14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน วาสคนเขลา
บทที่หนึ่ง
‘คุณหนูรองสกุลหลี่แห่งอำเภอเฉิงเป่ยปัญญาอ่อนไปแล้ว!’
ข่าวที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ราวกับหญ้าแห้งฤดูใบไม้ร่วงถูกไฟป่าเผา ไม่จำเป็นต้องอาศัยแรงลมก็ลามไปเข้าหูชาวเมืองทั่วเมืองเหลียวเฉิงในทันที
เมืองเหลียวเฉิงเป็นเมืองเล็กแถบเจียงหนานของแคว้นฉู่ที่วุ่นวาย ถึงแม้ทางเหนือจะมีศึกและไฟสงครามไม่ขาดช่วง แต่ในเมืองเล็กแถบเจียงหนานแห่งนี้กลับสงบสุขและไม่ถูกสงครามรบกวน ผู้คนยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและอบอุ่นเรื่อยมา
บางครั้งก็มีคลื่นเล็กๆ เกิดขึ้นในน้ำนิ่งบ่อนี้ เป็นข่าวที่ขบวนสินค้าสกุลหลี่แห่งเมืองเหลียวเฉิงที่ทำการค้ามานานหลายปีนำกลับมา แต่ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวานสกุลไป๋พระญาติห่างๆ ของฮ่องเต้ต้าฉู่ควบคุมราชสำนักได้ หรือวันนี้หยวนซู่ที่ก่อกบฏทางเหนือโจมตียึดแผ่นดินทางเหนือได้กว่าครึ่ง เรื่องใหญ่ราวคลื่นลมแรงเหล่านี้ แท้จริงแล้วกลับไม่เกี่ยวอะไรกับผู้คนในเมืองเหลียวเฉิงเลย
อย่างไรเสียไม่ว่าผู้ใดจะเป็นฮ่องเต้ แตงดองกินแกล้มข้าวที่ใส่ในชามกระเบื้องทุกวันยังคงเปรี้ยวอร่อย ใบชาที่ชงในกาดินยังคงหอมสดชื่น แค่ได้ฟังดนตรีหนึ่งเพลงหลังกินอาหารดื่มชา เวลาสบายอารมณ์หนึ่งวันก็จะผ่านไปภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง
ทว่าการเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูรองสกุลหลี่แห่งอำเภอเฉิงเป่ย สำหรับชาวเมืองเหลียวเฉิงแล้ว น่าตกใจหวาดหวั่นยิ่งกว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ถูกสกุลไป๋พระญาติห่างๆ ยึดอำนาจไปจนสิ้นเสียอีก!
คุณหนูรองหลี่เป็นผู้ใดน่ะหรือ นางมิใช่หญิงชราที่รัดเท้าเล็ก ใช้ชีวิตด้วยการเย็บปักในครอบครัวคนทั่วไปแน่นอน
อาศัยความสามารถในการต่อเรือชั้นสูงและประสบการณ์การเดินเรือที่มีมากมาย ขบวนสินค้าสกุลหลี่ก็คุมแถบแม่น้ำต้าเจียงเหนือจรดใต้แล้ว ถึงขั้นเคยขนสัมภาระการทหารให้เรือทหารราชสำนักต้าฉู่ด้วยซ้ำ
หลังจากนายท่านหลี่ป่วยตายไปเมื่อปีที่แล้ว ผู้ที่รับภาระหนักของสกุลหลี่จึงตกไปอยู่ที่คุณหนูรองสกุลหลี่ หลี่รั่วอวี๋
สกุลหลี่มาถึงรุ่นนี้ มีบุรุษสืบสกุลน้อยลง บุตรชายภรรยาเอกเพียงคนเดียวอายุแค่เจ็ดขวบ บุตรสาวที่เหลืออีกสองคน ก็คือพี่สาวคนโตที่แต่งงานไปแล้ว และพี่สาวคนรองอายุสิบเจ็ดปีที่มีชื่อว่าหลี่รั่วอวี๋
หลี่รั่วอวี๋ผู้นี้แม้จะเป็นสตรีตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง แต่มีความฉลาดเหนือผู้ใดมาตั้งแต่เด็ก ด้วยชอบเข้าออกห้องหนังสือของบิดา ได้ยินได้เห็นมามาก จึงได้ออกแบบเรือเล็กความเร็วสูงที่เดินทางได้วันละพันลี้* ปกปิดชื่อเข้าร่วมการแข่งขันต่อเรือในตอนนั้นและได้รางวัลชนะเลิศ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
นับจากตอนนั้น หลังจากนายท่านหลี่ครุ่นคิดอย่างหนักก็ทำการที่น่าตกใจอย่างการส่งต่อเคล็ดวิชาการต่อเรือสกุลหลี่ที่ไม่เคยถ่ายทอดให้สตรีชื่อว่า ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ ให้กับหลี่รั่วอวี๋บุตรสาวคนที่สองของตนเอง คุณหนูรองหลี่ผู้นี้ก็ไม่ทำให้ท่านพ่อเสียทีที่รักใคร่ ทำให้วิชาการต่อเรือของสกุลหลี่กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
เรือของสกุลหลี่ใช้เงินหมื่นตำลึงทองก็ยังหาได้ยาก คุณหนูรองหลี่ยิ่งเป็นเสมือนของล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้ คนที่มาทาบทามสู่ขอถึงบ้านมีไม่ขาดสาย รองเท้าปักที่แม่สื่อขจัดทิ้งสามารถเติมเต็มแม่น้ำอวิ้นเหอนอกเมืองเหลียวเฉิงได้เลยทีเดียว
คุณหนูรองหลี่อายุยังน้อย แต่มีความคิดมาก ประกาศกับคนภายนอกว่าวิชาสกุลหลี่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอก หากมีใจให้นางจริง ก็ต้องแต่งเข้าสกุลหลี่ มาเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าสกุล
แต่แม้จะยื่นเงื่อนไขโหดร้ายเช่นนี้ออกไป คนที่เข้ามาขอแต่งงานก็ยังไม่ขาดสาย สุดท้าย เสิ่นหรูป๋อคุณชายรองสกุลเสิ่น ตระกูลใหญ่แห่งเจียงหนานผู้งามสง่า ความรู้ความสามารถเกินผู้ใดก็เอาชนะใจของหลี่รั่วอวี๋ได้ หลายปีก่อนได้ทำการหมั้นหมายกัน เดิมทีจะจัดงานแต่งในเดือนหน้า…
ทว่าหญิงสาวที่สุขุมฉลาดเกินผู้ใดเช่นนี้ หลังจากเกิดอุบัติเหตุตกจากหลังม้า บาดเจ็บที่หัวและกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไป… ช่างทำให้คนเห็นต้องทอดถอนใจ สวรรค์อิจฉาคนงามจริงๆ!
นอกจากทอดถอนใจแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นของชาวเมืองเหลียวเฉิงก็ยังอดกลั้นไว้ไม่อยู่ ล้วนพูดกันว่าเมื่อตกทุกข์จะเห็นความจริงใจ ตอนนี้หญิงที่มีความสามารถมากกลายเป็นคนปัญญาอ่อน เช่นนั้นคุณชายรองสกุลเสิ่นยังจะยอมแต่งเข้าสกุลหลี่อีกหรือไม่
“แน่นอนว่าจะแต่งงานแบบนี้ไม่ได้แล้ว!” ผู้ที่พูดคือเสิ่นเฉียวซื่อ* ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่น
หลังวางกระบอกยาเส้นกระดองเต่าในมือลงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นที่กึ่งเอนนอนอยู่บนตั่งนิ่มก็เลิกคิ้วพูดเสียงยานคาง “ป๋อเอ๋อร์ เจ้าต้องคิดให้ดีก่อนทำนะ สกุลหลี่ของนางต่อให้ร่ำรวยล้นฟ้าเพียงใด ก็เป็นแค่พ่อค้า เดิมทีก็ไม่คู่ควรกับครอบครัวขุนนางของพวกเราอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะรุ่นท่านพ่อของเจ้า ดวงการเป็นขุนนางของสกุลเสิ่นไม่สู้ดี พี่ใหญ่เจ้าอยู่ในราชสำนักได้รับความเดือดร้อนจากคดีก่อความวุ่นวายของหวังฉี ถูกเนรเทศไปที่หลิ่งหนานถิ่นทุรกันดาร แม่คงไม่ยอมให้เจ้าลดตัวเอง แต่งเข้าไปในบ้านหญิงร้ายกาจผู้นั้นหรอก…”
พูดถึงตรงนี้ นางก็ผ่อนลมหายใจ ก่อนจะสูบกระบอกยาเส้นอีกหนึ่งที แล้วพูดต่อท่ามกลางไอควัน “เดิมคิดว่าหลี่รั่วอวี๋นั่นแม้จะไม่ใช่หญิงที่เพียบพร้อม อย่างไรเสียก็ได้รับวิชาของสกุลหลี่เพียงผู้เดียว และมีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลไป๋พระญาติห่างๆ ของราชสำนัก สามารถช่วยสกุลเสิ่นของพวกเราได้ แต่ตอนนี้ตกม้าทำให้สมองซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่มีค่าเสียไป เจ้ายังจะเอานางมาทำอะไรอีกเล่า”