บทที่ 1 นางฟ้าชัดๆ
“บ้าชะมัด! ทำไมรถต้องมาเสียวันนี้ด้วยนะ”
หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมายืดยาวพลางกอดอกมองสภาพรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่ที่มีควันลอยฟุ้งขึ้นจากกระโปรงหน้าด้วยความหงุดหงิด เธอไม่ได้เอารถเข้าศูนย์ฯ เสียนาน มารู้ตัวอีกทีขับๆ อยู่เจ้าตัวดีก็เกเร พ่นควันลอยฟุ้งขึ้นจากหน้ารถก่อนจะแน่นิ่งซี้แหงแก๋อยู่ข้างถนน
แล้วตายที่ไหนไม่ตาย ดันมานอนแช่อยู่ริมถนนย่านชานเมืองกลางดึก รอบข้างมีแต่ทุ่งหญ้าสูง รถยนต์บนถนนแล่นผ่านไปชนิดนับนิ้วได้
“แท็กซี่ไม่มี แกร็บก็ไม่รับ ซวยชะมัด!”
วันนี้คงเป็นวันซวยของเธอ ตั้งแต่เจอลูกค้าเรื่องเยอะ ขอดูสินค้าของร้าน พูดคุยดิบดี สุดท้ายคือไม่ซื้อ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกค้าแล้วเนตรอัปสรได้แต่ก้มหน้าอดทน ใครจะรู้ว่าโอกาสหน้าลูกค้ากลุ่มนี้อาจเปลี่ยนใจมาซื้อสินค้ากับเธอก็ได้
ระหว่างยืนรอความช่วยเหลือจากช่างของอู่ซ่อมรถที่รู้จักกัน จู่ๆ ก็มีอะไรเหนียวหนืดคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าจนหญิงสาวเบิกตาโพลง กรีดร้องสุดเสียง แต่เสียงที่ล่วงพ้นจากเรียวปากเป็นเพียงลมร้อนๆ สายหนึ่งเท่านั้น
“ชะ…ช่วยด้วย”
ลมเย็นกลุ่มหนึ่งพัดโชยมาจนเส้นขนบนแขนเนียนลุกเกรียว ความกลัวผีแต่ดั้งเดิมร้องเตือนว่าสิ่งแปลกปลอมเหนียวหนืดนั้นอาจเป็นผี เธอจึงกระแทกรองเท้าส้นสูงลงไปบนอะไรสักอย่างที่ฉวยข้อเท้าเธอไว้เข้าอย่างแรง หวังว่าผีจะยอมปล่อยตนเป็นอิสระ แต่มันกลับร้องโอดโอย
“จะ…เจ็บ!”
หญิงสาวเลิกคิ้ว สติที่เริ่มคืนกลับมาเข้ารูปเข้ารอยดับความกลัวและฉุดความฉงนสงสัยขึ้นมาแทน
ผี…มีความรู้สึกด้วยเหรอ
เปลือกตาเรียวยาวลืมขึ้นก่อนดวงหน้าหวานละมุนจะก้มมองร่างชุ่มเลือดที่โผล่พ้นออกมาจากพงหญ้าข้างทาง
“อ้าว ไม่ใช่ผีนี่นา!”
ภาพเบื้องหน้าขาวโพลน มองไปทางใดเห็นเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่า ไร้สรรพเสียงสำเนียงใดๆ เงียบงันจนเขาหวาดวิตก หมุนคว้างรอบตัวแต่กลับเห็นเพียงตัวเขาเอง พื้นซึ่งยืนตระหง่านอยู่เป็นพื้นเรียบหรือขรุขระเขามองไม่เห็น เพราะมันขาวโพลนไปหมด
“เจ้าเภา!”
เสียงเรียกดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ไม่ใกล้ ไม่ไกล เขาหมุนไปรอบตัวอีกครั้ง แต่กลับไม่พบเจ้าของเสียง ชายหนุ่มยกมือป้องปาก ตะโกนก้องผ่านความเวิ้งว้างออกไปเรียกคนที่เคยสนิทชิดเชื้อ
“ปู่…ปู่ใช่ไหม!”
เขาเดินฝ่าความเวิ้งว้างไปอย่างสะเปะสะปะ กระทั่งผ่านม่านหมอกหนาสีขาวออกไปจนพบชายชราร่างสูงกับไม้เท้าหัวเสือ ใบหน้ารูปไข่อาบไว้ด้วยริ้วรอยของกาลเวลา ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มชื่นมื่น มือเหี่ยวย่นยื่นมาข้างหน้าละม้ายจะบอกให้เขาเดินเข้าไปหา
“เภาอยู่ไหนปู่ เภาตายแล้วเหรอ”
ชายชรายิ้มบางๆ ค้างมือไว้กลางอากาศ ผู้เป็นหลานยกมือขึ้นเตรียมจะยื่นไปหาผู้เป็นปู่ แต่เสียงทุ้มนุ่มลอยละล่องก้องสะท้อนท่ามกลางความเวิ้งว้างเงียบงัน
คุณคะ!
เภาลดมือลงข้างตัว หันกลับไปทางต้นเสียง แต่กลับไม่พบใคร มีเพียงเสียงหวานใสที่ยังดังต่อเนื่อง
อย่าเป็นอะไรไปนะคุณ
“เสียงใครน่ะ!”
เภาตะโกนกลับไป แต่เสียงหวานละมุนกลับสวนมาราวไม่ได้ยินคำถามของเขา
เข้มแข็งไว้นะคะคุณ
เรียวคิ้วหนาย่นเข้าหากันด้วยความฉุน ก้มสำรวจสภาพตัวเองที่แข็งแรงขนาดนี้ จะเป็นอะไรไปได้ แม้ไม่เห็นหน้าค่าตา แต่รับรู้จากน้ำเสียงว่าเจ้าของเสียงเป็นหญิงสาว ไม่ใช่คนสูงวัย
ฟื้นขึ้นมานะคะคุณ ฉันจะรอ
น้ำเสียงของเธอเรียบเย็นเหมือนสายน้ำไหลเอื่อยในลำธาร ฟังแล้วชุ่มชื่นหัวใจ เขารีบหันไปจะชวนปู่คุยถึงเจ้าของเสียง แต่ร่างของชายชรากลับลับหายไป เหลือแต่เขายืนอยู่เพียงลำพัง
“ปู่…ปู่!”
ชายแปลกหน้าที่เธอช่วยชีวิตไว้ถูกย้ายออกจากห้องฉุกเฉินมาอยู่ห้องไอซียูได้สามวันแล้ว ทุกครั้งที่เนตรอัปสรแวะมาจะได้คำตอบเหมือนเดิมว่าเขายังไม่ฟื้น เธอจึงใช้เวลาหลังเลิกงานแวะมาเยี่ยมมาพูดคุยให้กำลังใจ แม้จะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แต่เขาก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่เธออยากกระชากลมหายใจคืนจากพญามัจจุราช
เธอยืนมองใบหน้าขาวซีด รอยฟกช้ำสีม่วงคล้ำตรงหางคิ้ว แก้ม และมุมปาก ตามร่างกายจัดว่าน่วม แขนขายาวเก้งก้างสวมเฝือกแข็ง
หากมองข้ามรอยฟกช้ำตามใบหน้า เธอคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนรูปร่างหน้าตาดีทีเดียว ไม่รู้ว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะทำให้เขาเสียโฉมหรือไม่
“ฉันกลับก่อนนะคุณ”
เธอก้าวเท้าห่างจากเตียงเพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆ เสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดก็ดังมาจากเตียงคนไข้ เนตรอัปสรหันขวับก่อนสาวเท้ากลับมายืนข้างเตียง ทอดตามองศีรษะทุยสวยขยับไปมา คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เปลือกตาเรียวยาวกะพริบถี่
“ฟื้นแล้วเหรอคุณ”
เสียงหวานใสดังลอดโสตประสาทเข้ามาปลุกคนป่วยที่ยังสะลึมสะลือ เปลือกตาซึ่งมีขนตายาวราวกันสาดหนักอึ้ง ใช้เวลาอยู่ชั่วอึดใจเขาก็เปิดเปลือกตาขึ้นมาพบกับดวงหน้าสวยหวานที่ไม่คุ้นตา
“ใคร!”
น้ำเสียงของคนไข้หนุ่มแหบแห้งเหมือนคนขาดน้ำ แต่เนตรอัปสรไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพราะมัวแต่ห่วงอาการของเขามากกว่า
“คุณเป็นยังไงบ้างคะ”
เสียงเรียบเย็นหวานใสนี้ยืนยันว่าเธอคือเจ้าของเสียงที่ปลุกปลอบเขาในห้วงฝัน
ชายหนุ่มหรี่ตามองดวงหน้ารูปไข่อันประกอบด้วยเรียวคิ้วดำเรียงตัวสวย จมูกเล็กรั้นขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากเป็นรูปกระจับสวย เครื่องหน้าเธอละมุนละไมน่ามอง จุดเด่นที่สุดบนดวงหน้าเรียวเห็นจะเป็นนัยน์ตาหวานซึ้งที่ทอดมองเขาอย่างอ่อนโยน
“เจ็บตรงไหนไหมคะ”
“เจ็บ!”
“น่าจะเจ็บอยู่หรอก โดนตีเสียน่วมขนาดนั้น เดี๋ยวฉันออกไปเรียกพยาบาลก่อนนะ คุณอย่าเพิ่งหลับล่ะ”
เขาทอดมองร่างเล็กอ้อนแอ้นในชุดกระโปรงเข้ารูปสีดำเหมือนเครื่องแบบพนักงานเดินห่างไปจากข้างเตียง เส้นผมยาวสลวยดกดำที่ระอยู่บนแผ่นหลังสะบัดพลิ้วไปมายามเรือนร่างอรชรสมส่วนเคลื่อนไหวห่างออกไป
นางฟ้าชัดๆ!
เธอเป็นความงามที่ถูกตาต้องใจ เรียกเสียงกระหน่ำรัวในหัวใจให้ดังก้อง ขนาดเจ็บหนักเขายังอดชื่นชมความงามละมุนละไมนี้ไม่ได้ ครู่หนึ่งเธอก็เดินกลับมาพร้อมพยาบาลวัยกลางคน
“เป็นยังไงบ้างคุณ”
“เจ็บ”
“จำได้ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ”
คนไข้ชายย่นคิ้ว พยายามหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่กลับปวดศีรษะหนึบเหมือนมีอะไรหนักๆ มากดทับ
“ไม่ได้”
“จำได้ไหมคะว่าคุณเป็นใคร จะได้ติดต่อญาติให้ ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีบัตรยืนยันตัวตนอะไรเลย คนร้ายคงเอาไปหมด”
“ใคร”
“อย่าบอกนะคะว่าคุณจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร”
เนตรอัปสรทะลุขึ้นกลางปล้อง พอเห็นเขากะพริบตา สาวหวานถึงกับหน้าเหวอ หันไปขอความเห็นจากน้าสาวซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลนี้
“ทำยังไงดีคะน้าแก้ว เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร”
“เดี๋ยวน้าไปเรียกคุณหมอมาดีกว่า”
“ขอบคุณค่ะน้าแก้ว”
หญิงสาวกวาดมองสภาพฟกช้ำของคนไข้ด้วยความสงสารแกมเห็นใจ นอกจากถูกทำร้ายแล้วยังความจำเสื่อมอีก ไม่รู้จะหวาดกลัวสักแค่ไหน ความสงสารเห็นใจในชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์ทำให้เธอเลื่อนมือออกมาวางบนหลังมือหนาข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกอย่างนุ่มนวลแล้วปลุกปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้องกังวลนะคะคุณ อีกไม่นานก็ดีขึ้น”
ไออุ่นที่หญิงสาวส่งผ่านมือบางสู่คนไข้ด้วยความเห็นใจเพื่อนมนุษย์กลับถูกอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนเจตนาเป็นความหวานซึ้งของหญิงสาวที่มีต่อชายหนุ่ม เพราะเคยชินกับการมีหญิงสาวมากมายทอดไมตรีให้ มือหนาจึงรวบมือบางไว้ในอุ้งมือแล้วจงใจหลับตาปิดการรับรู้เสียดื้อๆ
เนตรอัปสรเบิกตาโพลง รีบชักมือออกจากการเกาะกุม ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว ไอร้อนผ่าวจากมือหนายังทิ้งรอยอยู่บนหลังมือเธอ ดวงตากลมโตจ้องอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง ขณะที่เขาลืมตาขึ้นมองเธอด้วยแววตัดพ้อแกมไม่ได้ดังใจ
โชคดีที่น้าสาวและคุณหมอหนุ่มใส่แว่นกรอบบางเดินเข้ามาพอดี ความกระอักกระอ่วนระหว่างเราจึงยุติลงกะทันหัน
“อาการเป็นยังไงบ้างครับ”
“เจ็บ จำไม่ได้”
คนไข้ตอบเสียงเย็น ปิดเปลือกตา ไม่รับรู้สถานการณ์ตรงหน้า ทิ้งให้หญิงสาวต้องรับหน้าตามลำพัง
“ทำไมเขาถึงจำไม่ได้ล่ะคะคุณหมอ”
“จากที่ทำซีทีสแกนแล้วไม่พบความผิดปกตินะครับ เป็นไปได้ว่าสมองคนไข้อาจกระทบกระเทือน มีคนไข้บางรายที่ความจำเสื่อมจากอุบัติเหตุหรือการถูกทำร้าย แต่ความทรงจำจะหายไปแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันความทรงจำก็กลับมา คงต้องให้เวลาคนไข้พักฟื้นอีกสักสองสามวัน อาการน่าจะดีขึ้นครับ”
คุณหมอเอ่ยจบก็ขอตัวไปดูแลคนไข้อื่น เธอเลยหันมาปรึกษาญาติฝั่งแม่แทน
“แล้วถ้าเขาจำไม่ได้เลยล่ะคะน้าแก้ว”
“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง น้าว่าอย่าเพิ่งมองโลกในแง่ร้ายเลย ให้เขาพักฟื้นอีกสักสองสามวัน ไม่แน่ความทรงจำอาจจะกลับมาอย่างที่คุณหมอบอกก็ได้”
หญิงสาวพยักหน้าคล้อยตาม “ขอบคุณน้าแก้วมากนะคะที่เป็นธุระให้”
“ไม่เป็นไรหรอก รอให้อาการทรงตัวแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“ค่ะน้าแก้ว”
เนตรอัปสรลอบถอนหายใจ หวนนึกถึงเหตุการณ์ช็อกโลกแล้วยังตกใจไม่หาย หลังจากมีสติรับรู้ว่าคนที่จับข้อเท้าตนไว้ไม่ใช่ผี เธอก็ลนลานกดโทรศัพท์หาน้าสาว ยังดีที่ผู้เป็นน้าอยู่เวรห้องฉุกเฉินพอดี จึงช่วยจัดแจงให้ทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นเธอคงทำอะไรไม่ถูก
“ได้คุยกับพ่อเราบ้างรึเปล่าเนตร”
คำถามนี้ทำให้ริมฝีปากของสาวหน้าหวานเหยียดออกเป็นเส้นตรง รอยขุ่นใจผุดพรายขึ้นในดวงตาหวานซึ้งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“เนตรไม่มีอะไรจะคุยกับเขาหรอกค่ะน้าแก้ว”
“เราก็อย่าทิฐินักเลย เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วนะเนตร”
“เนตรไม่ได้ทิฐิค่ะ เพียงแต่ไม่อยากยุ่งกับพ่อ ไม่อยากให้ครอบครัวใหม่ของพ่อว่าเอาได้”
แก้วตาถอนหายใจแรงๆ “ทางโน้นก็เหลือเกิน พ่อลูกกันแท้ๆ ทำมาเป็นหวงก้าง ตัวเองมาทีหลังแท้ๆ”
“ช่างเถอะค่ะน้าแก้ว เนตรไม่อยากพูดถึงคนพวกนั้นอีก”
“เอาล่ะน้าขอตัวก่อน ต้องไปดูคนไข้ต่อ”
“ค่ะ อีกแป๊บนึงเนตรก็จะกลับแล้วค่ะน้าแก้ว”
คล้อยหลังน้าสาวไปแล้ว เปลือกตาเรียวยาวของคนไข้ก็เปิดขึ้น นัยน์ตาคมกล้าจับจ้องใบหน้าหวานซึ้งไว้ราวกับจะประทับความหวานละมุนให้แนบแน่นอยู่ในความทรงจำ
“ฉันไปก่อนนะคะคุณ”
“อย่า-ไป”
เนตรอัปสรชะงักฝีเท้า สบนัยน์ตาคมกริบที่ทอดมองมาอย่างเว้าวอน เห็นแล้วในใจพลันอ่อนยวบ อดคิดไม่ได้ว่าหากเธอความจำเสื่อม จำไม่ได้ว่าตนเองเป็นใครคงรู้สึกว้าเหว่และตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน
“ไม่ต้องกลัวนะคะคุณ แล้วฉันจะแวะมาใหม่”
เสียงทุ้มนุ่มปลอบใจคนฟัง ก่อนร่างเล็กบางจะก้าวพ้นไปจากสายตา ไม่หันกลับมามองคนไข้ที่พองแก้ม ปั้นหน้ามุ่ยเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครขัดใจเขามาก่อน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 ธ.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.