14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน วาสคนเขลา
ในเวลาเดียวกันนี้ ณ ลานล่าสัตว์ที่เมืองเหลียวเฉิง ใต้เท้าเมิ่งผู้ช่วยนายอำเภอเมืองเหลียวเฉิงกำลังแอบใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อใต้หมวกขุนนางตรงมุมหน้าผาก มองดูชายหนุ่มผมขาวที่นั่งอยู่ใต้เพิงพักร้อนอย่างระวังตัว
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี ดวงอาทิตย์ร้อนแรงมาก แต่ใต้เพิงพักร้อนที่สร้างขึ้นอย่างประณีตล้วนกันแดดได้หมด เห็นเพียงชายหนุ่มผมขาวตัวสูงใหญ่ผู้นั้นสวมชุดล่าสัตว์สีขาวนวลทั้งตัว สายรัดเอวแถบใหญ่ทำให้ร่างนั้นดูงามสง่าขึ้น ผมสีเงินน่าประหลาดในตอนนี้ถูกรวบอย่างเรียบร้อยไว้ในที่ครอบผมรูปกรงเล็บทอง ทำให้คิ้วและดวงตาโฉบเฉี่ยวนั้นยิ่งดูน่าหลงใหล
ถึงแม้ท่านั่งของท่านซือหม่าจะงามสง่าอย่างมาก ทำให้คนมองได้ไม่เบื่อ แต่ผู้ช่วยนายอำเภอเมิ่งกลับคิดว่าตนเองต้องเตือนสติสักนิด ดังนั้นจึงรวบรวมความกล้า ลูบหนวดใต้คางแล้วถามว่า “ใกล้เที่ยงแล้ว เวลาดีในการล่าสัตว์ในลานล่าสัตว์นี้จะผ่านไปแล้ว ใต้เท้ายินดีจะให้ชาวเมืองเหลียวเฉิงอย่างพวกเราได้เห็นความงามสง่าของใต้เท้าตอนง้างธนูล่าสัตว์ได้หรือไม่”
ฉู่จิ้งเฟิงหรี่ตาที่กำลังมองหมอกบางสุดปลายเขาของลานล่าสัตว์ ไม่รู้ว่าใจลอยไปที่ใด จู่ๆ ก็ถูกผู้ช่วยนายอำเภอเมิ่งตัดบทความคิด จึงแค่นเสียงสบถอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่มองผู้ช่วยนายอำเภอแม้แต่น้อย ผุดลุกและขึ้นหลังม้าจากไปทันที
อำเภอเล็กห่างไกลความเจริญเช่นนี้ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน วันนี้เขาเหมือนถูกผีเข้า รับข้อเสนอของผู้ช่วยนายอำเภอที่คิดประจบมาล่าสัตว์ที่นี่เพื่อฆ่าเวลา
คนที่มาจากทางเหนือ คิดถึงการล่าสัตว์ก็จะนึกไปถึงพวกเสือสางหมาป่าหมูป่าหรือหมีดำ ต่อสู้กับพวกสัตว์ร้ายที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนเหล่านั้น ใช้มีดสั้นปักลงที่หัวใจเหยื่อด้วยตนเอง ทำให้คนเลือดเดือดพล่านได้ เขาไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมานานแล้ว น่าจะสามารถหาความสำราญได้สักพัก…
แต่พอมาถึงลานล่าสัตว์เมืองเหลียวเฉิง ซือหม่ารู้สึกว่าตนเองโง่เหลือเกินที่สั่งให้ผู้ใต้บัญชาแบกคันธนูลูกธนูทั้งชุด พกดาบโค้งฝ่าเขา เอาเหยี่ยวล่าสัตว์ที่ผ่านการฝึกฝนเตรียมพร้อมมาถึงที่นี่…ในป่าที่มีแต่ต้นไม้เตี้ยๆ
จะบอกว่าเป็นลานล่าสัตว์ แท้จริงแล้วไม่ใหญ่กว่าลานสวนสนามทหารเท่าใดนัก ต้นไม้ ลำธารและภูเขาทุกอย่างมองได้อย่างชัดเจนภายในครั้งเดียว
สำหรับลานล่าสัตว์… เดิมคิดว่ากระต่ายหลายสิบตัวที่อ้วนกลมจนดูเหมือนโง่เง่าในกอหญ้าเหล่านั้นจะเป็นเหยื่อล่อให้สัตว์มาติดกับ คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าเมิ่งจะบอกออกมาตามตรงว่ากระต่ายอ้วนเหล่านั้นเป็นตัวหลักของการล้อมล่าในวันนี้ จากนั้นก็ดึงคันธนูแสดงการล่ากระต่ายอย่างมีความสุข…
ต่อมาเห็นท่าทางพวกเศรษฐีโง่เง่าที่มาพร้อมกับใต้เท้าเมิ่งดึงคันธนูปล่อยลูกธนูไปอย่างเก้กัง ฉู่จิ้งเฟิงรู้ว่านอกเสียจากกระต่ายหลายสิบตัวนั้นจะเบื่อโลกอยากฆ่าตัวตาย วิ่งเข้ามาชนลูกธนูเอง ไม่เช่นนั้นพวกคนโง่บ้านนอกเช่นนั้นคงจับอะไรไม่ได้เลย
ความสนุกที่เขายังพอมีเล็กน้อยแต่เดิมดับมอดไปเช่นนี้ โชคดีที่ทิวทัศน์ที่นี่ไม่เลว ภาพเหตุการณ์ภายใต้แสงตะวันทำให้เห็นความงามของเจียงหนานได้บ้าง เขาจึงดื่มชาชมทิวทัศน์ไป ปล่อยสมองว่างเปล่าไปกับความเปลี่ยนแปลงของปุยเมฆ… คิดไม่ถึงว่าความสนุกเพียงนิดที่เหลืออยู่นี้จะถูกชายแก่ที่พูดไม่หยุดอยู่ด้านข้างทำลายไป ในตอนนี้เขาจึงลุกขึ้นและเตรียมจะกลับคฤหาสน์
แต่ก่อนจะจากไป ควรให้จี๋เฟิงเหยี่ยวที่รักได้สนุกบ้าง เขาจึงสั่งให้คนเลี้ยงเหยี่ยวคลายโซ่ ให้จี๋เฟิงได้สนุกสนาน ใช้กระต่ายอ้วนที่สร้างความสนุกให้กับพวกเศรษฐีเหล่านั้นมาลับกรงเล็บบ้าง
ทว่ากระต่ายในวันนี้ไม่รู้ว่าเป็นปีศาจหรือไม่ จี๋เฟิงเพิ่งจะกางปีกบินขึ้นบนท้องฟ้าได้หนึ่งรอบ เล็งเหยื่อไว้แล้วพุ่งลงมาได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องแหลมและสั้นรัวของจี๋เฟิงดังลอยมา
ฉู่จิ้งเฟิงได้ยินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป คิดว่าจี๋เฟิงคงจะเจองูพิษ จึงรีบหันหัวม้าทะยานเข้าไปในป่าที่เกิดเสียงทันที
รอจนเข้าไปในป่า ซือหม่าที่นั่งอยู่บนหลังม้าเห็น ‘ภาพเหตุการณ์’ ตรงหน้าได้อย่างชัดเจนจึงเบิกตาโตอย่างช้าๆ…
เห็นเพียงคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยดินโคลนผู้หนึ่งกำลังกดตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ไว้แน่น ความตื่นเต้นบนใบหน้าแม้แต่ดินโคลนที่หนาเตอะก็ยังปิดบังไว้ไม่มิด
“เจ้าทำอะไรอยู่” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตะคอก
มนุษย์ดินโคลนผู้นั้นดูเหมือนจะถูกเสียงตะคอกทำให้ตกใจ ร่างนั้นแข็งเกร็งอยู่บนตะกร้าใหญ่นั่นทันที พูดอึกอักเสียงเบาว่า “นก…ย่างนกกระจอกกิน”
ฉู่จิ้งเฟิงรีบมองสำรวจกิ่งไม้ใหญ่ข้างตะกร้าไม้ไผ่ที่ถูกผูกด้วยแถบผ้า แถบผ้าทอดยาวไปถึงด้านหลังต้นไม้ใหญ่ไกลออกไปสิบจั้ง* จากช่องบนตะกร้าไม้ไผ่ เห็นเจ้าจี๋เฟิงกับกระต่ายโง่ที่ถูกผูกขาหลังไว้ตัวหนึ่งได้รางๆ
การใช้ตะกร้าไม้ไผ่เอาไม้ค้ำเป็นวิธีโบราณในการจับนกกระจอกของเด็กบ้านนอก แต่วันนี้กลับถูกหญิงผู้นี้เอามาจับเหยี่ยวที่รักของตนเอง…
กวนป้าที่ตามมาติดๆ เห็นชัดเจนแล้วว่ามนุษย์ดินโคลนผู้นั้นเป็นผู้ใดก็สูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ ในใจคิดว่า… หญิงสาวผู้นี้จะแค้นแม้กระทั่งนกของซือหม่าเลยหรือ ครั้งก่อน…นกตัวสำคัญก็เสียหายไปไม่น้อย วันนี้ยังมาทำลายศักดิ์ศรีเหยี่ยวที่รักของซือหม่าอีกหรือ!
เรื่องนี้สุดจะทนได้อีกแล้ว
หลี่รั่วอวี๋ได้รับการถ่ายทอดมาจากเหล่าสหายของน้องชายวัยเยาว์จริงๆ ทั้งยังเอาวิธีการจับนกกระจอกนั้นมาปรับปรุงให้ดีขึ้น
และสวรรค์ก็ช่วยนาง พวกกระต่ายที่ถูกเศรษฐีกลุ่มนั้นไล่มาตลอดเช้าเหน็ดเหนื่อยหมดแรง มีอยู่หนึ่งตัวโชคร้ายถูกลูกธนูบาดเจ็บที่ขา จึงถูกหลี่รั่วอวี๋ตะครุบจับได้อย่างง่ายดาย ทว่าหญิงสาวผู้หิวโซไม่ได้เอากระต่ายขาวตัวอ้วนใส่ไว้ในรายชื่ออาหาร เพราะใจนึกถึงรสชาตินกกระจอกย่างที่เหล่าสหายของน้องชายเคยทำให้กิน บนฟ้ามีนกตัวใหญ่อย่างนั้น ย่างสุกแล้วต้องมีรสชาติอร่อยมากอย่างแน่นอน!
เห็นนกตัวนั้นไล่ตามกระต่ายอยู่ หลี่รั่วอวี๋จึงเกิดความคิด ใช้อุปกรณ์ที่มีในมือสร้างกับดักขึ้น จับ ‘นกกระจอก’ ตัวใหญ่เป็นพิเศษตัวนั้นเอาไว้ได้
แต่ความตื่นเต้นยังไม่ทันผ่านไป พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายผมขาวที่เคยพบหน้าจู่ๆ ก็มาปรากฏตัวที่นี่ และกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าสูงมองมาที่นางด้วยสายตาเย็นชา… ตอนที่ถูกเขาถาม ไม่รู้เพราะเหตุใด นางจึงตื่นเต้นจนพูดความในใจว่าอยากจะย่างนกกระจอกกิน
Comments
