้นจึงต้องหาตอนนี้เลย”
หวังเหยียนชิงถูกไล่ไปนอนบนเตียง ลู่เหิงอ่านเอกสารอยู่ในห้องตะวันตก เขากลัวจะรบกวนการนอนของนางจึงหุ้มโคมไฟไว้อย่างแน่นหนา หวังเหยียนชิงมองผ่านม่านเตียงไปเห็นแสงสีส้มสลัวรางสะท้อนอยู่หน้าประตู หูคลับคล้ายได้ยินเสียงพลิกกระดาษอย่างแผ่วเบา
นางจดจำอดีตของตนเองไม่ได้ แต่ราวกับฤดูร้อนก็สมควรเป็นเช่นนี้
นางไม่รู้ว่าตนเองปิดตาลงและหลับสนิทไปเมื่อใด
ในความฝัน นางเหมือนจะได้ยินเสียงเปิดและปิดประตู มีคนออกไปและกลับเข้ามา นางอยากจะลืมตา แต่แขนขาทั้งสี่ราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่ว ทำอย่างไรก็ขยับไม่ได้…
เช้าวันต่อมา ท้องฟ้าสลัวราง หวังเหยียนชิงพลันสะดุ้งตื่น นางนอนอยู่บนเตียง ขยับตัวเล็กน้อยก็รู้สึกปวดเมื่อยที่เอว
นางถอนหายใจยาว
โชคไม่ดีเลยจริงๆ ลู่เหิงพูดถูกจนได้
ระดูของนางมาแล้ว
โชคดีที่ก่อนออกเดินทางนางเตรียมสัมภาระติดตัวไว้ห่อหนึ่ง ตอนนี้จึงไม่ถึงขั้นลนลาน หวังเหยียนชิงเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ตอนเดินออกมาก็ไม่เห็นเงาของลู่เหิงแล้ว เทียนไขในห้องตะวันตกเผาไหม้ไปครึ่งหนึ่ง บนโต๊ะหนังสือยังมีเอกสารที่อ่านไปได้ครึ่งหนึ่งกางอยู่
หวังเหยียนชิงหยิบขึ้นมาดู บนนั้นเป็นคดีคนหายคดีหนึ่ง ผู้แจ้งความบอกว่าพวกเขาอาศัยอยู่ด้านล่างของอารามชิงซวี ละแวกใกล้ๆ มักมีชายฉกรรจ์หายตัวไป ครั้งหนึ่งพวกเขาเดินทางตอนกลางคืน เหมือนจะเห็นนักพรตของอารามชิงซวีแบกของบางอย่างเข้าไปทางประตูหลัง
ชายฉกรรจ์? คำบรรยายนี้คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในหมู่บ้านเหอกู่ หวังเหยียนชิงหาที่นั่งลงและตั้งใจอ่านสำนวนคดีนี้ ประตูถูกคนผลักเข้ามากะทันหัน ลู่เหิงเดินเข้ามา เห็นหญิงสาวแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ทักว่า “เจ้าตื่นเช้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ วันนี้ไฉนจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเล่า”
หวังเหยียนชิงก้มศีรษะพลิกกระดาษไปอีกหน้า แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ลู่เหิงกลอกตาเล็กน้อย มิได้ถามต่อ “เจ้าตื่นพอดี ข้าสั่งห้องครัวไว้แล้ว ประเดี๋ยวให้ส่งอาหารเช้ามาให้เจ้า ต้องตั้งใจกินด้วยล่ะ ห้ามเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญเด็ดขาด”
หวังเหยียนชิงฟังคำพูดเขาแล้วรู้สึกชอบกลจึงเงยหน้าถาม “พี่รองจะออกไปข้างนอกหรือ”
“ใช่” ลู่เหิงพยักหน้า “ข้าให้คนไปสืบหาร้านที่ทำคนกระดาษ เมื่อครู่ได้เบาะแสแล้ว ข้าจะไปดูด้วยตนเอง เจ้าอยู่ในที่ว่าการคนเดียวไม่มีปัญหาอะไรกระมัง”
“ข้าไม่เป็นไร” หวังเหยียนชิงส่ายหน้า พูดจบก็ถอนหายใจเบาๆ เอ่ยอย่างละอาย “เสียดายที่ข้ามักเป็นตัวถ่วงอยู่เรื่อย ไม่สามารถตามท่านออกไปได้”
ลู่เหิงก้าวเข้าไป มือข้างหนึ่งยันโต๊ะ มืออีกข้างลูบศีรษะนาง จ้องตานางอย่างจริงจัง “เจ้ารักษาร่างกายให้ดีก็คือการช่วยข้ามากที่สุดแล้ว พักผ่อนให้ดี อย่าคิดฟุ้งซ่าน ถ้าตอนกลางวันข้าไม่กลับมา เจ้าก็กินข้าวเอง”
เขาโน้มตัวลงมาตรงหน้านาง แม้น้ำเสียงมิได้แฝงแววบังคับ แต่ท่วงท่าที่มองลงมาจากตำแหน่งที่สูงกว่าคล้ายดั่งขีดเส้นเขตแดนล้อมรอบนางไว้ หวังเหยียนชิงผงกศีรษะเงียบๆ ชายหนุ่มขยี้ผมนางอีกครั้งแล้วลุกขึ้นจากไป
เขาประกาศถ้อยคำรับรองกับฮ่องเต้ว่าจะไขคดีให้ได้ภายในสามวัน วันนี้เป็นวันที่สองแล้ว
พละกำลังของลู่เหิงเปี่ยมล้นเหมือนไม่รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อย เมื่อคืนวุ่นวายอยู่ครึ่งคืน วันนี้ออกไปสืบเรื่องคนกระดาษแต่เช้าตรู่ เจ้าเมืองเฉิงได้แต่สละชีพเพื่อเจ้านาย ฝืนลากสังขารอ่อนปวกเปียกติดตามลู่เหิงออกไปสืบคดี
พวกเขาพาคนออกไปกลุ่มใหญ่อย่างเอิกเกริก ที่ว่าการอำเภอพลันว่างเปล่า แม้แต่เสียงจักจั่นยังเงียบไป หวังเหยียนชิงร่างกายไม่สะดวกนักจึงพลิกดูเอกสารอยู่ในห้อง ห้องตะวันตกมีสำนวนคดีอยู่มากมายเพียงพอให้นางอ่านได้อีกนาน หวังเหยียนชิงค้นหาคดีที่เกี่ยวข้องกันและตรวจดูทีละเล่มอย่างละเอียด
เสียงเคาะประตูดังขึ้นข้างนอก หญิงสาวคิดในใจ ไฉนวันนี้อาหารกลางวันจึงมาส่งเร็วถึงเพียงนี้ ทางหนึ่งก็เอ่ยว่า “เข้ามาได้”
นางวางเอกสาร คนส่งอาหารเดินเข้ามาแล้ว วางกล่องอาหารลงในห้องโถง ผู้มาสวมชุดแบบบ่าวชายและค้อมศีรษะ เป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย หวังเหยียนชิงมองปราดหนึ่งแล้วถาม “ไฉนจึงเป็นเจ้ามาส่งล่ะ”
บ่าวชายหลุบตาตอบ “ห้องครัวยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้ จ้าวต้าเหนียงจึงให้ข้ามาส่งอาหารให้แม่นางขอรับ”
หวังเหยียนชิงพยักหน้า คิดในใจ ที่แท้หญิงรับใช้คนเมื่อวานก็แซ่จ้าว บ่าวชายเปิดกล่องอาหาร ยกน้ำแกงข้นชามหนึ่งออกมาก่อน หวังเหยียนชิงเห็นชุมเห็ดใหญ่กับดอกเบญจมาศในน้ำแกงแล้วมุ่นคิ้วน้อยๆ “นี่เป็นอาหารกลางวันที่พี่รองสั่งไว้หรือ”
หญิงสาวพูดจบก็ถอยหลบทันที แต่ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง อีกฝ่ายฟาดมือเข้าใส่นาง หวังเหยียนชิงรีบยกมือขึ้นสกัดไว้ ทว่าอีกฝ่ายเหมือนล่วงรู้กระบวนท่าของนางกระนั้น เบี่ยงหลบไปก่อนแล้ว มืออีกข้างหยิบกระบอกพ่นควันออกมาพ่นใส่หน้านางโดยตรง
ควันสีขาวสายหนึ่งพุ่งปะทะใบหน้าหวังเหยียนชิง นางกลั้นหายใจสุดกำลัง แต่ยังคงไม่ระวังสูดควันเข้าไปเล็กน้อย หวังเหยียนชิงรู้สึกวิงเวียนอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายปราดเข้ามาใช้ผ้าอาบยาสลบปิดปากปิดจมูกนาง ครั้งนี้นางหมดสติไปโดยสมบูรณ์
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หวังเหยียนชิงไม่ทันได้ร้องขอความช่วยเหลือก็สิ้นสติไป
ยามเว่ย ลู่เหิงขี่ม้ามาหยุดตรงหน้าเส้นทางภูเขา เถาอีหมิงยกมือขึ้นชี้ไปยังสิ่งก่อสร้างที่เร้นกายอยู่ท่ามกลางแมกไม้ “ใต้เท้าลู่ ที่นี่ก็คืออารามชิงซวี”
แสงแดดร้อนมาก เจ้าเมืองเฉิงซับเหงื่อไม่หยุด เงยหน้าพลางเพ่งมองขึ้นไปบนภูเขา “นักพรตที่ทำคนกระดาษเป็นตามที่หลงจู๊ในร้านบอกอาศัยอยู่ที่นี่หรือ”
สามารถทำคนกระดาษตัวใหญ่ถึงเพียงนั้นได้ทั้งยังไม่เปลี่ยนรูป คนที่มีฝีมือเช่นนี้มีไม่มาก ลู่เหิงส่งคนไปสอบถามร้านที่รับทำเครื่องกระดาษสำหรับงานศพ แต่ในอำเภอฉีไม่มีใครสามารถทำคนกระดาษได้ประณีตถึงเพียงนี้ สุดท้ายเป็นหลงจู๊คนหนึ่งในอำเภอข้างเคียงส่งข่าวมาบอกว่าเคยเห็นอารามชิงซวีทำพิธี นักพรตที่นั่นสามารถทำคนกระดาษเองได้ เหมือนคนที่มีชีวิตจริง ประณีตกว่าสินค้าในร้านพวกเขามาก
กลุ่มของลู่เหิงจึงมาเยือนอารามชิงซวีด้วยประการฉะนี้
“ขอรับ” เถาอีหมิงตอบ “อารามชิงซวีก่อตั้งมานานแล้ว ดำรงอยู่ก่อนที่ผู้น้อยจะมารับตำแหน่ง เพียงแต่นักพรตที่นี่แปลกประหลาด ไม่ไปประกอบพิธีที่บ้านของผู้ว่าจ้าง ไม่รับงานต่างถิ่น น้อยครั้งที่จะไปมาหาสู่กับชาวบ้านข้างล่าง ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีคนมาสักการบูชาที่อารามสักเท่าไร”
“พิลึก” เจ้าเมืองเฉิงว่า “ภิกษุกับนักพรตมิใช่ล้วนคิดหาหนทางดึงดูดให้ผู้คนบริจาคเงินค่าน้ำมันให้พวกเขาหรือ พวกเขาไม่ติดต่อกับชาวบ้านแล้วจะดำรงชีพได้อย่างไร”
เถาอีหมิงสั่นศีรษะ “ผู้น้อยไม่เคยคบหากับภิกษุหรือนักบวช จึงไม่ทราบขอรับ”
ลู่เหิงสวมชุดเข้ารูปสีน้ำเงินเข้ม นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างสง่างาม แม้แสงตะวันเหนือศีรษะจะร้อนแรง อากาศร้อนระอุจนโลหะแทบหลอมละลาย แต่เขายังคงผึ่งผายองอาจ สะอาดสะอ้านไปทั้งตัว ใบหน้าไม่มีเหงื่อแม้แต่หยดเดียว ประดุจต้นสนบนทิวเขาและสายลมกลางป่า ไม่ว่าปรากฏตัวที่ใดล้วนไม่กระทบต่อความเฉียบคมทรงอำนาจของเขา ลู่เหิงบังคับม้าด้วยมือเดียว เอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ ขึ้นไปดูก็รู้เอง”
ระหว่างที่ลู่เหิงพาเจ้าเมืองและผู้ติดตามขึ้นเขาไป ใบหน้าขาวกระจ่างเย็นชาของหวังเหยียนชิงที่ซบอยู่บนหมอนก็สะดุ้งตื่นกะทันหัน
ภายในห้องปิดหน้าต่าง มีแสงสว่างทึบทึม ฤทธิ์ยาสลบยังไม่สลายไป แผ่นหลังของนางยังเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น นางรู้สึกทรมานยิ่งนัก แม้แต่ขยับนิ้วมือยังเปลืองแรง ได้แต่ลอบปรับลมหายใจเงียบๆ ขณะเดียวกันก็คิดคำนวณในใจอย่างเร็วรี่ ที่นี่ที่ใด ใครกันที่ลักพาตัวนางมา
สามารถทำให้นางสลบได้โดยเทพไม่รู้ภูตไม่เห็นและพาตัวออกมาจากที่ว่าการอำเภอ สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังนี้ นางแค่คิดก็หนาวยะเยือกไปทั้งตัว หวังเหยียนชิงปวดท้องอย่างรุนแรง นางยังไม่ได้กินข้าว ทั้งยังได้รับความตกใจ อาการปวดระดูที่บำรุงรักษาจนหายดีแล้วย้อนกลับมาอีกครั้ง
หวังเหยียนชิงอดวางมือลงบนหน้าท้องไม่ได้ ในเวลานี้เอง มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างกาย หญิงสาวถึงได้ตกใจ ในห้องมีคน!
นางหันไปมองทันที เวลาเดียวกันเสียงอันคุ้นเคยลอยเข้ามาในหู “ชิงชิง เจ้าฟื้นแล้วหรือ”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนสิงหาคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.