X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักวาสนาคนเขลา

ทดลองอ่าน วาสนาคนเขลา บทที่สาม-บทที่สี่

หน้าที่แล้ว1 of 28

บทที่สาม

ในเวลาเดียวกันนี้ ณ ลานล่าสัตว์ที่เมืองเหลียวเฉิง ใต้เท้าเมิ่งผู้ช่วยนายอำเภอเมืองเหลียวเฉิงกำลังแอบใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อใต้หมวกขุนนางตรงมุมหน้าผาก มองดูชายหนุ่มผมขาวที่นั่งอยู่ใต้เพิงพักร้อนอย่างระวังตัว

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี ดวงอาทิตย์ร้อนแรงมาก แต่ใต้เพิงพักร้อนที่สร้างขึ้นอย่างประณีตล้วนกันแดดได้หมด เห็นเพียงชายหนุ่มผมขาวตัวสูงใหญ่ผู้นั้นสวมชุดล่าสัตว์สีขาวนวลทั้งตัว สายรัดเอวแถบใหญ่ทำให้ร่างนั้นดูงามสง่าขึ้น ผมสีเงินน่าประหลาดในตอนนี้ถูกรวบอย่างเรียบร้อยไว้ในที่ครอบผมรูปกรงเล็บทอง ทำให้คิ้วและดวงตาโฉบเฉี่ยวนั้นยิ่งดูน่าหลงใหล

ถึงแม้ท่านั่งของท่านซือหม่าจะงามสง่าอย่างมาก ทำให้คนมองได้ไม่เบื่อ แต่ผู้ช่วยนายอำเภอเมิ่งกลับคิดว่าตนเองต้องเตือนสติสักนิด ดังนั้นจึงรวบรวมความกล้า ลูบหนวดใต้คางแล้วถามว่า “ใกล้เที่ยงแล้ว เวลาดีในการล่าสัตว์ในลานล่าสัตว์นี้จะผ่านไปแล้ว ใต้เท้ายินดีจะให้ชาวเมืองเหลียวเฉิงอย่างพวกเราได้เห็นความงามสง่าของใต้เท้าตอนง้างธนูล่าสัตว์ได้หรือไม่”

ฉู่จิ้งเฟิงหรี่ตาที่กำลังมองหมอกบางสุดปลายเขาของลานล่าสัตว์ ไม่รู้ว่าใจลอยไปที่ใด จู่ๆ ก็ถูกผู้ช่วยนายอำเภอเมิ่งตัดบทความคิด จึงแค่นเสียงสบถอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่มองผู้ช่วยนายอำเภอแม้แต่น้อย ผุดลุกและขึ้นหลังม้าจากไปทันที

อำเภอเล็กห่างไกลความเจริญเช่นนี้ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน วันนี้เขาเหมือนถูกผีเข้า รับข้อเสนอของผู้ช่วยนายอำเภอที่คิดประจบมาล่าสัตว์ที่นี่เพื่อฆ่าเวลา

คนที่มาจากทางเหนือ คิดถึงการล่าสัตว์ก็จะนึกไปถึงพวกเสือสางหมาป่าหมูป่าหรือหมีดำ ต่อสู้กับพวกสัตว์ร้ายที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนเหล่านั้น ใช้มีดสั้นปักลงที่หัวใจเหยื่อด้วยตนเอง ทำให้คนเลือดเดือดพล่านได้ เขาไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมานานแล้ว น่าจะสามารถหาความสำราญได้สักพัก…

แต่พอมาถึงลานล่าสัตว์เมืองเหลียวเฉิง ซือหม่ารู้สึกว่าตนเองโง่เหลือเกินที่สั่งให้ผู้ใต้บัญชาแบกคันธนูลูกธนูทั้งชุด พกดาบโค้งฝ่าเขา เอาเหยี่ยวล่าสัตว์ที่ผ่านการฝึกฝนเตรียมพร้อมมาถึงที่นี่…ในป่าที่มีแต่ต้นไม้เตี้ยๆ

จะบอกว่าเป็นลานล่าสัตว์ แท้จริงแล้วไม่ใหญ่กว่าลานสวนสนามทหารเท่าใดนัก ต้นไม้ ลำธารและภูเขาทุกอย่างมองได้อย่างชัดเจนภายในครั้งเดียว

สำหรับลานล่าสัตว์… เดิมคิดว่ากระต่ายหลายสิบตัวที่อ้วนกลมจนดูเหมือนโง่เง่าในกอหญ้าเหล่านั้นจะเป็นเหยื่อล่อให้สัตว์มาติดกับ คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าเมิ่งจะบอกออกมาตามตรงว่ากระต่ายอ้วนเหล่านั้นเป็นตัวหลักของการล้อมล่าในวันนี้ จากนั้นก็ดึงคันธนูแสดงการล่ากระต่ายอย่างมีความสุข…

ต่อมาเห็นท่าทางพวกเศรษฐีโง่เง่าที่มาพร้อมกับใต้เท้าเมิ่งดึงคันธนูปล่อยลูกธนูไปอย่างเก้กัง ฉู่จิ้งเฟิงรู้ว่านอกเสียจากกระต่ายหลายสิบตัวนั้นจะเบื่อโลกอยากฆ่าตัวตาย วิ่งเข้ามาชนลูกธนูเอง ไม่เช่นนั้นพวกคนโง่บ้านนอกเช่นนั้นคงจับอะไรไม่ได้เลย

ความสนุกที่เขายังพอมีเล็กน้อยแต่เดิมดับมอดไปเช่นนี้ โชคดีที่ทิวทัศน์ที่นี่ไม่เลว ภาพเหตุการณ์ภายใต้แสงตะวันทำให้เห็นความงามของเจียงหนานได้บ้าง เขาจึงดื่มชาชมทิวทัศน์ไป ปล่อยสมองว่างเปล่าไปกับความเปลี่ยนแปลงของปุยเมฆ… คิดไม่ถึงว่าความสนุกเพียงนิดที่เหลืออยู่นี้จะถูกชายแก่ที่พูดไม่หยุดอยู่ด้านข้างทำลายไป ในตอนนี้เขาจึงลุกขึ้นและเตรียมจะกลับคฤหาสน์

แต่ก่อนจะจากไป ควรให้จี๋เฟิงเหยี่ยวที่รักได้สนุกบ้าง เขาจึงสั่งให้คนเลี้ยงเหยี่ยวคลายโซ่ ให้จี๋เฟิงได้สนุกสนาน ใช้กระต่ายอ้วนที่สร้างความสนุกให้กับพวกเศรษฐีเหล่านั้นมาลับกรงเล็บบ้าง

ทว่ากระต่ายในวันนี้ไม่รู้ว่าเป็นปีศาจหรือไม่ จี๋เฟิงเพิ่งจะกางปีกบินขึ้นบนท้องฟ้าได้หนึ่งรอบ เล็งเหยื่อไว้แล้วพุ่งลงมาได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องแหลมและสั้นรัวของจี๋เฟิงดังลอยมา

ฉู่จิ้งเฟิงได้ยินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป คิดว่าจี๋เฟิงคงจะเจองูพิษ จึงรีบหันหัวม้าทะยานเข้าไปในป่าที่เกิดเสียงทันที

รอจนเข้าไปในป่า ซือหม่าที่นั่งอยู่บนหลังม้าเห็น ‘ภาพเหตุการณ์’ ตรงหน้าได้อย่างชัดเจนจึงเบิกตาโตอย่างช้าๆ…

เห็นเพียงคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยดินโคลนผู้หนึ่งกำลังกดตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ไว้แน่น ความตื่นเต้นบนใบหน้าแม้แต่ดินโคลนที่หนาเตอะก็ยังปิดบังไว้ไม่มิด

“เจ้าทำอะไรอยู่” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตะคอก

มนุษย์ดินโคลนผู้นั้นดูเหมือนจะถูกเสียงตะคอกทำให้ตกใจ ร่างนั้นแข็งเกร็งอยู่บนตะกร้าใหญ่นั่นทันที พูดอึกอักเสียงเบาว่า “นก…ย่างนกกระจอกกิน”

ฉู่จิ้งเฟิงรีบมองสำรวจกิ่งไม้ใหญ่ข้างตะกร้าไม้ไผ่ที่ถูกผูกด้วยแถบผ้า แถบผ้าทอดยาวไปถึงด้านหลังต้นไม้ใหญ่ไกลออกไปสิบจั้ง จากช่องบนตะกร้าไม้ไผ่ เห็นเจ้าจี๋เฟิงกับกระต่ายโง่ที่ถูกผูกขาหลังไว้ตัวหนึ่งได้รางๆ

การใช้ตะกร้าไม้ไผ่เอาไม้ค้ำเป็นวิธีโบราณในการจับนกกระจอกของเด็กบ้านนอก แต่วันนี้กลับถูกหญิงผู้นี้เอามาจับเหยี่ยวที่รักของตนเอง…

กวนป้าที่ตามมาติดๆ เห็นชัดเจนแล้วว่ามนุษย์ดินโคลนผู้นั้นเป็นผู้ใดก็สูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ ในใจคิดว่า… หญิงสาวผู้นี้จะแค้นแม้กระทั่งนกของซือหม่าเลยหรือ ครั้งก่อน…นกตัวสำคัญก็เสียหายไปไม่น้อย วันนี้ยังมาทำลายศักดิ์ศรีเหยี่ยวที่รักของซือหม่าอีกหรือ!

เรื่องนี้สุดจะทนได้อีกแล้ว

หลี่รั่วอวี๋ได้รับการถ่ายทอดมาจากเหล่าสหายของน้องชายวัยเยาว์จริงๆ ทั้งยังเอาวิธีการจับนกกระจอกนั้นมาปรับปรุงให้ดีขึ้น

และสวรรค์ก็ช่วยนาง พวกกระต่ายที่ถูกเศรษฐีกลุ่มนั้นไล่มาตลอดเช้าเหน็ดเหนื่อยหมดแรง มีอยู่หนึ่งตัวโชคร้ายถูกลูกธนูบาดเจ็บที่ขา จึงถูกหลี่รั่วอวี๋ตะครุบจับได้อย่างง่ายดาย ทว่าหญิงสาวผู้หิวโซไม่ได้เอากระต่ายขาวตัวอ้วนใส่ไว้ในรายชื่ออาหาร เพราะใจนึกถึงรสชาตินกกระจอกย่างที่เหล่าสหายของน้องชายเคยทำให้กิน บนฟ้ามีนกตัวใหญ่อย่างนั้น ย่างสุกแล้วต้องมีรสชาติอร่อยมากอย่างแน่นอน!

เห็นนกตัวนั้นไล่ตามกระต่ายอยู่ หลี่รั่วอวี๋จึงเกิดความคิด ใช้อุปกรณ์ที่มีในมือสร้างกับดักขึ้น จับ ‘นกกระจอก’ ตัวใหญ่เป็นพิเศษตัวนั้นเอาไว้ได้

แต่ความตื่นเต้นยังไม่ทันผ่านไป พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายผมขาวที่เคยพบหน้าจู่ๆ ก็มาปรากฏตัวที่นี่ และกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าสูงมองมาที่นางด้วยสายตาเย็นชา… ตอนที่ถูกเขาถาม ไม่รู้เพราะเหตุใด นางจึงตื่นเต้นจนพูดความในใจว่าอยากจะย่างนกกระจอกกิน

ชั่วขณะต่อมา นางก็ถูกชายผู้นั้นยกตัวด้วยมือเดียวขึ้นบนหลังม้า แล้วควบออกจากป่าอย่างรวดเร็ว

เขาไม่ได้รีบเดินทางกลับโรงเตี๊ยม แต่ไปยังที่มีภูเขาเขียวน้ำสวยอีกแห่งหนึ่งนอกเมือง…

นั่นคือภูเขาเล็กที่เขาจ้องมองจากที่ไกลมาตลอด เขาสั่งให้องครักษ์ซื้อฟืนจากคนตัดฟืนบนเขา แล้วให้ชาวบ้านในบริเวณนี้จากไปก่อน ภายในเขาจึงสงบเงียบลงอย่างหาได้ยาก จากนั้นการเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางมานับว่าได้ใช้งานแล้ว กระโจมหนังวัวถูกกางออก ชายฉกรรจ์หลายคนใช้พลั่วเหล็กขุดหลุมใหญ่บนพื้นอย่างชำนาญ ฟืนหลายมัดที่ซื้อมาถูกวางไว้ในหลุมและก่อเป็นกองไฟ

จี๋เฟิงกระพือปีกหลังจากถูกปล่อยออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ แล้วยืนอย่างตื่นกลัวอยู่บนบ่าคนเลี้ยงเหยี่ยวพลางจิกไซ้ขนที่ยุ่งเหยิง พยายามรักษาความภาคภูมิของเหยี่ยวแห่งแคว้นทางเหนือเอาไว้อย่างถึงที่สุด

แต่กระต่ายน้อยน่าสงสารตัวนั้นไม่โชคดีอย่างนี้ มันถูกถลกหนังผ่าท้อง หั่นเป็นชิ้นเสียบไม้ กลายเป็นเนื้อกระต่ายย่างอันโอชะ

ส่วนคนอื่นอีกหลายคนไม่นานก็จับไก่ป่ามาได้ กอปรกับผลไม้และใบชาที่นำมาเอง อาหารกลางวันมื้อนี้จึงนับว่าอุดมสมบูรณ์มาก

ฉู่จิ้งเฟิงรับผ้าเปียกที่กวนป้ายื่นมาให้ ก่อนจะโยนไปบนตัวมนุษย์ดินโคลนที่ขดตัวอยู่ในมุมกระโจม เห็นนางไม่คิดจะทำความสะอาดเอง เขาจึงขมวดคิ้วและนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปหยิบผ้าเปียกขึ้นมาเช็ดดินโคลนบนใบหน้าและบนมือของนางอย่างอดทน เผยให้เห็นเนื้อขาวนวลแต่เดิมทีละนิดๆ

หลี่รั่วอวี๋ลอบช้อนตาขึ้นมองสำรวจชายหนุ่มที่กำลังเช็ดสองมือให้นาง เป็นครั้งแรกที่เห็นนัยน์ตาประหลาดคู่นั้นกลับเป็นสีดำปกติ ผมสีขาวเงินทำให้ผิวสีแทนของเขาเป็นมันวาวอย่างประหลาด จมูกสูงโด่งและขนตางอนยาวนั้นไม่มีส่วนใดไม่น่าดู

หากไม่ใช่เพราะหิวเหลือเกิน หลี่รั่วอวี๋คิดว่าตนเองยังสามารถมองเขาได้นานอีกนิด ทว่ายามนั้นเสียงท้องร้องจ๊อกๆ ดังขึ้น นางจึงพูดเสียงเบาว่า “หิวๆ”

เกี่ยวกับหญิงสาวมหัศจรรย์แห่งเมืองเหลียวเฉิงผู้นี้ เรื่องราวของนางสืบรู้ได้ง่ายมาก เดิมทีคิดว่าเพราะนางบุกเข้าไปในลานอาบน้ำที่เขาอาบน้ำอยู่จึงแกล้งทำบ้าบอ แต่พอสืบอย่างละเอียดแล้วจึงพบว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้ ผลลัพธ์จากอุบัติเหตุเมื่อสองเดือนก่อนครั้งนั้นน่าอนาถยิ่ง หญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลมพูดจางามสง่ากลับกลายเป็นคนที่พูดจาไม่ชัดเหมือนเด็กในตอนนี้…

ฉู่จิ้งเฟิงคลายมือที่จับชีพจรของนางออก บรรพบุรุษของเขาเป็นแพทย์มาหลายรุ่น เขาเองก็เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ จากชีพจรของนางเมื่อครู่ ชีพจรตึงเครียดจริงๆ อุดเส้นความคิดจิตใจเอาไว้

ที่ผ่านมาต่อให้ฉลาดแข็งแกร่งแล้วอย่างไร ก็ยังมีสภาพเหมือนเช่นตอนนี้ไม่ใช่หรือ คนทางบ้านของนางไม่สนใจนางแล้วหรือ ปล่อยให้นางมาเดินเล่นที่ลานล่าสัตว์เช่นนี้ หากมีลูกธนูยิงพลาด…

เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเขา ฉู่จิ้งเฟิงไม่อยากคิดต่อไป เขาสะบัดมืองามออก แล้วหมุนตัวไปนั่งลงข้างโต๊ะหยิบตำราทหารเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน สมองเสื่อมแล้วอย่างไร เขาไม่อาจเป็นเหมือนเหยี่ยวโง่ที่เขาเลี้ยงไว้ตัวนั้น ที่เห็นเหยื่อแล้วก็โผเข้าไปโดยไม่สนใจอะไร ได้แต่พุ่งหัวเข้าใส่จนเลือดออกครั้งแล้วครั้งเล่า…

ในตอนนี้เอง กวนป้ายกอาหารที่ย่างเสร็จแล้วเข้ามา หลังจากจ้องหลี่รั่วอวี๋แวบหนึ่งแล้วก็ลดมือถอยออกจากกระโจมไป

ฉู่จิ้งเฟิงยกมือขึ้นหยิบเนื้อกระต่ายเสียบไม้มาหนึ่งไม้ หางตาเหลือบเห็นร่างเล็กๆ นั้นขยับมาข้างกายตนเองเหมือนถูกดูดวิญญาณ มือเล็กจับมุมโต๊ะไว้แน่น ไม่โวยวาย ดวงตาโตจ้องตรงมายังปากที่เคี้ยวอาหารของเขาไม่วางตา ก่อนจะพยายามกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

ฉู่จิ้งเฟิงมองดูปลายลิ้นที่นางแลบออกมา เลียริมฝีปากแดงราวดอกอิงฮวา นั้นเบาๆ หัวคิ้วก็ขมวดเล็กน้อยอีกครั้ง

หลี่รั่วอวี๋กำลังมองเพลิน จู่ๆ ก็เห็นปากของชายหนุ่มไม่ขยับแล้ว นางอดใจกับแรงดึงดูดของกลิ่นหอมนั้นไม่ไหวอีกต่อไปจึงรวบรวมความกล้ายื่นคอไปกินเนื้อเสียบไม้ในมือของเขาทันที

ฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้ขยับหลบ ปล่อยให้ปากเล็กราวดอกอิงฮวานั้นเปื้อนน้ำมันทีละนิด สุดท้ายเนื้อกระต่ายเสียบไม้นั้นก็เข้าสู่ปากเล็กของนาง

เขาเลื่อนจานอาหารมาตรงหน้านาง ส่วนตนเองยกกาน้ำชาดินเผาเล็กกาหนึ่งขึ้นมา เตรียมจะชงชาร้อนสักถ้วย

คนในพื้นที่เมืองเหลียวเฉิงชอบดื่มชาที่ชงเอง กลิ่นหอมสดชื่นและรสชาติขมเฝื่อนเหมาะแก่การแก้ร้อนในขับพิษ เติมลูกบ๊วยแช่น้ำผึ้งสองสามเม็ด หรือสาลี่แห้งฝานบางลงในน้ำชา ก็ทำให้น้ำชามีรสชาติดีหาที่เปรียบไม่ได้ โดยเฉพาะใส่น้ำตาลกรวดก้อนเล็กๆ ที่ทำจากน้ำตาลอ้อย ยิ่งเข้ากับชารสขมแบบนี้มาก คนในพื้นที่เรียกว่า ‘ชาสามอย่าง’

ผู้ใต้บัญชาของเขาก็เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ฟังคำแนะนำจากเถ้าแก่ร้านชาแล้วก็ลองเตรียมเครื่องชาสดใหม่เหล่านี้ให้ผู้เป็นนาย แต่น่าเสียดายที่ฉู่จิ้งเฟิงไม่ใช่คนเมืองเหลียวเฉิง และไม่ชอบของหวานเลี่ยนเหล่านั้น เขาจึงใช้เพียงใบชา ไม่ได้ใส่เครื่องผลไม้เหล่านั้นเข้าไปด้วย กินเพียงชาขมลงท้องเท่านั้น ความขมเฝื่อนนั้นทำให้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้

ความขมเฝื่อนไหลไปตามปลายลิ้น รสชาตินี้เหมือนความรู้สึกในใจของเขาก่อนหน้านี้ เพียงแค่ชิมก็ยากจะลืมได้ไปชั่วชีวิต… เมื่อคิดถึงตรงนี้สายตาของเขาก็เลื่อนไปที่ตัวหญิงสาวข้างกายที่กินอิ่มและกำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่มพร้อมกับเขาอีกครั้ง

แม้จะสมองเสื่อม แต่เรื่องกินนี้ไม่เป็นปัญหาและยังพิถีพิถันเหมือนเดิม เห็นทีนางอยู่ที่บ้านคงจะดื่มชานี้อยู่เป็นประจำ ยามนี้นางจึงค่อยๆ โยนเม็ดบ๊วยกับสาลี่แห้ง ยังมีก้อนน้ำตาลสีแดงจางๆ สองเม็ดลงไปในถ้วยชา จากนั้นก็ยื่นมือไปชงชาร้อนหนึ่งถ้วย กลิ่นหอมประหลาดที่ผสานด้วยกลิ่นผลไม้กระจายไปทั่วกระโจมในทันที

ฉู่จิ้งเฟิงนั่งเอื่อยอยู่ด้านข้าง มองดูมือขาวสองข้างที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อนั้นอย่างไม่ตั้งใจ

หลังจากที่ชงชานั้นเสร็จแล้ว นางไม่ได้ยกขึ้นดื่ม แต่เลียปากก้มหน้าลง ทำท่าทางเหมือนลูกสุนัขดื่มจากข้างถ้วย นางคงจะกระหายมากเกินไป คุณหนูรองหลี่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วจึงดื่มน้ำเสียงดังสนั่น ไม่นานน้ำชาสีแดงนั่นก็แห้งจนเห็นก้นถ้วย

พอหลี่รั่วอวี๋ช้อนตาขึ้นก็เห็นดวงตาเรียวยาวนั่นจ้องนางนิ่ง… อ้อ เข้าใจแล้ว! เป็นโรคเดียวกับน้องชาย ชอบจ้องอาหารรสเลิศของนาง… ตอนนี้ภายในท้องมีความอุ่นแล้ว มีอารมณ์จะเล่นสนุกแล้ว หลี่รั่วอวี๋จึงคาบลูกบ๊วยในถ้วยเอาไว้ครึ่งลูก ก่อนจะจงใจคาบขยับเข้าใกล้ริมฝีปากของชายหนุ่ม

นี่เป็นการเล่นที่นางเล่นบ่อยครั้งและใช้แกล้งเสียนเอ๋อร์ได้ผลดีมาก ทุกครั้งที่นางได้ขนมประหลาดอะไรมาก็จะล่อให้เขาเข้ามาแล้วก็จะบิดเอวเล็กน้อยและขยับตัวออก ทำให้ใบหน้ากลมดูตะกละของเสียนเอ๋อร์เหมือนบัวลอยที่ใกล้จะระเบิด ก่อนจะร้องไห้โฮเสียงดัง

น่าเสียดายที่นางเหมือนจะลืมไปว่าคนตรงหน้าไม่ใช่เด็กน้อยน่ารักไร้เดียงสา ในตอนที่ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ หลี่รั่วอวี๋ก็เตรียมจะขยับถอยหลังอย่างได้ใจ แต่ท้ายทอยกลับถูกมือใหญ่ยึดไว้แน่น ไม่อาจขยับถอยหลังได้เลย ทำได้เพียงเบิกตาโตมองดูริมฝีปากบางใต้จมูกเป็นสันโด่งนั้นขยับเข้าหาตนเองอย่างช้าๆ

ถึงตอนนี้หลี่รั่วอวี๋จึงได้รู้สึกกลัว นางถูกดวงตานั้นจ้องจนรู้สึกหวาดหวั่น นึกอยากจะกลืนบ๊วยลงไปก็ไม่กล้า ทำได้เพียงมองหน้าเขาอย่างทำอะไรไม่ได้

ฉู่จิ้งเฟิงมองดวงตาสั่นไหวคู่นั้นแล้วก็พลันได้สติคืนมาทันที สีหน้านิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะผลักหญิงสาวลงบนเสื่อด้วยความรังเกียจอย่างแรง ไม่อยากเห็นท่าทางการกินของนางอีก

แรงจากการผลักนี้ทำให้ท้ายทอยของหลี่รั่วอวี๋กระแทกพื้นเสียงดังตึง นางถูกการกระทำอย่างฉับพลันของชายหนุ่มผู้นี้ทำให้ตกใจและทำให้รู้สึกเจ็บ จึงได้แต่มองตะลึงไป ยังไม่ทันคืนสติดีก็ถูกดึงตัวขึ้นมาแล้ว มือใหญ่ข้างนั้นนวดท้ายทอยของนางอย่างกักขฬะ

มองดูใบหน้าเย็นเยือกของเขาแล้ว หลี่รั่วอวี๋ก็ตัดสินใจว่าจากนี้ไปจะเกลียดชายผู้นี้ ดังนั้นจึงผลักอกของเขาอย่างแรง

ความอดทนของฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีก็มีไม่มาก เมื่อถูกนางผลักเช่นนี้ก็ยิ่งรำคาญใจ เพราะออกแรงที่มือมากเกินไปจึงสัมผัสเรือนร่างงดงามของคนในอ้อมกอดได้ชัดทุกอณู

สัมผัสที่อ่อนนุ่มทำให้เลือดทั่วกายของเขาร้อนระอุขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ความรู้สึกเช่นนี้สำหรับฉู่จิ้งเฟิงแล้วเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย แต่กลับเกิดขึ้นกับหญิงสาวที่ไม่รู้อะไรเสียเลยผู้นี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

เขาเป็นสุภาพบุรุษมาพอแล้ว! นางเป็นคนยั่วยวนเขาหลายต่อหลายครั้ง ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตนเองบ้างจึงจะดี

เมื่อคิดเช่นนี้ ร่างเล็กบางของหลี่รั่วอวี๋ก็ถูกผลักให้นอนลงบนพื้นอีกครั้ง จากนั้นริมฝีปากบางที่เย็นเฉียบก็ทาบมาบนริมฝีปากของนาง…

เมื่อครู่ชายหนุ่มดื่มชาอยู่ บนริมฝีปากยังเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของใบชา สัมผัสเย็นเฉียบและชุ่มชื้นทำให้รู้สึกสบายมาก แต่หลี่รั่วอวี๋ยังคงนึกดูถูกอยู่ในใจ เทียบเสียนเอ๋อร์ไม่ได้เสียเลย! เสียนเอ๋อร์ยังรู้ว่าของที่เข้าปากแล้วเอาคืนอีกไม่ได้ แต่ชายหนุ่มผมขาวผู้นี้กลับไม่ลดละ แม้แต่ลิ้นก็ยังยื่นเข้ามาด้วย…

หลี่รั่วอวี๋รู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบ ต้องพยายามทวงคืนมาสักนิดก็ยังดี จึงยื่นปลายลิ้นไปเลียบ้างอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ สุดท้ายก็งับริมฝีปากหอมกรุ่นของชายหนุ่มเอาไว้ไม่ยอมปล่อย พยายามดูดดึงเหมือนลูกสุนัขที่อ้าปากกินอาหาร…

ชายหนุ่มส่งเสียงครางเข้มผ่านลำคอ ร่างแข็งแรงนั้นทาบลงบนร่างนุ่มนั้นทั้งตัว

เพียงชั่วครู่นี้หลี่รั่วอวี๋ก็ตกเป็นรอง รู้สึกเพียงว่าหายใจไม่ทัน จึงผลักชายหนุ่มจะให้เขาลุกขึ้น

กว่าชายหนุ่มจะลุกขึ้นก็ไม่ง่ายนัก แต่คอเสื้อของหลี่รั่วอวี๋พลันถูกกระชากเปิดออก เผยให้เห็นลำคอระหงและเนินอกนูนสูงที่ถูกบังทรงรัดไว้แน่น ผิวขาวเนียนเป็นมัน เครื่องหอมรมควันกลิ่นมะลิที่กระจายออกมาระหว่างเนินอกที่กระเพื่อมช่างยั่วยวนให้คนจมอยู่ในเนินหิมะขาวผืนนี้…

ในยามนี้ความหอมนุ่มตรงหน้าทำให้เขาลืมไปว่านางเป็นคนสมองเสื่อม มีเพียงเสียงเลือดในหลอดเลือดไหลพล่านที่ดังสะท้อนอยู่ในส่วนลึกของหู…

“คน… คนเลว…” เสียงพูดปนสะอื้นนี้ทำลายบรรยากาศประหลาดในห้องนี้ลง หลี่รั่วอวี๋ถูกเขาทำให้ตกใจ พอเห็นในดวงตาของเขาปรากฏสีแดงจางๆ ขึ้นอีกครั้งก็ร้องไห้ออกมาทันที

ฉู่จิ้งเฟิงกลับเข้าสู่ความรังเกียจตนเองที่หิวโซจนไม่เลือกอาหารครั้งแล้วครั้งเล่า นี่เป็นคนสมองเสื่อมผู้หนึ่ง ความชื่นชอบของเขาฉู่จิ้งเฟิงตกต่ำถึงขั้นไปล่วงเกินหญิงสมองเสื่อมที่เป็นว่าที่ภรรยาผู้อื่นแล้วหรือ

คิดถึงตรงนี้ เขาก็ตะคอกเสียงเข้ม “หุบปาก!”

แต่น้ำตาของนางใช่บอกว่าหยุดก็หยุดได้ เสียงตะคอกทำลายขวัญศัตรูของซือหม่าต้าฉู่อยู่ต่อหน้าคุณหนูรองสกุลหลี่กลับใช้ไม่ได้ผล

หลังจากตะคอกรุนแรงดุดันแล้ว ก็เห็นน้ำตามารวมตัวกันมากขึ้น ฉู่จิ้งเฟิงที่ถูกเสียงร้องไห้ดังสนั่นทำให้สมองตื้อก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่ร้องไห้ ข้าจะให้เจ้าจับไก่ป่าดีหรือไม่”

หลี่รั่วอวี๋ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว เสียงสะอื้นก็ค่อยๆ เบาลง นางคิดสักครู่หนึ่งก็ยื่นมือออกไปช้าๆ เตรียมกลั้นหายใจจะดีดอย่างแรงสักที

ฉู่จิ้งเฟิงกุมข้อมือของนางที่คิดจะทำการอุกอาจแล้วสูดหายใจเข้าลึก หลุบตาลงแล้วพูดว่า “ความหมายของข้า คือไปจับไก่ในป่า…”

 

คฤหาสน์สกุลหลี่เมืองเหลียวเฉิงในตอนนี้วุ่นวายไปทั่ว

เดิมทีเสิ่นหรูป๋อทำตามอำเภอใจพาตัวคุณหนูรองหลี่ไป ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่พอใจ นางเป็นคนพิถีพิถันเรื่องมารยาทพิธีการ ถึงแม้หลี่รั่วอวี๋ใกล้จะแต่งเข้าสกุลเสิ่นแล้ว แต่การพาตัวหญิงสาวไปเองเช่นนี้นับเป็นประเพณีของที่ใดกัน

ทว่าติดที่หน้าตาชื่อเสียงของลูกเขย นางจึงไม่อาจโวยวายได้ในทันที แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับคิดจะไปสกุลเสิ่นพาตัวบุตรสาวคนรองของตนเองกลับมาในวันรุ่งขึ้น

คิดไม่ถึงว่าตอนใกล้เที่ยง พ่อบ้านที่ออกไปทำธุระนอกเมืองกลับรีบร้อนกลับมา บอกว่าเห็นคุณชายรองเสิ่นกับคุณหนูสามที่นอกเมือง ตอนที่เขาเข้าไปใกล้ก็ได้ยินคุณชายรองเสิ่นพูดกับคุณหนูสามว่าคุณหนูรองหายตัวไป ดังนั้นจึงรีบร้อนกลับมารายงาน

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังก็ตกใจขวัญหาย รีบนำบ่าวไพร่ออกไปตามหานอกเมือง

ตอนที่เสิ่นหรูป๋อไล่ตามทันหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ตรวจสอบในรถม้าเป็นการใหญ่ กลับพบว่าด้านหลังตัวรถยุ่งเหยิง เดาว่าคุณหนูรองหลี่คงกระโดดลงจากรถไปแล้ว จึงเตรียมจะพาคนย้อนกลับไปค้นหาดู

ยามนั้นเองเขาก็เหลือบเห็นแผ่นหลังพ่อบ้านคฤหาสน์สกุลหลี่รีบรุดจากไป จึงรู้ว่าเรื่องวันนี้เกรงว่าคงจะมีคนรู้แล้ว แต่ในใจเขาเกิดความคิดหนึ่งขึ้น จึงปล่อยให้พ่อบ้านผู้นั้นไปแจ้งเรื่องราว

รอจนคนสกุลหลี่มาถึง เสิ่นหรูป๋อก็ได้รู้ข่าวจากปากผู้ช่วยนายอำเภอที่กลับเข้าเมืองมาว่าคุณหนูรองหลี่บุกเข้าไปในลานล่าสัตว์ถูกใต้เท้าซือหม่าพาตัวไปแล้ว

เรื่องนี้ทำให้เสิ่นหรูป๋อรู้สึกเคร่งเครียดยิ่ง เขาจึงสั่งให้คนไปสืบดูตลอดทาง จนมาถึงสถานที่ที่ฉู่ซือหม่าพักแรม

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดินทางมาด้วยตนเอง ตลอดทางนางได้ฟังเรื่องราวของฉู่ซือหม่านั่นมาไม่น้อย วิธีการเลาะกระดูกต้มเนื้อที่ทำกับศัตรูทุกอย่าง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังจนหน้ามืด นางบีบขวดเม็ดโสมบำรุงเลือดลม ก่อนจะหยิบยาขนาดเท่าเม็ดน้ำตาลยัดใส่ปาก

ชาติกำเนิดของซือหม่าผู้นี้ไม่นับว่าต่ำต้อย ท่านปู่ของเขาที่ในอดีตเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงถูกองค์หญิงฉางเล่อหมายตารับเป็นราชบุตรเขย จะนับไปแล้วก็เป็นพระญาติแท้จริงของต้าฉู่เช่นกัน ถึงแม้ราชวงศ์ต้าฉู่วันนี้จะมีอำนาจลดลง แต่สกุลฉู่มีฉู่จิ้งเฟิงที่เป็นท่านอ๋องบนหลังม้า ในมือกุมอำนาจทหารอย่างแท้จริงเอาไว้ และยังมีเขตอำนาจที่ห่างไกลจากเมืองหลวง จึงนับว่ามีอำนาจไม่ยิ่งหย่อนเลยจริงๆ

ตามหลักแล้ว พระญาติพระวงศ์เช่นนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับชาวเมืองเล็กๆ แถบเจียงหนานอย่างสกุลหลี่ของพวกเขาเลย แต่หลี่รั่วอวี๋กลับไปล่วงเกินซือหม่าผู้นี้ ตอนนี้สมองเสื่อมแล้วไปตกอยู่ในกำมือของเขา… เรื่องนี้…เรื่องนี้หากไปถึงช้าไป หลี่รั่วอวี๋ไม่ถูกซือหม่าบดกระดูกแหลกเป็นผุยผงไปแล้วหรือ!

เมื่อคิดเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ทนไม่ไหว นึกโทษเสิ่นหรูป๋อที่อยู่ข้างกายว่าดูแลหลี่รั่วอวี๋อย่างไรกัน เหตุใดจึงปล่อยให้นางหนีหายไปได้

รอจนไปถึงกลางภูเขา ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนใจจึงยืนขึ้นบนรถม้า และเหลือบเห็นเงาร่างของบุตรสาวได้แต่ไกล…

เห็นบุตรสาวนั่งอยู่บนเนินเขาที่มีดอกไม้บานสะพรั่ง ในมือถือมาลัยดอกไม้ที่เพิ่งทำเสร็จ นางแย้มยิ้มสดใสก่อนจะสวมมันลงบนหัวชายหนุ่มหล่อเหลาผมขาวเงินร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกายนาง…

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยืนต่อไปไม่ไหว ทรุดนั่งลงบนแผ่นไม้ในรถม้าทันที นางรู้สึกใจคอไม่ดี มองไปทางว่าที่ลูกเขยข้างกายที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มเช่นเดียวกัน ในใจก็เกิดความละอายขึ้นมาบ้าง

บุตรสาวโง่งมของข้า เจ้า… เจ้าไปทำท่าทางสนิทสนมกับชายอื่นเช่นนี้ได้อย่างไร

แต่นอกเหนือความอึดอัดใจแล้ว นางรู้สึกวางใจลงได้ อย่างน้อยบุตรสาวก็นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างครบสามสิบสอง ทว่าชายหนุ่มผมขาวข้างกายนางเป็นผู้ใดกัน คิดถึงตรงนี้นางก็สั่นไปทั่วร่าง นึกถึงเรื่องที่พ่อบ้านเคยเล่าให้ฟัง เขาเคยเห็นหน้าตาของฉู่ซือหม่าตอนที่เข้าเมือง เป็นชายหนุ่มที่มีผมสีขาวเงินเต็มหัว… เช่นนั้นผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายบุตรสาว หรือว่าจะเป็น…

ในตอนนี้เอง รถม้าของสกุลหลี่ก็ถูกผู้ใต้บัญชาของฉู่จิ้งเฟิงขวางไว้แต่ไกล “หยุดนะ! พวกเจ้าเป็นผู้ใด”

หลังจากเสิ่นหรูป๋อบอกฐานะและจุดประสงค์การมาของตนเองแล้ว องครักษ์เหล่านั้นกลับยังไม่ปล่อยรถม้า

“ใต้เท้าซือหม่าของพวกเรามาท่องเที่ยวล่าสัตว์ที่นี่ ท่านกลับกล้ามาทำลายความสนุก ยังไม่รีบกลับไปอีกหรือ!”

ยามนั้นเอง หลี่รั่วอวี๋ที่มองเห็นท่านแม่ของตนเองแต่ไกลยืนขึ้นอย่างดีใจ ก่อนจะยกแขนโบกมืองามมาทางพวกเขาอย่างมีความสุข

ฉู่จิ้งเฟิงหยิบมาลัยดอกไม้ออกจากหัวโยนไปด้านข้างอย่างเหยียดหยาม แล้วหันหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้านั่น

คุณชายรองสกุลเสิ่น… รูปโฉมก็ไม่เท่าใด ได้ยินว่าเขากับหลี่รั่วอวี๋หมั้นหมายกันนานแล้ว และเป็นแขนซ้ายขวาให้แก่หลี่รั่วอวี๋ในสนามการค้า… คงจะมีความรักมั่นคงต่อกันมากกระมัง!

คิดถึงตรงนี้ เขากลับนึกถึงรสจูบในกระโจมเมื่อครู่ นางไม่มีความกระดากอายของหญิงสาวเลย ริมฝีปากที่ชำนาญนั้นราวกับกำลังลิ้มอาหารรสเลิศ นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะฝึกฝนให้ชำนาญได้ภายในวันเดียว

หรือว่านางกับว่าที่สามีของนาง...

คิดถึงตรงนี้ ใบหน้าของฉู่จิ้งเฟิงก็เครียดขมึงขึ้นมาอีกครั้ง เขาจ้องมองหญิงสาวข้างกายที่โบกไม้โบกมืออย่างแรง จู่ๆ ก็เกิดความคิดว่าจะให้นางกลับไปอยู่ข้างกายว่าที่สามีของนางอย่างมีความสุขไม่ได้

ดังนั้นเขาจึงโบกมือเอื่อยๆ ไปทางองครักษ์ของเขาเหล่านั้น เป็นสัญญาณให้พวกเขาปล่อยฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับเสิ่นหรูป๋อเข้ามา

รอทั้งสองคนมาถึงตรงหน้า ฉู่จิ้งเฟิงจึงยืนขึ้น พูดไปทางกวนป้าที่อยู่ด้านข้าง “เอาเชือกมา มัดหลี่รั่วอวี๋แล้วส่งเข้าคุกเมืองเหลียวเฉิง!”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังแล้วก็คิดอะไรไม่ออกไปทันที ทำได้เพียงคุกเข่าลงขอร้องฉู่ซือหม่า “ท่านซือหม่า ถ้าบุตรสาวข้าทำอะไรล่วงเกินใต้เท้า ข้าน้อยขอขมาใต้เท้าแทนนาง ขอใต้เท้าเห็นแก่ที่บุตรสาวข้าน้อยป่วยหนัก ปล่อยนางไปในครั้งนี้ด้วยเถิด”

เสิ่นหรูป๋อขมวดคิ้วเช่นกัน ประกบหมัดพูดว่า “ใต้เท้า เรื่องสัมภาระการทหารนั้นจัดการเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดท่านจึงผิดคำพูด”

ในตอนนี้เอง เชือกเส้นหนาก็มัดไปบนตัวหลี่รั่วอวี๋แล้ว รอนางได้สติคืนมาก็มัดไว้อย่างแน่นหนา นางจึงเริ่มบิดตัวตะโกนร้องเสียงดัง

ฉู่จิ้งเฟิงไม่มองมาทางนางแม้แต่น้อย เขาเอ่ยพูดเสียงเย็นชา “ข้าไม่เคยรับปากอะไรคุณชายรองเสิ่น จะผิดคำพูดได้อย่างไร เดิมทีเห็นแก่หน้าพระมาตุลาไป๋ ปล่อยหญิงผู้นี้ไปสักครั้ง นางสมองเสื่อมไปแล้วจริงๆ มิน่าล่ะคุณชายรองเสิ่นยังยินดีจะแต่งกับนาง ยามว่างหยอกเล่นด้วยสักนิดก็ให้สนุกดี…”

ฟังถึงตรงนี้ กำปั้นของเสิ่นหรูป๋อก็กำแน่น ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อาจจะไม่ทันสังเกต แต่เพราะต้องสร้างสัมพันธ์ทางการค้า เขาจึงเข้าออกสถานเริงรมย์บ่อยครั้ง ย่อมแยกแยะออกได้อย่างชัดเจนว่า เหตุใดริมฝีปากของหลี่รั่วอวี๋ทั้งที่ไม่ได้ทาสีชาดแต่กลับบวมแดง…

นั่นเป็นหลักฐานที่ทิ้งไว้หลังจากถูกชายหนุ่มดูดชิมตามแรงปรารถนา!

ฉู่จิ้งเฟิงย่อมเห็นสายตาของเสิ่นหรูป๋อที่จ้องริมฝีปากของหลี่รั่วอวี๋ก็พลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมามาก พูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “แต่เมื่อวานข้าได้รับรายงานว่าชายแดนทางเหนือตรวจสอบเจอเรือสินค้าสกุลหลี่บรรทุกสินค้าต้องห้ามไว้ มีฝิ่นเต็มสามลำเรือใหญ่…คิดจะวางยามอมเมาราษฎรครึ่งแคว้นของต้าฉู่หรือ!”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังก็ตกใจจนเบิกตาโต นี่เป็นคดีมาจากที่ใดกัน ฝิ่นนี้เป็นของที่เพิ่งนำเข้ามาจากแคว้นตงอิ๋ง ได้ยินว่าทางนั้นผลิตขึ้นมาจากยาเส้นพิเศษชนิดหนึ่ง

ของสิ่งนี้ได้ยินว่าหากลองแล้วจะติดได้ และหากดูดกลืนมากเกินไปจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นจึงมีการติดประกาศหลวงห้ามขายของเลวร้ายเช่นนั้น หากมีการตรวจพบ จะมีโทษถึงขั้นหัวหลุดจากบ่า!

ของ…ของแบบนี้จะมาปรากฏอยู่บนเรือสินค้าสกุลหลี่ได้อย่างไร

คิดถึงตรงนี้ นางก็มองไปทางเสิ่นหรูป๋ออย่างสงสัย

 

เสิ่นหรูป๋อได้ฟังคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงแล้วก็รู้สึกตกใจ

สินค้าชุดนั้นไป๋จิ้งถัง บุตรชายของพระมาตุลาไป๋ไหว้วานให้เขาช่วยขนส่ง คนในเมืองหลวงจำนวนหนึ่งชอบสิ่งนี้ ขาดไม่ได้แม้แต่วันเดียว ไป๋จิ้งถังผูกขาดสินค้าไว้ผู้เดียว ทำให้มีเงินทองไหลมาเทมา แต่สินค้าหลายลำเรือนี้ระมัดระวังมาตลอดทาง เช่นนั้นเขารู้ได้อย่างไรกัน

ฉู่จิ้งเฟิงผู้นี้พูดจาเหมือนมีหลักฐาน เห็นทีคงจะยึดเรือสินค้าเอาไว้จริงๆ หากตกไปอยู่ในมือของขุนนางคนอื่นก็ยังดี แค่เจรจาขออำนวยความสะดวกก็คงเสร็จเรื่อง แต่บังเอิญถูกฉู่ซือหม่าจับได้ ตอนนี้คงจัดการได้ยากแล้ว

“ใต้เท้า สกุลหลี่ของพวกเราไม่มีทางไปเกี่ยวข้องกับของต้องห้ามเช่นนั้นแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้รั่วอวี๋ป่วยแล้ว นางไม่รู้อะไรเลย ใต้เท้า…” ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยังคงพูดขอร้อง

ฉู่จิ้งเฟิงในตอนนี้มองตรงไปทางเสิ่นหรูป๋อที่อยู่ด้านข้าง พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา “สินค้าชุดนี้ขนลงเรือไปก่อนเดือนสาม ผ่านมือคนมาตลอดทาง ตอนนี้เพิ่งจะเข้าเขตต้าฉู่ ข้ารู้มาตลอดว่าคุณหนูรองสกุลหลี่เป็นคนเข้มงวดมาก ถ้าไม่ใช่นางพยักหน้า ขบวนสินค้าสกุลหลี่จะกล้านำของเลวร้ายเช่นนี้ขึ้นเรือได้อย่างไร หากไม่ใช่นาง…ยังมีผู้ใดสามารถเป็นหลักรับความผิดนี้ได้อีก”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองหน้าเสิ่นหรูป๋อเช่นกัน หวังว่าเขาจะเอ่ยปากโต้แย้งฉู่ซือหม่า อย่างน้อยก็รับผิดชอบไปก่อน ให้ฉู่ซือหม่าปล่อยหลี่รั่วอวี๋ กลับไปค่อยตรวจสอบหาสาเหตุอย่างละเอียด

แต่ว่าที่ลูกเขยของนางแม้จะขมวดคิ้วแน่น แต่กลับปิดปากไม่พูดจา ปล่อยให้ทหารเหล่านั้นลากตัวหลี่รั่วอวี๋ที่ตื่นตกใจไปข้างรถม้าอย่างกักขฬะ จากนั้นฉู่จิ้งเฟิงก็หมุนตัวขึ้นม้า และกองกำลังกลุ่มใหญ่ก็จากไปอย่างรวดเร็ว

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นบุตรสาวถูกทำรุนแรง หัวใจก็เริ่มร้อนรน ทำได้เพียงร้องไห้พูดกับเสิ่นหรูป๋อว่า “รั่วอวี๋ไม่มีทางขนส่งของต้องห้ามแน่นอน เจ้าต้องช่วยรั่วอวี๋”

เสิ่นหรูป๋อไม่มีแก่ใจจะปลอบฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ หลังจากรีบรับปากแล้วก็รีบร้อนขี่ม้าไปพบเว่ยกงกงที่จวนสิ่งทอ เว่ยกงกงผู้นี้ก็คือเส้นสายที่พระมาตุลาไป๋จัดวางไว้ในเจียงหนาน ตอนนี้ทำได้เพียงไปปรึกษาแผนรับมือกับเขาแล้ว

ทางด้านฉู่ซือหม่านับว่าสมดังใจ นำตัวหลี่รั่วอวี๋กลับมาได้ครบสามสิบสอง

เมื่อไปถึงที่พักรับรองแล้ว เขายังไม่ลงจากม้า ก็เป็นกวนป้าสั่งให้ทหารส่งรถม้าที่คุมขังหลี่รั่วอวี๋เอาไว้ออกไป แล้วจึงส่งเสียงพูดว่า “เตรียมจะไปที่ใดหรือ”

กวนป้าตอบอย่างสงสัย “ส่งไปยังคุกที่ว่าการอำเภออย่างไรเล่าขอรับ… ทำไมหรือ นายท่านมีคำสั่งอื่นหรือขอรับ”

ฉู่จิ้งเฟิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้น “นักโทษหญิงโทษหนักอย่างนี้ รับรองได้ยากว่าจะไม่มีเรื่องการปล้นคุก คุกในอำเภอเล็กแบบนี้ไม่ค่อยแข็งแรง สู้คุมตัวนางไว้ที่ที่พักรับรองนี่ชั่วคราวก่อนดีกว่า”

ซือหม่าพูดแล้ว กวนป้าไม่มีเหตุผลจะไม่เชื่อฟัง เขาจึงพยักหน้ารับคำทันที จากนั้นก็สั่งให้ทหารนำตัวหลี่รั่วอวี๋ลงมาจากรถม้า คุมตัวเข้าไปในห้องเก็บฟืนของที่พักรับรอง

ฉู่จิ้งเฟิงเดิมก็ไม่ชอบพูดมาก ทว่าเหลือบเห็นเชือกเหมือนจะมัดแน่นจนเกินไป ทำให้ข้อมือคู่งามและผิวขาวนวลที่เห็นแล้วต้องหลงใหลนั้นเกิดเป็นรอยแดง อีกทั้งหลี่รั่วอวี๋ก็ร้องไห้ตลอดทางจนดวงตาโตบวมแดง สะอื้นอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ แม้จะเป็นคนที่ใจร้ายเห็นแล้วยังต้องใจสั่น เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นพลางพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “คนเลวคนใดเป็นคนมัดเชือก แค่หญิงสาวที่อ่อนแอไร้แรงสู้ เหตุใดต้องใช้แรงมากอย่างนี้ด้วย!”

ทหารผู้หนึ่งคุกเข่าลงรับผิดทันที “เรียนซือหม่า ข้าน้อยเองขอรับ…”

ฉู่จิ้งเฟิงปกตินับว่าดีต่อผู้ใต้บัญชา แต่วันนี้กลับทำหน้าตาดุร้าย “กินจนจุกเกินไป ไม่มีที่ให้ออกแรงแล้วหรือไร เช่นนั้นวันนี้ไม่ต้องกินอาหารเย็นแล้วกระมัง”

กวนป้าฟังอยู่ด้านข้างก็ตกใจ สะดุ้งขนลุกขึ้นมาแล้วรีบพูดว่า “ยังไม่รีบไปแก้มัดแล้วไปรับความผิดอีก!” ตำหนิทหารที่ไม่รู้จักอ่านสีหน้าแล้ว กวนป้าก็หันมาขอความเห็นจากอีกฝ่าย “นายท่าน นักโทษหญิงผู้นี้เป็นนักโทษร้ายแรง ขังในห้องเก็บฟืนไม่มีคนไว้ใจได้คอยดูแลคงไม่เหมาะสม บ่าวขอคุมตัวนางไปห้องที่อยู่ข้างนายท่านดีหรือไม่ ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไร นายท่านต้องรู้ตัวแน่นอน จะได้ทำการป้องกันก่อนที่เหตุร้ายจะเกิดขึ้น…”

ทหารด้านข้างที่ไม่ได้กินอาหารน้ำตาแทบไหล สัมผัสได้ถึงความแตกต่างราวฟ้ากับดินระหว่างแม่ทัพกวนกับตนเองอีกครั้ง การสังเกตคำพูดและสีหน้าเช่นนี้ฝึกฝนหลายปีก็ยังเรียนรู้ไม่ได้จริงๆ

ฉู่จิ้งเฟิงได้ฟังก็พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็ก้าวยาวเข้าที่พักรับรองไป

หลี่รั่วอวี๋ถูกลากตัวเข้าไปในห้องสะอาดสะอ้านเรียบร้อยห้องหนึ่ง

นางไม่รู้ว่าท่านแม่เห็นนางแล้วเหตุใดจึงไม่พากลับบ้านไปด้วย แต่รู้อย่างแน่ชัดว่าชายหนุ่มผมขาวเป็นคนเลวที่สุด ก่อนหน้านี้ยังพานางไปจับไก่ป่า เด็ดดอกไม้ป่าอยู่เลย ถึงขั้นลอยตัวขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่เด็ดผลไม้ป่าอร่อยมากลงมาให้นางกิน ปลอบจนนางกลับมาหัวเราะได้อีกครั้ง รู้สึกว่าเขาเป็นคนดีผู้หนึ่ง นางจึงตั้งใจทำมาลัยดอกไม้ให้เขา ไม่คิดว่าชั่วขณะต่อมาเขาจะปล่อยให้คนเลวมารังแกนาง

ยามนี้ตรงประตูมีชายฉกรรจ์หน้าตาน่ากลัวเฝ้าประตูสองคน ยื่นหน้ามองจากหน้าต่างเป็นอาคารสูงสามชั้น โอกาสที่นางจะหลบหนีเลือนรางมาก อารมณ์ของหลี่รั่วอวี๋ก็ยิ่งหดหู่…

นางสะบัดรองเท้าออกแล้วนอนขดตัวอยู่บนเตียง ยื่นหน้าออกมาจากผ้าห่มมองดูดวงจันทร์ที่ลอยเด่น รูปร่างกลมๆ นั้นเหมือนขนมแป้งงาจี่ที่แม่ครัวที่บ้านทำให้… ไม่นานก็มีสาวใช้มาส่งอาหาร ได้กลิ่นหอมแล้วน่ากินมาก แต่หลี่รั่วอวี๋ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กินอาหารของคนเลว ไม่ว่าสาวใช้นั้นจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ยังไม่ยอมขยับ

สาวใช้เกลี้ยกล่อมไม่ไหว จึงวางอาหารลงแล้วหมุนตัวเดินออกไป

ต่อมาในห้องก็เงียบสงบลงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ลานด้านล่างนอกหน้าต่างดูเหมือนจะมีเสียงดังสวบๆ หลี่รั่วอวี๋จึงยื่นหน้าออกมาจากผ้าห่ม ในที่สุดก็ลงจากเตียงอย่างทนไม่ไหว ก่อนจะยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองลงไปและเห็นชายหนุ่มผมขาวสวมเสื้อตัวยาวโคร่งยืนอยู่ในลานด้านหลัง มือถือกระบี่ฝึกวรยุทธ์อยู่ใต้แสงจันทร์

ร่างของเขาเบาพลิ้วแต่แข็งแรง เสื้อตัวยาวขยับไปตามการเคลื่อนไหวของคมกระบี่ ดูราวกับเทพเซียนเหาะเหิน ทำให้คนเห็นไม่อาจละสายตาได้…

หลี่รั่วอวี๋ดูจนเพลิน ลืมความคิดในตอนแรกที่ตัดสินใจว่าจะไม่มองหน้าคนเลวผู้นี้อีก สุดท้ายก็พาดตัวไปบนหน้าต่างแคบ วางหน้าบนแขนแล้วก้มลงมองข้างล่าง ทันใดนั้นก็เห็นเขาแตะปลายเท้าบนพื้น หมุนตัวมามองทางนางอย่างรวดเร็ว ประสานสายตากับนางเข้าพอดี

หลี่รั่วอวี๋รู้สึกเสียหน้าขึ้นมาทันที รู้ตัวว่าทรยศปณิธานในตอนแรกของตนเองแล้ว จึงรีบย่อตัวลงแกล้งทำเป็นไม่ได้แอบมองเขา

ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางบันได เพียงชั่วครู่ประตูก็ถูกเปิดออกและได้กลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพรลอยมาแตะจมูก ก่อนที่รองเท้าหนังวัวคู่หนึ่งจะมาปรากฏต่อหน้านาง

ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงได้ยินว่าหลี่รั่วอวี๋ไม่ยอมกินอาหารก็ตัดสินใจจะไม่สนใจนาง ความใจอ่อนของตนเองได้ใช้ไปจนหมดแล้วเมื่อกลางวัน หากนางอยากจะงอนเป็นเด็กๆ ก็ปล่อยให้นางหิวไปสักสองสามมื้อ ถึงตอนนั้นนางย่อมยอมกินแต่โดยดีเอง

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นเขากลับกลืนอาหารไม่ลง อยู่ต่อหน้าเนื้อผัดพริกแห้งและน้ำแกงเนื้อเป็ดแปดทรัพย์ที่พ่อครัวบรรจงทำกลับหมดความอยากอาหารไปเสียอย่างนั้น

สุดท้ายเขาจึงถือกระบี่มากลางลานระบายความกลัดกลุ้มในใจ

ตามที่เขาเห็น ถึงแม้นางจะไม่ได้หัวร้างข้างแตก แต่ก็กลายเป็นคนตาบอดใจบอด ว่าที่สามีที่ไม่เอาไหนของนางนั้น ความทะเยอทะยานและแผนร้ายในดวงตานั้นไม่อ่อนด้อยไปกว่าพวกที่โชกโชนอยู่ในสนามขุนนางมานานหลายปีเลย

ที่มาที่ไปของของต้องห้ามหลายลำเรือนั้นไม่ต้องตรวจสอบเขาก็พอจะเดาเรื่องราวได้อย่างชัดเจน เดิมทีไม่อยากสนใจเรื่องเลวร้ายของสกุลไป๋ แต่ตอนเห็นคนแซ่เสิ่นนั้นใช้สายตาเหมือนตรวจสอบสิ่งของของตนเองมองดูนางสมองเสื่อมผู้นี้แล้ว เขาก็รู้สึกโกรธจนแน่นอก จึงเพียงพูดเพื่อสร้างความลำบากใจให้

ทว่าพอบังเอิญหันหน้าไป เขาก็มองเห็นใบหน้างดงามน่ารักนั้นทันที นางกำลังยืนพาดหน้าต่างเหม่อมองมาที่เขา ความกลัดกลุ้มในใจเขาพลันสลายหายไปในทันใด

ก็แค่คนสมองเสื่อมผู้หนึ่ง จะไปงัดข้ออะไรกับนาง

เมื่อหาข้ออ้างเหมาะสมได้แล้ว เขาก็ทรยศปณิธานที่จะไม่สนใจในตอนแรกไปอย่างสบายใจ ก่อนจะก้าวขึ้นบันได ผลักเปิดประตูและมาถึงตรงหน้านาง

ภายใต้แสงจันทร์ นางย่อตัวนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ขดตัวเป็นก้อนกลมเล็กๆ ราวกับเป็นเด็กน้อยที่น่าสงสารไม่มีผู้ใดสนใจ

ฉู่จิ้งเฟิงหลุบตาลงมองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็สะกดความคิดอยากจะดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดเอาไว้ได้

ตอนนี้นางเป็นคนสมองเสื่อมไปแล้ว แต่เขายังไม่ลืมคำพูดของนางในตอนที่นางยังมีสติครบถ้วนสมบูรณ์ดี

คืนนั้นเป็นคืนจันทร์สว่างไร้ดวงดาวแบบนี้เช่นกัน ฉู่จิ้งเฟิงนั่งอยู่ในศาลายาว มือถือถ้วยหยกใส่สุรารสเลิศ เขายังไม่ทันเอ่ยปาก นางก็รู้ตัวชิงพูดขึ้นก่อน พูดเป็นนัยว่าตนเองใกล้จะแต่งงานแล้ว อีกไม่กี่วันต้องเดินทางกลับบ้าน งานที่เหลือสามารถไปขอให้พ่อบ้านสกุลหลี่ที่อยู่ทางเหนือจัดการได้

การปฏิเสธของนางก็เหมือนวิธีการทำงานของนาง หมดจดปราดเปรียวและไม่เสียมารยาท ในคืนนั้น เขาที่ได้ฉายาพันจอกไม่เมาหลังจากกลับเข้าค่ายแล้ว เป็นครั้งแรกที่ดื่มจนเมามาย ความรักในคราแรกนี้ ยังไม่ทันเริ่มต้นก็ถูกปฏิเสธเสียแล้ว เขารู้ดีว่าชาตินี้ไม่มีวาสนากับนางอีก เพราะศักดิ์ศรีของเขาฉู่จิ้งเฟิงจะไม่ยอมให้ตนเองไปรักหญิงที่มีสามีเด็ดขาด

หญิงสาวน่ารังเกียจผู้นี้กุมจุดอ่อนของเขาไว้จึงได้โอหังเช่นนี้ บังอาจทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ วันนี้นางสมองเสื่อมจนถึงขั้นนี้ นับว่าเป็นกรรมคอยตามสนองนางอย่างเงียบๆ แล้ว

เมื่อคิดเช่นนี้ ความสงสารแต่เดิมของเขาที่ถูกความน่าสงสารของนางกระตุ้นให้เกิดขึ้นก็สลายหายไปจนหมด

ฉู่จิ้งเฟิงหมุนตัวจะเดินจากไป แต่พบว่าชายเสื้อของตนเองถูกกระชากไว้ เขาจึงก้มลงดูก็พบว่ามือข้างหนึ่งของนางดึงชายเสื้อเขาไว้พลางกะพริบดวงตาโตที่มีน้ำตาเอ่อ “ปวดท้อง…” พูดจบก็ขยับเข้ามาซบอิงข้างขาของเขา ตัวสั่นอย่างเจ็บปวด…

ที่แท้สองวันมานี้นางไม่ได้กินอาหารดีๆ เลย มีเพียงเมื่อกลางวันนี้กินเนื้อกระต่ายเสียบไม้ที่มันเลี่ยน กอปรกับภายหลังฉู่จิ้งเฟิงเก็บผลไม้ป่ามาให้นาง กินปะปนกันเช่นนี้จึงทำให้มวนท้อง หลี่รั่วอวี๋รอนแรมทำการค้านอกบ้านเป็นประจำจึงเป็นโรคกระเพาะตั้งแต่อายุยังน้อย หลายวันมานี้อาหารสามมื้อไม่ได้กินตามเวลา อาการปวดท้องจึงกำเริบอีกครั้ง

แต่ตอนนี้ความคิดของนางแปรเปลี่ยนไปเหมือนเด็ก จึงแยกไม่ออกถึงความแตกต่างระหว่างปวดกระเพาะกับปวดท้อง จึงเหมารวมว่าเป็นอาการปวดท้อง

ฉู่จิ้งเฟิงขมวดคิ้วยกตัวนางขึ้นด้วยมือเดียว เห็นตำแหน่งที่มือของนางกุมไว้ เพียงเห็นก็รู้ว่าอาการปวดกระเพาะของนางกำเริบอีกแล้ว

เขาขมวดคิ้วแน่นพลางอุ้มนางไปวางลงบนเตียงดีๆ แล้วตามท่านหมอมาตรวจชีพจร เขียนใบสั่งยาให้นาง หลี่รั่วอวี๋จับคอเสื้อของฉู่จิ้งเฟิงแน่นไม่ยอมปล่อย

อาหารบนโต๊ะที่ทิ้งไว้จนเย็นชืดถูกยกออกไปหมดแล้ว ไม่ต้องให้ท่านซือหม่าเอ่ยปาก กวนป้าก็เข้าใจความประสงค์ สั่งให้พ่อครัวของที่พักรับรองเคี่ยวข้าวต้มฟักทองซานเย่า ให้ทันที

เห็นแก่นางที่ป่วยจนเหมือนดอกไม้เหี่ยวเฉา และยังเกาะเขาไม่ยอมปล่อย ฉู่จิ้งเฟิงจึงกล่อมให้นางกินข้าวต้มหมดไปครึ่งชามอย่างอดทน

ท่านหมอส่งยาที่เคี่ยวเสร็จแล้วมาให้ แต่ยาน้ำนี้รสชาติขมมาก หลี่รั่วอวี๋แลบลิ้นไปแตะเล็กน้อยก็ไม่ยอมกินแล้ว แม้แต่มือที่จับเขาไว้แน่นก็ยังคลายออก ใช้ประโยชน์จนหมดแล้ว ก็อยากให้เขาหายตัวไปทันใด

ฉู่จิ้งเฟิงถูกนางที่หลบไปมาใต้ผ้าห่มทรมานจนหมดความอดทนแล้ว จึงตัดสินใจอมยาคำโต จากนั้นพลิกเปิดผ้าห่ม ฉุดนางเข้ามาในอ้อมอกด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็ป้อนยาด้วยปาก ยึดปากเล็กของนางเอาไว้ กรอกน้ำยาขมเฝื่อนนั้นเข้าปากของนางไปจนหมด

ริมฝีปากที่เมื่อกลางวันยังหวานชื่นมีกลิ่นหอมจางๆ ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นขมเฝื่อนยากจะกลืน หลังจากหลี่รั่วอวี๋สมองเสื่อม นี่เป็นครั้งแรกที่นางใช้ริมฝีปากรับรู้ถึงความปลิ้นปล้อนของชายหนุ่ม

รอจนยาออกฤทธิ์ คนโง่งมนอนหลับสนิทไปในที่สุด ทว่าก็เป็นเวลาค่ำแล้ว

ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีคิดจะกลับห้องไปนอนพักผ่อน แต่กวนป้ากลับรีบร้อนมารายงาน

“นายท่าน เว่ยกงกงจากจวนสิ่งทอมาเยือนยามค่ำขอรับ”

ฉู่จิ้งเฟิงหัวเราะเย็นชาขึ้นทันที

ช่างมาเร็วเสียจริง!

เว่ยกงกงเป็นคนที่เก่งมากผู้หนึ่ง เดิมทีเขาเป็นคนสนิทของไป๋เฟยในวัง ภายหลังได้รับความไว้วางใจใช้งานจากพระมาตุลาไป๋ มาดูแลจัดการจวนสิ่งทอที่เจียงหนาน ตักตวงเงินทองให้สกุลไป๋ เป็นมือดีอันดับหนึ่งเลยทีเดียว คิดว่าคงเป็นเสิ่นหรูป๋อไปส่งข่าวให้เว่ยกงกง ทำให้รู้ว่าเขายึดสินค้าชุดนั้นเอาไว้แล้ว

เว่ยกงกงแม้จะตัดส่วนล่างนั้นไปแล้ว แต่พูดจาทำงานยังคงหมดจดปราดเปรียว หลังจากพูดทักทายฉู่จิ้งเฟิงไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ใช้ความตรงไปตรงมาในตอนเจรจาการค้า ถามขึ้นตามตรงว่าต้องทำอย่างไรเขาจึงจะยอมปล่อยสินค้าไป

“ท่านซือหม่า ข้าน้อยรู้ว่าท่านหากไม่เห็นกระต่ายคงไม่ปล่อยเหยี่ยว จะให้ท่านปล่อยไปเสียเปล่า คิดว่าท่านคงไม่ทำแน่นอน ตอนนี้ท่านกับหยวนซู่คุมพื้นที่เฮยสุ่ยคนละส่วน สงครามบนแม่น้ำยากจะหลีกพ้น เรือรบที่กรมโยธาสร้างขึ้นมีคุณภาพดีเยี่ยม เทียบฝั่งได้เร็ว ถ้าซือหม่าต้องการ ข้าน้อยยินดีจะเป็นตัวตั้งตัวตีมอบภาพผังให้ซือหม่าดีหรือไม่”

ฉู่จิ้งเฟิงได้ฟังก็ยิ้มเย็นชา “เว่ยกงกงเป็นนักเจรจาที่เก่งจริงๆ รู้ว่าข้าต้องการอะไร แต่ว่า…เว่ยกงกงดูเหมือนจะประเมินความต้องการของข้าต่ำเกินไป แค่ภาพผังที่ไม่สมบูรณ์แผ่นหนึ่ง ก็คิดจะแลกกับสินค้าต้องห้ามหลายลำเรือนั้นหรือ คำนวณแล้วจะมองอย่างไรล้วนเป็นการค้าขายที่ข้าเสียเปรียบ!”

ความเคยชินของคุณหนูรองสกุลหลี่คือภาพผังการต่อเรือที่ส่งมอบให้อู่เรือล้วนไม่ใช่ภาพที่สมบูรณ์ ส่วนประกอบที่สำคัญในนั้นต้องให้อู่เรือสกุลหลี่เป็นคนสร้างให้เท่านั้น แม้จะเป็นการต่อเรือรบให้เขาก็ตามล้วนทำเช่นนี้ ภายหลังเพราะความสัมพันธ์กับสกุลหลี่เลวร้ายลง เรือรบหลายลำนั้นหลังจากสร้างเสร็จแล้ว แต่เพราะขาดชิ้นส่วนสำคัญไป ถึงตอนนี้จึงยังจอดไว้ในอู่เรือเหมือนเศษขยะ

เว่ยกงกงกลับยิ้มอย่างได้ใจ “ในจุดนี้ ฉู่ซือหม่าคงไม่รู้ ถึงแม้คุณหนูรองหลี่จะสมองเสื่อมไป แต่คนที่สืบทอดวิชามหัศจรรย์ของสกุลหลี่ไม่ได้มีเพียงนางแค่คนเดียว! ตอนนี้คุณหนูสามหลี่ยอมออกหน้า วาดภาพผังแผ่นใหม่ออกมาแล้ว อีกไม่กี่วันเรือใหม่ก็สามารถลงน้ำลองล่องดูได้แล้ว ฉู่ซือหม่า ท่านคงไม่ยินดีจะให้เรือรบหลายลำในอู่เรือของตนเองกลายเป็นเศษขยะไปตลอดกระมัง ขอเพียงท่านพยักหน้า เรือรบหลายลำนั้นก็สามารถฟื้นจากความตายได้แล้ว”

เห็นฉู่จิ้งเฟิงยังคงมีท่าทางไม่เชื่อ เว่ยกงกงจึงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “อีกสองสามวัน จะมีคนส่งเรือจำลองย่อส่วนมาให้ท่าน จริงหรือเท็จท่านแค่ดูก็จะรู้ เรือรบที่คุณหนูสามหลี่ออกแบบเองจะเปิดเผยเป็นครั้งแรกในงานแข่งต่อเรือในอีกสามเดือนข้างหน้า หลังจากผู้สืบทอดคนใหม่สกุลหลี่ผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว เกรงแต่ว่าแม้เรือลำเดียวก็ยากจะขอได้ ท่านซือหม่าไม่รีบฉวยโอกาสเอาไว้ คงจะพลาดโอกาสใช้งานเรือรบนี้ไปเสียแล้ว”

ฉู่จิ้งเฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางหัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นข้าจะคอยเรือจำลองที่เว่ยกงกงจะส่งมาเพื่อเห็นเป็นขวัญตา”

ตอนเว่ยกงกงจะกลับไปก็เอ่ยปากพูดต่อว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คุณหนูรองหลี่ตอนนี้กลายเป็นคนสมองเสื่อมรักษาไม่ได้แล้ว หวังว่าท่านซือหม่าจะใจกว้าง ปล่อยนางกลับคฤหาสน์ไปเถอะ อีกสิบวัน นางก็จะแต่งงานกับคุณชายรองเสิ่นแล้ว ท่านคุมตัวนางไว้เช่นนี้ หากมีข่าวลือออกไปคงไม่ดีไม่ใช่หรือ”

ฉู่จิ้งเฟิงเบ้มุมปาก ไม่ได้ตอบกลับและไม่ได้ปฏิเสธ

ด้านเสิ่นหรูป๋อหลังจากได้รับการตอบกลับจากเว่ยกงกงแล้วก็สบายใจ รีบไปรายงานที่คฤหาสน์สกุลหลี่ทันที

หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินว่าเรื่องราวมีความเปลี่ยนแปลง ฉู่ซือหม่าอาจจะปล่อยตัวคนก็รู้สึกเบาใจ พูดอมิตาภพุทธไม่หยุด

แต่ตอนได้ยินว่าหลี่เสวียนเอ๋อร์วาดภาพผังต่อเรือจำลองได้จึงหันไปมองอย่างสงสัย

เคล็ดวิชาที่สืบทอดจากบรรพชนสกุลหลี่ การสืบทอดต้องไม่มีความผิดพลาดใด การให้เรือนี้ล่องไปบนคลื่นทะเล ขนชีวิตคนนับไม่ถ้วน จะให้คนที่ไม่ชำนาญวิชามาใช้ชื่อของสกุลหลี่หลอกลวงคนไม่ได้

ในอดีตที่สามีของนางถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้แก่บุตรสาวคนรองก็เป็นการทำผิดประเพณีสกุลแล้ว อีกทั้งนางยังไม่เคยเห็นสามีถ่ายทอดวิชาให้แก่หลี่เสวียนเอ๋อร์เลยด้วยซ้ำ

ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่หันมองไปอย่างสงสัย หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็นั่งนิ่งอยู่ข้างโจวอี๋เหนียงมารดาของนาง ไม่ก้มหน้าก้มตาเหมือนที่ผ่านมา ปลายคางนั้นเชิดขึ้นเล็กน้อย ไม่อ่อนข้อไม่วางก้าม

หลังจากนางช้อนตาขึ้นเหลือบมองเสิ่นหรูป๋อแวบหนึ่งแล้วก็เอ่ยปากพูดว่า “แม่ใหญ่ ตอนนี้พี่รองตกอยู่ในความลำบาก เสวียนเอ๋อร์ย่อมต้องพยายามสุดกำลังไปช่วยพี่รอง เมื่อก่อนพี่รองเคยถ่ายทอดเคล็ดวิชาต่อเรือให้ข้ามาบ้าง แม้เสวียนเอ๋อร์จะโง่งมทึ่มทื่อ ไม่ฉลาดเฉลียวเหมือนพี่รองที่เรียนรู้ได้ไว แต่ก็พอมีความรู้เบื้องต้นบ้าง อาศัยภาพผังที่พี่รองเหลือทิ้งเอาไว้ ต่อเรือที่สมบูรณ์สักลำก็ไม่ยาก… แต่เสวียนเอ๋อร์มีเรื่องหนึ่งจะขอร้อง ไม่รู้ว่าแม่ใหญ่จะยอมรับปากหรือไม่”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น “จะขอร้องอะไรหรือ”

หลี่เสวียนเอ๋อร์พูดอย่างหนักแน่น “ก่อนหน้านี้เพราะเสวียนเอ๋อร์เป็นห่วงพี่รอง จึงอยากจะแต่งงานไปพร้อมกับนาง แต่คุณชายรองไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เสวียนเอ๋อร์เดิมคิดว่าคุณชายรองรังเกียจเสวียนเอ๋อร์ จึงได้เอ่ยปากปฏิเสธ ผู้ใดจะรู้ว่าเขากลับฝากคำพูดมาถึงท่านแม่ ที่แท้เขาไม่อยากจะสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้เสวียนเอ๋อร์ อยากให้เสวียนเอ๋อร์กับพี่รองมีฐานะเท่าเทียมกัน แต่งเข้าเป็นภรรยาเอกเช่นเดียวกัน…”

พูดถึงตรงนี้ ใบหน้านางก็แดงเรื่อ ราวกับหญิงสาวเพิ่งมีความรักแรกแย้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ด้วยรอยยิ้ม “คุณชายรองเสิ่นมีความคิดจะแต่งพี่สาวน้องสาวเช่นเดียวกับอดีตฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าแม่ใหญ่จะอุ้มสมข้ากับพี่รอง ภายหน้าให้เสวียนเอ๋อร์ได้อยู่เคียงข้างพี่รองไปนานๆ ได้หรือไม่”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แม้บางครั้งจะใจอ่อนเลอะเลือนไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ นี่มันเรื่องอะไร บุตรสาวคนรองของตนเองยังอยู่ทนทุกข์ในคุกของฉู่ซือหม่า แต่หลี่เสวียนเอ๋อร์กลับไม่เลือกเวลามาพูดเรื่องเดิมอีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อบีบบังคับอย่างนั้นหรือ

ตอนนี้นางจึงเหลือบมองเสิ่นหรูป๋อที่ก้มหน้าหลุบตาไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้างแวบหนึ่งแล้วพูดอย่างเย็นชา “เรื่องเหล่านี้ ข้ากับท่านแม่เจ้าค่อยปรึกษากันอีกที ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือช่วยพี่รองของเจ้าออกมามากกว่ากระมัง”

หลี่เสวียนเอ๋อร์ไม่ยินยอมให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ปล่อยเรื่องเลยตามเลยไปเช่นนี้ จึงลุกขึ้นคุกเข่าพูดว่า “ตอนนี้พี่รองหาเรื่องให้สกุลหลี่ไม่เว้นวัน โชคดีที่ได้คุณชายรองเสิ่นไม่ทิ้งขว้าง ทว่าแม่ใหญ่ต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของคุณชายรองเสิ่นบ้าง ถ้าพี่รองถูกราชสำนักคาดโทษจริง ถูกเนรเทศ ท่านยังอยากให้สกุลเสิ่นได้รับความลำบากอย่างนั้นหรือ ตอนนี้เทียบมงคลถูกแจกไปทั่วแล้ว อีกสิบวันก็จะมีแขกมาถึงบ้าน ถ้าพี่รองไม่กลับมา เกี้ยวมงคลของสกุลเสิ่นจะให้ยกกลับไปทั้งที่ยังว่างหรือ คุณชายรองเสิ่นมีน้ำใจและคุณธรรมกับสกุลหลี่ เสวียนเอ๋อร์ทนไม่ไหวที่จะให้คุณชายรองเสิ่นต้องถูกคนว่าร้าย ยินดีจะแต่งงานเข้าไปก่อนพี่รอง รอพี่รองกลับมาอย่างปลอดภัย ค่อยรับพี่รองเข้าคฤหาสน์อีกที”

ในตอนนี้หล่งเซียงสาวใช้ของหลี่รั่วอวี๋ทนฟังต่อไปไม่ไหวจึงถลึงตาพูดเสียงดังว่า “ทำไมเจ้าคะ ความหมายของคุณหนูสามคือ ท่านแต่งเข้าบ้านก่อน จะให้คุณหนูรองที่เป็นภรรยาเอกแต่งเข้าทีหลังเหมือนเป็นอนุอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”

ความน่ารักโอนอ่อนผ่อนตามของหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่ผ่านมาหายไปแล้ว นางเชิดปลายคางขึ้นพูดทีละคำอย่างชัดเจน “ถ้านางลบล้างความผิดได้ไม่ทันเวลา จะแต่งเข้าบ้านเมื่อใดก็ยังไม่แน่เลย”

คำพูดที่พูดออกมาอย่างใจดำฟังชัดเจนเช่นนี้ แม้แต่โจวอี๋เหนียงก็ยังถลึงตาใส่นางอย่างทนไม่ไหว

แท้จริงแล้วหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ทนเก็บกดในใจเช่นกัน มาถึงช่วงสำคัญนี้แล้ว แต่เสิ่นหรูป๋อกลับไม่ได้พูดกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เรื่องจะให้พี่น้องแต่งงานพร้อมกันเลย แม้แต่เมื่อครู่ตอนที่นางเอ่ยปากพูด เขายังถลึงตาใส่นางอีกด้วย นางจึงทนไม่ไหวพูดสร้างความลำบากใจทันที คำพูดจึงแสลงหูอย่างเลี่ยงไม่ได้

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แม้จะใจกว้างกับคุณหนูสามบุตรสาวภรรยารองมาตลอด แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงงานแต่งงานของบุตรสาวตนเอง จะไม่มีจิตใจเอนเอียงได้อย่างไร ตอนนี้ในใจนางไม่พอใจอย่างมาก พูดเสียงดังขึ้นว่า “เสวียนเอ๋อร์ เจ้าพูดอะไร! เจ้าหวังอยากให้พี่รองของเจ้าเกิดเรื่องขึ้นให้ได้อย่างนั้นหรือ”

แม้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แต่หลี่เสวียนเอ๋อร์กลับไม่ยอมอ่อนข้อ พูดด้วยเสียงดังกังวาน “เสวียนเอ๋อร์แค่พูดความจริงที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจดีแล้ว ซือหม่าผู้นั้นไม่ลงรอยกับพี่รองอยู่แล้ว ตอนนี้พี่รองมีชนักติดหลังทั้งยังตกอยู่ในมือของเขา เขาจะไม่จัดการได้อย่างไร แผนในตอนนี้ ย่อมต้องเป็นการแก้ไขเรื่องด่วนเฉพาะหน้า รักษาหน้าตาของหลี่เสิ่นสองสกุลเอาไว้จึงจะถูก”

พูดจบนางก็เหลือบมองเสิ่นหรูป๋อที่อยู่ด้านข้าง กลับเห็นเขาไม่ขยับเขยื้อน ในใจก็รู้สึกโมโห เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงขั้นนี้แล้วเหตุใดจึงไม่พูดไม่จาอีก

ในตอนนี้เอง บ่าวเฝ้าประตูก็มารายงานว่า ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นมาที่คฤหาสน์ด้วยตนเอง

ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นมีอายุน้อยกว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เล็กน้อย แม้สกุลเสิ่นจะตกต่ำมาระยะหนึ่ง แต่นางกำเนิดในครอบครัวขุนนาง สวมเสื้องามกินอาหารดีมาแต่เด็ก ทุกอย่างล้วนต้องประณีต จึงดูสูงสง่าราวปุยเมฆลอยสูงอยู่บนฟ้าไม่แตะดินแม้แต่น้อย

เดิมทีใจนางดูถูกครอบครัวพ่อค้าอย่างสกุลหลี่อยู่แล้ว เมื่อคิดว่าหญิงที่ใกล้จะมาเป็นลูกสะใภ้เป็นคนสมองเสื่อมพาออกงานไม่ได้ ความอึดอัดรำคาญใจนี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อคิดว่าภายหน้ากลับเมืองหลวง งานเลี้ยงน้ำชาในเรือนหลังคงมีไม่น้อย ลูกสะใภ้ของคนอื่นล้วนเป็นธิดาตระกูลใหญ่เฉลียวฉลาด พอมาถึงบ้านนาง กลับต้องพาคนปัญญาอ่อนไปทำขายหน้า นางก็กังวลทั้งคืนจนยากจะนอนหลับได้

แต่ว่าสกุลเสิ่นที่ผ่านมาอยู่ในการตัดสินใจของบุตรชายคนรอง เขาเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อฟังมารดาเลย แม้จะกังวลแต่นางก็ทำได้เพียงอดทนไว้ อย่างไรเสียการฟื้นฟูสกุลเสิ่นยังต้องอาศัยสุดยอดวิชาการต่อเรือของสกุลหลี่

ทว่าเมื่อวาน บุตรชายกลับมาพูดเปลี่ยนใจ บอกนางว่าจะแต่งกับคุณหนูสามบุตรสาวภรรยารองสกุลหลี่เข้าคฤหาสน์มาพร้อมกันด้วย อยากให้นางไปพูดทาบทามกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ด้วยตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นติในชาติกำเนิดต่ำต้อยของหลี่เสวียนเอ๋อร์ แต่ในใจก็รู้สึกโล่งอกเช่นกัน

หากเป็นจริงตามที่บุตรชายพูดเรื่องว่าหลี่เสวียนเอ๋อร์กุมเคล็ดวิชาสกุลหลี่ที่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอกเอาไว้ แม้ชาติกำเนิดจะไม่สูงนัก แต่ก็เพียงพอจะทูลขอรางวัลจากฮ่องเต้ได้ ถึงยามต้องพานางออกบ้านไปพบปะสหาย ก็ไม่นับว่าขายหน้ามากนัก

อีกอย่าง ภายหน้ารอให้สกุลเสิ่นฟื้นตัว ไม่ต้องใช้เคล็ดวิชาสกุลหลี่แล้ว บุตรชายคนรองค่อยหาคู่ครองที่เหมาะสม ให้นางที่เป็นสะใภ้จากลูกภรรยารองไปเป็นอนุหลีกทางให้คนเหมาะสมกว่าก็นับว่ามีเหตุผล เพื่อนบ้านข้างเคียงก็พูดนินทาว่าร้ายอะไรไม่ได้!

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เมฆหมอกในใจฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นก็จางหายไป จึงทำตามคำสั่งของบุตรชายมาพูดทาบทามที่คฤหาสน์สกุลหลี่

ไม่คิดว่าพอเข้าประตูมาก็เห็นคนในคฤหาสน์สกุลหลี่ท่าทางเคร่งเครียดเตรียมปะทะกัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ปั้นหน้าเครียด จนกระทั่งเห็นนางจึงได้ฝืนยิ้มออกมา แต่ในตอนที่นางลองเอ่ยปากพูดทาบทามกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ตึงเป็นกลองหนังวัวอีกครั้ง

“เห็นทีนี่คงไม่ใช่คุณหนูสามในคฤหาสน์ของพวกเราคิดไปข้างเดียวเสียแล้ว แต่ได้พูดเจรจากับสกุลเสิ่นของพวกท่านไว้ก่อน! ในเมื่อสองฝ่ายรักกัน ข้าที่เป็นฮูหยินใหญ่จะมีเหตุผลอะไรไปขัดขวางล่ะ ไม่เช่นนั้นคนนอกคงจะเข้าใจผิดว่าข้าใจร้ายกับลูกของภรรยารอง” เมื่อมีสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่เลอะเลือนมาตลอดก็นับว่าเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน คิดถึงครั้งก่อนที่โจวอี๋เหนียงเสนอเรื่องแต่งงานพร้อมกันขึ้นมา ที่แท้ก็มีแผนไว้แต่แรกแล้ว ในใจของนางโกรธจนแทบระเบิด!

ว่ากันว่าหนาวร้อนทำให้รู้น้ำใจจริง คิดไม่ถึงว่าพอบุตรสาวคนรองป่วย แต่ละคนในคฤหาสน์ก็พากันเผยร่างแท้ และยังรีบร้อนจนทนไม่ไหวเช่นนี้อีกด้วย…

ความโมโหจู่โจมหัวใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงพูดเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง “แต่เมื่อสกุลเสิ่นของพวกเจ้าทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ารังเกียจลูกรองของข้าที่ประสบอุบัติเหตุจนสมองเสื่อม แต่สกุลหลี่ของพวกเราไม่เคยเอาการหมั้นหมายก่อนหน้านี้มาข่มขู่สกุลเสิ่นของพวกเจ้าว่าต้องแต่งงานให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ การหมั้นหมายก่อนหน้านี้ก็ถือว่าไม่เคยมีมาก่อน สกุลเสิ่นของพวกเจ้ามีน้ำใจมีคุณธรรม มีพร้อมทุกอย่าง ลูกรองของข้าไม่มีวาสนามากอย่างนั้น รับไว้ไม่ไหว สกุลหลี่ของพวกเราไม่ขาดเงิน แม้รั่วอวี๋จะไม่ได้แต่งงานไปตลอด แต่แค่สตรีผู้เดียวสกุลหลี่ยังเลี้ยงไหว!”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พูดพลางลุกขึ้นยืน “เทียบถอนหมั้นพรุ่งนี้จะส่งไปถึงคฤหาสน์สกุลเสิ่น สำหรับเรื่องการแต่งงานของสกุลเสิ่นกับคุณหนูสาม ขอให้ฮูหยินเสิ่นเจรจากับโจวอี๋เหนียงเอง คุณชายรองเสิ่นกับคุณหนูสามล้วนเป็นคนมีความคิด โจวอี๋เหนียงก็คิดการรอบคอบ ตัวข้าตัดสินใจแทนพวกเจ้าไม่ได้หรอก!”

พูดจบนางก็นำสาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสออกจากโถงไปด้วยความโมโห

โจวอี๋เหนียงถูกคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่บีบจนหน้าตึงเป็นพักๆ รู้สึกอับอายไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด

หลี่เสวียนเอ๋อร์รู้สึกเสียใจเช่นกัน ที่แท้เสิ่นหรูป๋อมีแผนการไว้แล้ว ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นของคฤหาสน์สกุลเสิ่นเป็นคนมาพูดทาบทาม นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด หากให้ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นเป็นคนเอ่ยปาก ย่อมถูกต้องตามหลักมากกว่า

น่าเสียดายที่ตนเองใจร้อนและพูดจาใจดำ ถึงขั้นทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่อารมณ์เย็นมาตลอดร้อนใจ ทำให้กอบกู้สถานการณ์นี้ได้ยาก

ตอนที่นางหันไปมองเสิ่นหรูป๋อ เห็นเขาเหลือบมองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วหลุบตาลงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่

ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่น ความโมโหในใจยิ่งพุ่งทะลุก้อนเมฆ นางคิดเสมอว่าตนเองสูงกว่าสกุลหลี่หนึ่งขั้น นางมาที่คฤหาสน์นี้ด้วยตนเองถือว่าลดตัวมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกพูดจาประชดประชันยกใหญ่ ซ้ำยังถูกถอนหมั้นอีกด้วย หนำซ้ำยังโยนนางให้ไปเจรจาการแต่งงานของบุตรชายกับคนเป็นภรรยารอง!

ตระกูลพ่อค้าอย่างสกุลหลี่ต่อให้ได้รับการอบรมมาไม่ดีอย่างไร แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อย่างไรก็เป็นถึงบุตรสาวสกุลบัณฑิต เหตุใดมารยาทแค่นี้ก็ยังไม่รู้เรื่อง กักขฬะอย่างมาก!

ในตอนนี้มองไปทางหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่มีสีหน้าอึดอัด ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นก็รู้สึกขัดตาเป็นอย่างยิ่ง

แม้จะมีหน้าตาหมดจดสะสวย แต่กลับฉายความใจแคบ ทำงานไม่ใจกว้างเหมือนคุณหนูรองหลี่ก่อนป่วยเลย อีกทั้งนางยังมามีความสัมพันธ์ลับกับว่าที่พี่เขยรองและแอบตั้งท้อง เห็นได้ว่าไม่ใช่หญิงที่เรียบร้อยดีงามอะไร! ไว้รอให้สกุลเสิ่นได้ยืนมั่นในราชสำนัก จะต้องให้บุตรชายรีบหย่านางจิ้งจอกนี้ทิ้งไปเสียโดยเร็ว!

เพียงชั่วครู่ ทุกคนเกิดความคิดในใจไปต่างกัน หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นกำชับกับโจวอี๋เหนียงเสียงแข็งว่างานแต่งอีกสิบวันข้างหน้าให้จัดตามเดิม รายละเอียดให้ไปปรึกษากับพ่อบ้านคฤหาสน์สกุลเสิ่นได้ เสร็จแล้วก็จากไปด้วยความโมโหโกรธา

จากนั้นเทียบถอนหมั้นของสกุลหลี่ไม่รอให้ถึงฟ้ามืดก็ถูกส่งไปที่คฤหาสน์สกุลเสิ่นแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นยังโมโหไม่หาย เลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดกับเสิ่นหรูป๋อว่า “ถอนหมั้นก็ดี หญิงโอหังสกุลหลี่แต่งเข้ามาหนึ่งคนก็ทนรับไม่ไหวแล้ว”

เสิ่นหรูป๋อได้ยินเช่นนั้นกลับพูดตอบอย่างหนักแน่น “รั่วอวี๋อีกไม่กี่วันต้องกลับคฤหาสน์แน่นอน หวังว่าท่านแม่จะสั่งคนว่าอีกสิบวันหลังจากแต่งเสวียนเอ๋อร์เข้าบ้านแล้ว ต้องเตรียมงานพิธีอีกครั้ง รับรั่วอวี๋กลับมาในคฤหาสน์ด้วย”

ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นเลิกคิ้วอย่างตกใจ “เจ้าไม่เห็นหรือ เทียบถอนหมั้นของสกุลหลี่ส่งมาแล้ว จะมีการแต่งหลี่รั่วอวี๋นั่นเข้าบ้านได้อย่างไร อีกอย่างนางก็สมองเสื่อมไปแล้ว เจ้าจะแต่งกับนางไปทำไม!”

เสิ่นหรูป๋อไม่ตอบ เพียงแค่พูดสั้นๆ ว่า “ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องถามมาก ทำตามคำสั่งของข้าก็พอ ถ้าไม่แต่งกับรั่วอวี๋…ลูกคงนอนหลับไม่สบาย กินอาหารก็ไร้รสชาติแน่นอน หวังว่าท่านแม่จะตัดสินใจทำตามความคิดนี้ของลูกด้วย!”

เดิมทีเขาไม่คิดจะไว้หน้าสกุลหลี่ แต่หลี่เสวียนเอ๋อร์อดทนรอไม่ไหว ทำลายแผนการของเขาจนหมด ทว่าไม่เป็นไร ตอนนี้ร้านค้าสกุลหลี่อยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว ด้วยแผนการหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ร้านค้าของสกุลหลี่ถูกกวาดเงินไปจนหมดแล้ว ในบัญชีเหลือเพียงหนี้เงินกู้มหาศาลเท่านั้น ขอเพียงเขาขยับเพียงนิด หน้าประตูคฤหาสน์สกุลหลี่ก็จะถูกอุดไปด้วยเจ้าหนี้จนแน่นขนัด

ถึงตอนนั้น เขาจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มาคุกเข่าถึงคฤหาสน์สกุลเสิ่น ยกหลี่รั่วอวี๋มาให้เอง!

พูดถึงตรงนี้ คนที่สมควรตายที่สุดก็คือฉู่จิ้งเฟิงผู้นั้น บังอาจมาทำให้แผนทั้งหมดของเขาวุ่นวาย เดิมทีคิดว่าหลี่รั่วอวี๋ล่วงเกินเจ้าคนผู้นั้น แต่ดูจากสภาพการณ์วันนั้นแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงเห็นได้ชัดว่ายังหลงใหลในความงามของหลี่รั่วอวี๋อยู่ เรื่องนี้ทำให้เขาจำต้องไปขอร้องให้เว่ยกงกงออกหน้า ใช้ภาพผังการต่อเรือประจำสกุลหลี่มาเป็นเหยื่อล่อให้คนแซ่ฉู่นั่นติดกับจะได้ปล่อยตัวหลี่รั่วอวี๋

เมื่อคิดว่ายังต้องรออีกหลายวันจึงจะได้ร่างที่โหยหามาทุกวันทุกคืนมาอยู่ในอ้อมกอดเสพสุขได้ตามใจหวัง เสิ่นหรูป๋อก็รู้สึกว่าใต้ท้องน้อยมีไอร้อนที่ยากจะอธิบายได้เกิดขึ้นเป็นระลอก

บทที่สี่

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ในคืนนี้ยากจะข่มตานอนได้ ในวันรุ่งขึ้น นางจึงสั่งพ่อบ้านให้เตรียมของขวัญ แล้วนั่งรถม้าไปยังที่พักรับรองเพื่อขอพบฉู่ซือหม่า

ตอนที่องครักษ์รายงานต่อฉู่ซือหม่าว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มาขอพบ ฉู่จิ้งเฟิงเพิ่งจะขมวดคิ้วกล่อมให้หญิงสมองเสื่อมกินขนมแป้งเกาลัดปั้นไส้ถั่วแดงไปครึ่งลูก

การป่วยในครั้งนี้หลี่รั่วอวี๋ยิ่งดูอ่อนแอมากขึ้น นางไม่ยอมลุกจากเตียงเลย ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงจะต้องให้คนมาป้อนอาหารเท่านั้นจึงจะยอมกิน

หลี่รั่วอวี๋กินไปได้ครึ่งลูก รู้สึกว่าขนมแป้งปั้นลูกเล็กๆ นี้หวานอร่อยมาก จึงยกที่เหลืออีกครึ่งลูกยื่นไปที่ริมฝีปากบางๆ ของฉู่จิ้งเฟิง

ฉู่จิ้งเฟิงมีหรือจะยอมกินของเหลือจากนาง เขาจึงเอี้ยวตัวเล็กน้อยคิดจะหลบ คาดไม่ถึงว่านางจะไม่ลดละมุดออกมาจากใต้ผ้าห่ม ยามนี้นางสวมเพียงบังทรงสีกลีบบัว เนินอกอวบอิ่มดันเนื้อผ้าให้นูนสูง แขนขาวราวหิมะคู่หนึ่งเผยออกมาให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง เจิดจ้าเสียจนเห็นแล้วแทบจะลืมตาไม่ขึ้น

ฉู่จิ้งเฟิงตัวแข็งไปเล็กน้อย แค่เหม่อเพียงนิดก็ทำให้หญิงสมองเสื่อมผู้นั้นได้เปรียบ ยัดขนมแป้งเกาลัดปั้นไส้ถั่วแดงที่เปื้อนน้ำลายของนางใส่ปากเขา ดวงตาของฉู่จิ้งเฟิงหรี่ลง กลืนของหวานในปากลงไปโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหญิงสาวที่ขยับตัวไปมาตรงหน้าเหมือนของว่างรสอร่อยที่ถูกห่อด้วยเสื้อที่ทำจากข้าวเหนียว รอการแกะออกแล้วกินอย่างมีความสุข…

ในตอนนี้เอง นอกประตูก็มีคนมารายงานว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มาเยือน

เดิมทีด้วยฐานะของฉู่จิ้งเฟิง ไม่มีทางไปพบฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ผู้นี้แน่นอน

สกุลหลี่แม้จะมีเงิน แต่ก็ยังเป็นเพียงตระกูลพ่อค้า จะมาเสวนากับฉู่จิ้งเฟิงที่สูงศักดิ์เป็นถึงพระญาติได้อย่างไร

แต่อาจเป็นเพราะเมื่อครู่กินของว่างครึ่งชิ้นที่หวานหอมอ่อนนุ่มเหลือเกินลงไป ฉู่จิ้งเฟิงจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ยอมให้เกียรติแก่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ พยักหน้าจะออกไปพบด้วยตนเอง

ครั้งก่อนอยู่ไกลจากซือหม่าผู้นี้ จึงไม่เห็นหน้าตาของเขาชัดเจน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดินเข้าไปในโถงรับแขกที่พักรับรองอย่างกังวล ก็ช้อนตาขึ้นมองผู้ที่ผีเห็นยังหวั่นผู้นี้ซึ่งอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว จึงพบว่าหน้าตาชายหนุ่มผู้นี้มีกลิ่นอายเย็นเยือกที่ทำให้คนตัวสั่นได้ทั้งที่อากาศไม่หนาว ใบหน้าเย็นชานั้นกอปรกับผมขาวประหลาด ทำให้คนเห็นแล้วไม่มีความคิดอยากจะเข้าใกล้เลยจริงๆ

แต่เพื่อบุตรสาวตนเองแล้ว แม้จะเป็นยมบาลผู้ตัดสินภูตผีในยมโลกก็ต้องเอาชีวิตเข้าขอร้อง

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พยายามรวบรวมความกล้า ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ขอบคุณซือหม่าที่ให้ข้าน้อยเข้าพบ เมืองเล็กอย่างเมืองเหลียวเฉิงไม่มีของล้ำค่าอะไรที่สามารถเอาออกมาได้ จึงตั้งใจเอารากเหอโส่วอู อายุห้าร้อยปีที่ร้านของสกุลหลี่ซื้อไว้มาให้ใต้เท้าบำรุงร่างกาย”

ฉู่จิ้งเฟิงช้อนตามองไป ในกล่องของขวัญที่เปิดออกมีรากเหอโส่วอูรูปร่างเหมือนคนชิ้นใหญ่วางอยู่ มองดูสีสันและรูปร่างแล้วนับเป็นของชั้นเลิศยิ่ง

“ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ลำบากแล้ว แต่รากเหอโส่วอูนี้เป็นการเสียดสีว่าข้าผมขาวเต็มหัวอย่างนั้นหรือ” เขาดื่มชาหนึ่งอึก ขนตายาวหลุบลง เอ่ยถามอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

ถูกฉู่จิ้งเฟิงถามเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที ครึ่งค่อนชีวิตของนางไม่เคยต้องเหน็ดเหนื่อยคิดอะไรเลย สามีมีความสามารถ บุตรสาวฉลาดเฉลียว การรับรองในสถานการณ์เหล่านี้นางต้องออกหน้าเสียเมื่อใดกัน

วันนี้เตรียมของขวัญให้ฉู่ซือหม่า นางก็คิดจนหัวแทบแตก ได้ยินว่าซือหม่าผู้นี้เป็นผู้นำกองทหาร เป็นคนสำคัญยิ่ง คิดว่าคงพบเห็นความหรูหรามาจนชินแล้ว ไม่รู้ว่าเขาชอบอะไร คิดถึงว่าเขามีผมขาวตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นจึงเตรียมรากเหอโส่วอูอายุห้าร้อยปีชั้นเลิศที่หาได้ยากนี้ และเตรียมโฉนดที่ดินร้านค้าหลายแห่งในเมืองหลวงพร้อมกับตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเพื่อติดสินบนใต้เท้าซือหม่าผู้นี้

แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเอ่ยปากขอร้องแทนบุตรสาวคนรองก็ถูกซือหม่าสั่งสอนเป็นนัย นางรู้สึกว่ารากเหอโส่วอูที่มอบให้นั้นราวกับเหล็กร้อนลวกมือ ทำให้นั่งยืนก็ไม่สบายใจ

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทำได้เพียงพูดว่า “ข้า… ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนี้…”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พบเจอชายหนุ่มเจียงหนานที่สุภาพมาจนชิน คิดว่าชายจากทางเหนือต้องพูดตรงไปตรงมา ตอนนี้กล่องของขวัญใหญ่ๆ นี้วางเรียงอยู่บนโต๊ะ ตั๋วเงินและโฉนดที่ดินก็วางอยู่ริมกล่องเผยให้เห็นมุมหนึ่งของแผ่นกระดาษ ได้แต่รอดูคำพูดประโยคเดียวของท่านซือหม่าว่าจะปล่อยคนหรือไม่ปล่อย

แต่ซือหม่าผมขาวใบหน้าเย็นชาผู้นี้กลับยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างช้าๆ ใช้เวลาไปกับการดื่มชาสามอย่างของเมืองเหลียวเฉิงอย่างเต็มที่

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่กล้าเร่งเขาเช่นกัน ทำได้เพียงใช้สายตากระวนกระวายมองดูมือใหญ่เรียวยาวที่ถือดาบถือกระบี่จนชินจับตะเกียบไม้ไผ่เล็กๆ คีบเม็ดบ๊วยกับน้ำตาลกรวดใส่ในถ้วยทีละอย่าง

อย่าเห็นว่าฉู่ซือหม่าเป็นคนต่างถิ่น แต่การดื่มชานี้พิถีพิถันมาก การดื่มโดยใส่ลูกบ๊วยหนึ่งเม็ดกับน้ำตาลกรวดสองก้อนเหมือนกับความชอบของบุตรสาวคนรองของนาง…

ในขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เริ่มเหม่อ ฉู่จิ้งเฟิงก็เอ่ยปากพูดขึ้นทันใด “ฮูหยินร้อนใจเช่นนี้ เพราะกลัวจะเสียเวลาการแต่งงานของแม่นางรั่วอวี๋หรือ”

ฉู่จิ้งเฟิงมีกลิ่นอายกดดันคนอยู่แล้ว ตอนนี้เขาถามขึ้นอย่างกะทันหัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่ทันตั้งรับจึงหลุดปากพูดความจริงออกมา “ไม่ใช่อย่างนั้น บุตรสาวข้าถอนหมั้นกับสกุลเสิ่นแล้ว…” พูดได้ครึ่งหนึ่ง นางก็รีบหยุด น่าเสียดายที่ถึงเสียใจก็ไม่ทันการณ์แล้ว

ฟังถึงตรงนี้ ฉู่จิ้งเฟิงก็ยั้งถ้วยชาไว้เลิกคิ้วแล้วถาม “อ้อ? คุณชายรองเสิ่นไม่ต้องการแต่งงานแล้วหรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นฉู่ซือหม่าสนใจกันขึ้นมาแล้วจึงลอบถอนหายใจ ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายถามกลับแทงใจดำของนางยิ่ง เรื่องน่าอับอายของสกุลเช่นนี้ยากจะพูดนัก แต่ก็ไม่กล้าไม่ตอบจึงฝืนใจพูดขึ้นว่า “ใต้เท้า ท่านก็เห็นว่าบุตรสาวข้าป่วยจนเป็นเช่นนั้นแล้ว ยังจะเป็นภรรยาผู้ใดเขาได้อย่างไร จะไปทำลายสกุลของผู้อื่นก็ไม่ดี คิดไปคิดมา ข้าน้อยจึงตัดสินใจถอนหมั้นกับสกุลเสิ่น คุณชายรองเสิ่นเปลี่ยนไปแต่งกับ…คุณหนูสามสกุลหลี่ของพวกเรา ก็นับว่า…เป็นการรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองสกุลเอาไว้ได้”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยังพูดไม่ทันจบ ฉู่ซือหม่าก็ถามต่ออีกว่า “เทียบถอนหมั้นนั่นส่งไปถึงแล้วหรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าตอบ

จากนั้น ฉู่ซือหม่าผู้นั้นก็นิ่งเงียบขึ้นมาอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงพูดต่อไปว่า “เดิมทีข้าเห็นวันมงคลของคุณหนูรองใกล้เข้ามาแล้ว คิดว่าอาการป่วยของคุณหนูรองไม่เป็นอะไรมาก ไม่แน่ว่าแต่งงานเสริมมงคลเสียหน่อยก็หายแล้ว ถึงตอนนั้น คดีขนส่งสินค้าต้องห้ามนี้จะได้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับบอกว่าถอนหมั้นไปแล้ว เช่นนั้นพิสูจน์ได้ว่าอาการป่วยของคุณหนูรองหนักจริงๆ ทำให้คนป่วยลำบากใจเช่นนี้ดูออกจะ…”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินคำพูดก็รู้ว่าสามารถพลิกโอกาสได้ จึงรีบแสดงสีหน้าร้อนใจ “อาการป่วยบุตรสาวคนรองของข้าน้อยหนักมากจริงๆ…”

ฉู่ซือหม่าลากเสียงพูดยาว “แต่ถ้าอีกไม่กี่วัน คุณหนูรองจะแต่งงานอีกครั้ง…”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังแล้วก็รีบโบกมือ “จะรวดเร็วเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่มีทาง ไม่มีทาง…”

 

ตอนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่หอบเอาโฉนดที่ดิน ตั๋วเงิน พร้อมกับรากเหอโส่วอูชิ้นใหญ่ที่ถูกส่งคืนเดินออกมาจากที่พักรับรอง ยังรู้สึกงุนงงเหมือนอยู่ในเมฆในหมอก ไม่รู้ว่าซือหม่าผู้นี้เหตุใดจึงยอมหลอมละลายภูเขาน้ำแข็งพันปี ไว้หน้านาง รับปากให้นางมารับบุตรสาวคนรองกลับคฤหาสน์ในวันพรุ่งนี้

แต่ไม่ว่าซือหม่าจะสะกิดใจส่วนใด การที่บุตรสาวคนรองจะได้กลับคฤหาสน์มาอย่างปลอดภัยก็นับเป็นเรื่องดียิ่ง

ตอนที่รอบุตรสาวกลับคฤหาสน์ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตั้งใจสั่งพ่อบ้านให้ซื้อขาหมูชั้นเลิศมา ต้มบะหมี่หนึ่งหม้อให้บุตรสาวคนรองกินล้างโชคร้าย จากนั้นนางก็พาสาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสหลายคนไปรออยู่ที่ประตู ยืดคอรออยู่ตรงนั้น

รอจนถึงกลางวัน รถม้าที่ส่งไปจึงมาปรากฏที่ปากตรอก

แม้จะอยู่ในคุกมาหลายวัน แต่สีหน้าของหลี่รั่วอวี๋ดีขึ้นมาก ผมยาวหวีอย่างเรียบเงางาม เสื้อผ้าก็สะอาดสะอ้านเรียบร้อย

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นท่าทางยิ้มคิกคักเหมือนคนโง่เขลาของบุตรสาว ในใจก็พลันรู้สึกโล่งอก

แต่นางยังกังวลใจเรื่องหนึ่ง แต่ไม่อาจบอกกับคนนอกได้

หลังจากบุตรสาวกลับห้อง นางจึงวางม่านกั้นลง ถอดเสื้อชั้นนอกของบุตรสาวออก ตรวจดูจุดพรหมจรรย์รูปดอกเหมยบนแขนของนางอย่างละเอียด

โชคดีที่จุดพรหมจรรย์นั้นยังเป็นเหมือนที่ผ่านมา ไม่เปลี่ยนไปเลย เห็นได้ชัดว่าบุตรสาวสมองเสื่อมของนางไม่ได้ถูกหมิ่นเกียรติอะไรที่ยากจะเอ่ยปากพูดได้… แต่บนท้องของนางแปะแผ่นยาที่มีกลิ่นยาหอมลอยมาแตะจมูก

ได้ยินหญิงจากที่พักรับรองที่ได้รับมอบหมายให้คุ้มครองส่งหลี่รั่วอวี๋กลับมาบอกว่า ตอนถูกคุมตัวไว้โรคกระเพาะของหลี่รั่วอวี๋กำเริบ แต่ท่านซือหม่าเห็นแก่ความจงรักภักดีที่ผ่านมาของสกุลหลี่ สร้างประโยชน์ให้แคว้นอย่างมาก จึงเชิญท่านหมอมารักษาอาการให้นาง แผ่นยาที่แปะไว้นี้เป็นสูตรยอดเยี่ยมในการรักษาโรคปวดกระเพาะ ต้องแปะติดต่อกันหลายวัน จะขาดไม่ได้ ดังนั้นยาที่จัดไว้เรียบร้อยแล้ว หญิงที่ได้รับมอบหมายมานั้นจึงนำมาด้วย

นอกจากแผ่นยาสำหรับแปะกลิ่นหอมหลายแผ่นแล้ว หลี่รั่วอวี๋ยังเอาของเล็กๆ น้อยๆ กลับมาด้วย อย่างเช่นหวาหรงเต้า ที่แกะสลักด้วยไม้จันทน์หอม สลักหลู่ปัน ที่ไม่ซ้ำแบบเก้าชุด นาฬิกาทรายที่ฝังหินโมรา… ที่น่าประหลาดที่สุด คือยังมีนกแก้วปากงุ้มที่ตัวขาวโพลนอีกหนึ่งตัว

หากไม่ใช่หลายวันมานี้ร้องไห้จนตาแทบบอด ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คงสงสัยว่าบุตรสาวคนรองไม่ได้เข้าคุก แต่เป็นเหมือนเสียนเอ๋อร์ ไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษา

เด็กน้อยผู้นั้นทุกครั้งที่ไปสำนักศึกษา เลิกเรียนกลับมามักจะเอาของเล่นของสหายโต๊ะข้างเคียงกลับมาด้วยเสมอ

“รั่วอวี๋ ของพวกนี้เอามาจากที่ใด” ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ขมวดคิ้วถาม

หลี่รั่วอวี๋เคี้ยวบะหมี่ที่กลิ่นหอมฉุย พูดตอบไม่ชัดเจนว่า “พี่…พี่ชายให้มา… ไม่อย่างนั้น รั่วอวี๋จะร้องไห้…”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คิดๆ ดูแล้ว ตีให้ตายนางก็ไม่กล้าเอาคำว่า ‘พี่ชาย’ นี้ไปสวมให้กับซือหม่าตายด้านผู้นั้น จึงคิดว่าคงเป็นพลทหารใจดีคนใด เห็นหลี่รั่วอวี๋ร้องงอแงน่าสงสาร จึงเอาของเหล่านี้มาล่อหญิงสมองเสื่อมเท่านั้นเอง

ทว่าของอื่นยังดี แต่นาฬิกาทรายฝังหินโมรากับนกแก้วตัวขาวโพลนนี้ แค่ดูก็รู้ว่าราคาไม่ถูกเลย ไม่เหมือนคนที่เป็นพลทหารจะมีเงินซื้อมาให้ได้

ในตอนนี้ หลี่รั่วอวี๋กินอิ่มแล้วก็โผไปข้างแท่นไม้ที่คล้องนกแก้วเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ นั่งอยู่บนเบาะนุ่มของเก้าอี้กลมเบิกตาโตมองดูเจ้านกแก้วใช้ปลายปากงุ้มจัดการไซ้ขนอย่างสนุกสนานแล้วพูดด้วยเสียงตื่นเต้น “จี๋เฟิง… อีกครู่…ไปจับกระต่าย…”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังแล้วรู้สึกงุนงง พ่อบ้านที่ไปรับคุณหนูรองกลับมาในตอนเช้าก็อธิบายว่า “เมื่อครู่บ่าวใส่ซองเงินส่งหญิงที่รับผิดชอบมาส่งกลับไปแล้ว ของเล่นเหล่านี้ซือหม่าเป็นคนสั่งให้ซื้อมาให้คุณหนูรองขอรับ สำหรับนกแก้วตัวนั้น ตอนที่คุณหนูรองจะจากมา เห็นเหยี่ยวล่าสัตว์ที่ซือหม่าปล่อยไว้ในลานบ้านพอดี และร้องไห้งอแงมาก เอาแต่บอกว่าไม่กลับแล้ว จะเอาเหยี่ยวล่าสัตว์ตัวนั้นกลับมาด้วยให้ได้”

พูดถึงตรงนี้ พ่อบ้านก็เช็ดเหงื่ออย่างหวาดหวั่นแล้วพูดต่อว่า “ความกล้าของคุณหนูรอง…ยังคงไม่ลดไปจากตอนก่อนป่วยเลย กล้าไปเอ่ยปากขอต่อหน้าซือหม่าหน้าเครียดผู้นั้น… จะเอาสัตว์ปีกดุร้ายแบบนั้นไปทำอะไรกัน ข้าน้อยเกรงว่าซือหม่าจะโกรธจนเอาชีวิตคน ตกใจจนแทบจะปล่อยเบารดกางเกง โชคดีที่ซือหม่ายังนับว่าใจกว้าง สั่งให้คนใต้บัญชาซื้อนกแก้วตัวนี้มาให้คุณหนูรอง อย่างไรก็มีปากงุ้มเหมือนกัน มีความคล้ายกันอยู่หลายส่วน”

ในตอนนี้เองหลี่รั่วอวี๋ก็ยื่นมือไปแก้โซ่บนขานกแก้วออก เลียนแบบท่าทางของคนเลี้ยงเหยี่ยวที่ได้เห็นมาในช่วงไม่กี่วันนี้ ยื่นแขนออกไปไล่นกแก้วตัวนั้น พูดเลียนอย่างว่า “ไล่ล่า”

นกแก้วที่ขนเพิ่งจะขึ้นเต็มตัวตกใจ กางปีกบินไปทั่วห้อง ขนสีขาวร่วงจนเต็มพื้น

เพียงชั่วครู่สาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสในห้องนี้ก็ร้องตกใจไม่ขาด

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ถูกนกแก้วเกี่ยวปิ่นปักผมหลุดไปหนึ่งอันเช่นกัน นางเกิดความรู้สึกละอายใจต่อท่านซือหม่าขึ้นมาหลายส่วน คิดว่าหลายวันมานี้ตอนเขาสอบสวนบุตรสาวสมองเสื่อม คงจะได้รับความลำบากมากมาย จึงได้รีบร้อนจะส่งตัวบุตรสาวกลับคฤหาสน์มากระมัง

ตอนนี้คิดไปแล้ว การถอนหมั้นของบุตรสาวทำถูกต้องแล้ว ไม่เช่นนั้นด้วยความโง่ซื่อเหมือนเด็กเล็กของนางเช่นนี้ ไม่ต้องไปทนรับสายตารังเกียจของคนอื่นที่คฤหาสน์สกุลเสิ่นหรือ ตอนนี้ดูไปแล้ว เสิ่นหรูป๋อผู้นั้นก็ไม่ได้มีใจรักบุตรสาวของตนเองเช่นกัน โชคดีที่รู้ตัวได้เร็ว แม้ชาตินี้จะไม่แต่งงาน ก็ไม่มีอะไรหนักหนา สกุลหลี่ไม่ขาดเงิน สามารถทำให้หลี่รั่วอวี๋มีชีวิตที่ดีได้โดยไม่ต้องกังวล!

 

เพราะสกุลหลี่น้องสาวแต่งงานแทนพี่สาว กำหนดวันแต่งงานจึงไม่เปลี่ยนแปลง แต่คนที่คุ้นเคยกับหลี่เสิ่นสองสกุล ล้วนรู้เรื่องที่คุณหนูรองถอนหมั้นกับสกุลเสิ่นแล้ว เมืองเหลียวเฉิงเดิมทีก็ไม่ใหญ่ เพียงไม่นานก็กลายเป็นเรื่องคุยกันหลังอาหารของพวกชาวเมือง

โจวอี๋เหนียงไม่รู้ว่าได้ฟังอะไรมาจากหลี่เสวียนเอ๋อร์ เวลาพูดเสียงก็ค่อยๆ แข็งขึ้นมา วิ่งมาปรึกษาฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เรื่องสินสอดฝ่ายหญิง

“ก่อนตายนายท่านกำชับเอาไว้ ต่อไปเสวียนเอ๋อร์แต่งงานไม่แบ่งเอกอนุ ต้องให้สินสอดมากจำนวนหนึ่ง…” คำพูดโจวอี๋เหนียงแม้จะอ่อนโยนคล้ายหวาดหวั่น แต่ท่าทางต้องการของนั้นไม่ได้อ่อนด้อยแม้แต่น้อย

นายท่านหลี่ตอนยังมีชีวิตอยู่ไม่ค่อยไปที่ห้องของโจวอี๋เหนียง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มักจะคิดว่าเพราะความคิดของตนเองทำให้หญิงสาวชาวนาที่บริสุทธิ์ผู้หนึ่งกลายมาเป็นอนุสกุลหลี่ แต่งเข้ามาในสกุลหลี่แล้วกลับต้องอยู่เฝ้าห้องผู้เดียว ในใจรู้สึกผิดต่อโจวอี๋เหนียงมาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงปฏิบัติต่ออนุผู้นี้ราวกับพี่น้อง

แต่คิดไม่ถึงว่ากลับถูกบุตรสาวของอนุผู้นี้แย่งการแต่งงานของบุตรสาวนางไป ความอึดอัดในใจนางนั้นมีมากยิ่งทว่าไม่จำเป็นต้องแสดงออกทางคำพูด นางเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคำว่า ‘เหตุผล’ นายท่านก่อนตายทำผิดหมางเมินอนุผู้นี้ก็ได้กำชับไว้แบบนี้จริงๆ นางย่อมไม่มีทางไม่ยอมรับ จึงเอ่ยพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าไปจัดแจงงาน ข้าจะกำชับทางห้องบัญชีให้เจ้าไปเบิกเงินก้อนใหญ่จากคฤหาสน์ได้”

โจวอี๋เหนียงขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แล้วเอ่ยต่อ “แต่เวลาเร่งไปสักหน่อย โดยเฉพาะเครื่องประดับ ไปซื้อของสำเร็จรูปเหล่านั้นที่ร้านก็ไม่ค่อยประณีต แล้วถ้าซื้อของขาดอะไรไป จะมิทำให้สกุลเสิ่นหัวเราะเยาะสกุลหลี่ของพวกเราหรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็พยายามสะกดอารมณ์พลางกล่าว “แล้วเจ้าว่าควรจะทำอย่างไร”

“ตามที่น้องคิด สินสอดที่ทำให้คุณหนูรองเหล่านั้นมีครบทุกอย่าง ตอนนี้นางก็ยังไม่ได้ใช้ สู้ว่า…เอามาให้เสวียนเอ๋อร์ใช้ก่อน”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังถึงตรงนี้ก็โกรธจนตบโต๊ะ “วางแผนยึดลูกเขยข้า ตอนนี้ยังคิดมายึดสินสอดของบุตรสาวข้าอีกหรือ! โจวซื่อ เจ้ากล้ามาก! เห็นว่าปกติข้าอ่อนโยนเกินไป ไม่เหมือนสกุลอื่นที่ฮูหยินใหญ่ทุบตีอนุ จึงลืมฐานะของตนเองไปใช่หรือไม่ ในสินสอดของหลี่รั่วอวี๋ นอกจากกล่องเครื่องประดับที่สั่งทำใหม่แล้ว มีครึ่งหนึ่งเป็นของที่ข้าเอากลับมาจากบ้านเกิด ที่เหลือก็เป็นของที่ท่านยายข้ามอบให้ข้า ของเหล่านี้มีเพียงหลี่รั่วอวี๋จึงจะคู่ควร รั่วฮุ่ยบุตรสาวคนโตของข้ายังไม่เคยให้นางแม้แต่ครึ่งชิ้น ตอนนี้เจ้ากล้าเอ่ยปาก บอกว่าจะเอาของเหล่านี้ให้ลูกเจ้า เจ้าก็ต้องดูว่าบุตรสาวของเจ้าคู่ควรหรือไม่ด้วย!”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่เคยพูดจารุนแรงเช่นนี้กับโจวอี๋เหนียงมาก่อน โจวอี๋เหนียงถูกด่าจนอับอายขายหน้า เกิดความโมโหขึ้นในใจ จึงพูดอย่างเย็นชา “เสวียนเอ๋อร์แม้จะเป็นลูกอนุ แต่นางเป็นผู้สืบทอดเคล็ดวิชาการต่อเรือสกุลหลี่เพียงคนเดียว ความร่ำรวยของสกุลหลี่ล้วนมาจากเรือที่สามารถล่องไปบนเกลียวคลื่นนั้นได้ ภายหน้าการค้าของสกุลหลี่ก็ต้องพึ่งนาง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตอนนี้กลับตระหนี่กับสินสอดเพียงแค่นี้ ช่างเป็นคน… มองการณ์สั้นยิ่ง…”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่วันนี้ถูกโจวอี๋เหนียงทำให้โกรธมาก คิดว่าต้องตั้งกฎบ้านบางอย่างจึงจะดี ตอนนี้ไม่สนใจหน้าตาของโจวอี๋เหนียง เตรียมจะสั่งบ่าวหญิงอาวุโสเข้าไปตบโจวอี๋เหนียงแรงๆ สักฉาด แล้วไล่นางกลับห้องไป

แต่ในตอนนี้เอง ในเรือนของหลี่รั่วอวี๋ที่อยู่ข้างเคียงก็มีเสียงดังอึกทึก ได้ยินเสียงตะโกนของหลี่รั่วอวี๋รางๆ ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องของหลี่เสวียนเอ๋อร์อีกด้วย

โจวอี๋เหนียงเดิมทีเห็นสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แปลกไป ในใจลอบคิดว่าแย่แล้ว นึกเสียใจที่ตนเองปากเร็วเกินไป ทว่าพอได้ยินเสียงของบุตรสาวจึงรีบปลีกตัววิ่งออกไปทันที

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนรนใจเช่นกัน กังวลว่าหลี่เสวียนเอ๋อร์จะไปหาเรื่องบุตรสาว หลี่รั่วอวี๋ตอนนี้โง่งมเซ่อซ่า ถ้าเสียเปรียบแล้วจะทำอย่างไร

พวกนางจึงรีบรุดไปทันใด แต่พอไปถึงที่นั่นก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างตระหนก

 

เมื่อเห็นในเรือนของหลี่รั่วอวี๋วุ่นวายยุ่งเหยิง กระถางดอกไม้และอ่างปลาตกแตกกระจายเต็มพื้น สาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสรอบข้างล้วนร้องโวยวายอย่างร้อนใจ อยากจะยื่นมือไปดึงคน แต่ก็หาช่องว่างไม่ได้เลย

ในตอนนี้ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแสบหูดังขึ้นอีก ก่อนจะเห็นหลี่เสวียนเอ๋อร์กุมหัวนอนฟุบอยู่บนพื้น ถูกหลี่รั่วอวี๋นั่งทับไว้แน่น ผมดำขลับบนหัวถูกหญิงสมองเสื่อมกระชาก พอออกแรงกระชากเช่นนี้ ผมกระจุกหนึ่งก็ถูกกระชากติดมือออกมาด้วย

หลี่เสวียนเอ๋อร์ทนไม่ไหว เจ็บจนร้องครวญเสียงดัง น้ำตาที่ไหลออกมาเปื้อนเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าจนดูไม่ได้

เดิมคิดว่าบุตรสาวจะเสียเปรียบ แต่พอมาเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ตกใจยกใหญ่ นางลืมไปได้อย่างไรว่าตอนบุตรสาวอายุห้าขวบก็ได้ไปเรียนที่สำนักศึกษาพร้อมกับเด็กชายอายุหกเจ็ดขวบจำนวนหนึ่ง อย่าเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงแล้วจะอ่อนแอ มาทำให้นางโกรธจริงๆ หรือทะเลาะวิวาทกันขึ้นมาเมื่อใดก็ไม่แพ้เด็กผู้ชายแม้แต่น้อย จึงมักจะมีเด็กผู้ชายอ้วนขาวหน้าเขียวช้ำร้องไห้เช็ดน้ำตาถูกท่านแม่ตนเองพามาฟ้องที่คฤหาสน์สกุลหลี่ ตอนนี้คิดไปแล้ว เสียนเอ๋อร์ปีศาจน้อยที่กร้านโลกนี้แท้จริงก็เลียนแบบตามพี่รองของตนเองกระมัง!

เดิมทีนางกับนายท่านหลี่ยังกังวลว่าบุตรสาวนิสัยดุร้ายเช่นนี้อนาคตจะทำอย่างไรดี โชคดีที่หลี่รั่วอวี๋โตขึ้นก็เชื่อฟังคำสั่งสอนของนายท่าน ค่อยๆ เก็บงำนิสัยความดุร้ายเอาไว้ กิริยาท่าทางก็ดูมีความเป็นกุลสตรี แต่ดูจากทีท่าปัดป่ายไปตามใจชอบในวันนี้ช่างเหมือนนิสัยของบุตรชายคนเล็กยิ่ง ไม่รู้ว่าหลี่เสวียนเอ๋อร์ผู้นี้ไปทำอะไรให้นางโกรธ จึงถูกกดไว้ใต้ตัวแล้วกระชากผมเช่นนั้น

โจวอี๋เหนียงยืนดูอยู่ด้านข้างอย่างปวดใจ เตรียมจะเข้าไปดึงตัวหลี่รั่วอวี๋ขึ้นมา แต่กลับถูกหลี่รั่วอวี๋สะบัด โจวอี๋เหนียงที่อ่อนแอต้านลมไม่ไหวอยู่แล้วก็ลื่นล้มลงท่ามกลางเศษกระถางดอกไม้

รอจนสาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสเข้าไปแยกหลี่รั่วอวี๋กับหลี่เสวียนเอ๋อร์ออกจากกันได้ในที่สุด หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ร้องไห้จนไม่เป็นเสียง ผมเผ้ารุงรัง สีหน้าซีดขาว

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถามบ่าวหญิงอาวุโสที่คอยดูแลข้างกายหลี่รั่วอวี๋ จึงได้เข้าใจสาเหตุของเรื่องราว

หลายวันมานี้ หลี่รั่วอวี๋หลงใหลกับการ ‘ฝึกเหยี่ยว’ ทุกวันจะเล่นกับนกแก้ว เจ้านกแก้วตัวนั้นก็ฉลาด ถูกฝึกจนเห็นผลขึ้นมาบ้างแล้ว

ทุกวันหลังจากปล่อยให้บินก็จะบินกลับมาเองได้ บางครั้งในปากก็จะคาบกิ่งไม้หรือดอกไม้ป่าบางอย่างมาด้วย ยังสามารถได้รางวัลชิ้นโต กินเมล็ดเหอเถา ได้อย่างเอร็ดอร่อย

นกแก้วมีความฉลาด เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่บินออกไป กรงเล็บนั้นก็ไม่เคยว่างเปล่าเลย

แต่วันนี้นกแก้วนั่นบินไปในเรือนของหลี่เสวียนเอ๋อร์ บังเอิญไปคว้าเอาเรือรบจำลองลำหนึ่งที่หลี่เสวียนเอ๋อร์เพิ่งทำใหม่มา บินโซเซกลับมาในเรือนของหลี่รั่วอวี๋ อยากจะรีบเอามาแลกกับเมล็ดเหอเถาลูกใหญ่

หลี่เสวียนเอ๋อร์เห็นนกแก้วคาบเอาเรือจำลองที่ใกล้จะทำเสร็จแล้วไป กลัวว่าความพยายามหลายวันนี้จะต้องสูญเปล่าจึงย่อมไม่ยินดี นำสาวใช้ไล่ตามมาตลอดทาง

รอจนเข้ามาในเรือนแล้ว หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็เห็นหลี่รั่วอวี๋กำลังเล่นเรือจำลองที่ตนเองทำอยู่ข้างอ่างปลาในเรือน เล่นไปพลางแกะชิ้นส่วนออกไปพลาง

คราวนี้หลี่เสวียนเอ๋อร์โกรธไม่น้อยจึงกระโจนเข้าไปแย่งเรือจำลอง แต่หลี่รั่วอวี๋เอี้ยวตัวหลบ หลี่เสวียนเอ๋อร์จึงยิ่งโกรธมาก เมื่อระบายอารมณ์ใส่หลี่รั่วอวี๋ไม่ได้และมองเห็นนกแก้วที่เกาะอยู่บนแท่นไม้ไซ้ขนตนเองอยู่ก็คว้าหลังนกแก้วเอาไว้ ก่อนจะถอนขนนกออกมาหลายเส้น

นกแก้วเจ็บจนร้องครวญ เสียงร้องครวญนี้เข้าไปถึงกลางใจคุณหนูรอง บ่าวหญิงอาวุโสไม่ทันเห็นชัด คุณหนูรองก็กระโดดไปบนตัวของคุณหนูสามแล้ว จากนั้นก็เกิดความวุ่นวายไปทั่ว ปีศาจสาวจากฝันร้ายของเหล่าเด็กในสำนักศึกษาในอดีตปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง…

โจวอี๋เหนียงฟังสาเหตุอย่างชัดเจน แล้วมองบุตรสาวตนเองที่ผมหลุดไปกระจุกหนึ่งก็โมโหจนสั่นไปทั้งตัว อยากจะระเบิดอารมณ์แต่ก็ไม่กล้า อย่างไรเสียคนที่เป็นใหญ่ในคฤหาสน์สกุลหลี่ก็คือฮูหยินผู้เฒ่าหลี่

แต่ในตอนนี้เอง หลี่เสวียนเอ๋อร์กลับกุมท้องร้องเจ็บขึ้นมาทันใด มีบ่าวหญิงอาวุโสตาแหลม พบว่าข้างขาของนางมีเลือดไหลออกมา ดังนั้นเรือนที่เพิ่งเงียบสงบลงก็วุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง

 

ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินท่านหมอที่เชิญมาบอกว่า คุณหนูสามกระเทือนถึงครรภ์ก็โกรธจนตัวเย็นเฉียบ!

ที่แท้เสิ่นหรูป๋อนั่นลอบมีความสัมพันธ์กับหลี่เสวียนเอ๋อร์นานแล้ว!

ได้ยินท่านหมอบอกว่าตั้งครรภ์ได้สามเดือน นี่เท่ากับว่าคนคู่นี้ลอบคบหากันตั้งแต่หลี่รั่วอวี๋ยังไม่ได้รับอุบัติเหตุ เรือนหลังสกปรกเช่นนี้ เสียทีที่นางคิดว่าภายในบ้านสงบดี ตายไปแล้วก็ยากจะไปพบหน้าบรรพชนสกุลหลี่ได้!

หลังจากส่งท่านหมอกลับไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็กลับไปที่เรือนของบุตรสาว ตอนนี้ความยุ่งเหยิงภายในเรือนถูกเก็บกวาดสะอาดดีแล้ว นกแก้วที่ได้รับบาดเจ็บก็ได้สาวใช้ทายาให้ เกาะอยู่บนแท่นไม้อย่างหงอยเหงา ใช้จะงอยปากขูดไปบนไม้เนื้ออ่อนของแท่นไม้อย่างเศร้าใจ

หลี่รั่วอวี๋เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงตัวหลวม รองเท้าปักถูกสะบัดไปด้านข้าง ผมดำขลับปล่อยสยาย กำลังนอนหมอบอยู่บนพรมขนหนาเล่นเรือลำที่นกแก้วคาบมา

เมื่อครู่เพราะมีเรื่องวุ่นวาย หลี่เสวียนเอ๋อร์จึงไม่ทันได้เอาเรือจำลองนั่นกลับไป ตอนนี้เรือจำลองที่ประณีตนั้นถูกสองมือคู่งามของหลี่รั่วอวี๋แกะจนยุ่งเหยิงไปหมด ท่าทางตั้งใจนั้นเหมือนกับตอนที่นางเล่นสลักหลู่ปันไม่ผิดเพี้ยน

เวลาเพียงไม่นาน เรือเล็กที่ถูกแกะออกก็ถูกหลี่รั่วอวี๋ประกอบกลับไปอีกครั้ง จากนั้นนางก็วิ่งไปที่ข้างอ่างรองน้ำในเรือน แล้วปล่อยเรือลงไป

เรือเล็กนั้นตอนแรกยังลอยนิ่งอยู่บนผิวน้ำ ทว่าเพียงไม่นานมีลมพัดมา เรือนั้นก็ขยับโคลงเคลงหลายที จากนั้นก็เริ่มหลุดออกจากกันแล้วจมลงใต้ก้นน้ำ…

หลี่รั่วอวี๋กะพริบๆ ตา ก่อนจะยื่นมือไปหยิบเรือขึ้นมาอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองดู หางตาก็เริ่มปวดขึ้นมาอีกครั้ง

นางอยู่อย่างไม่สนอะไรมาหลายปี ไม่มีความสามารถเหมือนบุตรสาว ตอนนี้เรือลำใหญ่ของสกุลหลี่ลำนี้มอบให้นางเป็นคนคุม หากไม่ระวังก็จะชนหินจมลงสู่ก้นแม่น้ำได้ กิจการนับร้อยปีของสกุลหลี่ต้องสลายไป… เมื่อคิดถึงจุดนี้นางก็รู้สึกใจสั่น คิดใคร่ครวญแล้วรู้สึกว่าสู้แรงกดดันไม่ได้ อาการปวดหัวกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง จึงกลั้นใจให้คนไปตามเสิ่นหรูป๋อมา

ตอนที่เสิ่นหรูป๋อมาถึง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับไม่อยากพบหน้าเขา จึงให้เขายืนอยู่กลางลานบ้าน ให้พ่อบ้านนำคำพูดไปบอกว่า ตอนนี้หลี่เสวียนเอ๋อร์เกิดกระเทือนถึงครรภ์ แม้จะรักษาลูกไว้ได้ แต่ก็เสียเลือดไปมาก อยู่ในคฤหาสน์สกุลหลี่หากเป็นอะไรขึ้นมา สกุลหลี่จะตกเป็นที่ครหาว่าใจร้ายกับบุตรสาวภรรยารอง ขอให้เสิ่นหรูป๋อพาตัวโจวอี๋เหนียงสองแม่ลูกไป และให้พักที่เรือนอื่นรอการทำพิธีแต่งงาน

ความหมายคำพูดนี้คือจะไล่โจวอี๋เหนียงสองแม่ลูกออกจากคฤหาสน์สกุลหลี่ก่อนพิธีแต่งงาน หากสกุลเสิ่นยินดีแต่งงานก็เตรียมงานจัดการได้เอง สกุลหลี่ไม่มีหน้าที่รักษาหน้าตาของชายหญิงคู่หนึ่งที่ลอบมีสัมพันธ์กัน

ภายใต้สายตาดูหมิ่นของพ่อบ้าน สีหน้าของเสิ่นหรูป๋อยังคงเป็นปกติ ไม่มีท่าทีอึดอัดลำบากใจที่เรื่องฉาวถูกคนรู้เข้าแม้แต่น้อย หลังจากพ่อบ้านแจ้งคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จบแล้ว เขาก็แค่เพียงพยักหน้าพลางพูดเสียงเครียดว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มีความคิดเช่นนี้ ข้าน้อยย่อมยอมทำตาม ไม่รู้ว่าจะขอพบคุณหนูรองสักครั้งได้หรือไม่ ถ้านางสบายดีทุกอย่าง ข้าน้อยก็วางใจแล้ว”

ดวงตาพ่อบ้านสกุลหลี่ถลึงจนแทบจะหลุดออกมาแล้ว คิดเพียงว่าคุณหนูรองเป็นคนดีย่อมมีสวรรค์คอยช่วย โชคดีผ่านเคราะห์นี้ไปได้ ไม่ได้แต่งงานกับคนหน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้ เสียทีเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางที่เรียนรู้หนังสือมา เหตุใดจึงไร้เหตุผลเช่นนี้ ยังมีหน้าไปพบคุณหนูรองอีก หากคุณหนูรองสติยังครบถ้วน จะไม่ฝากฝ่ามือไว้บนใบหน้าหล่อเหลาของเขาทั้งรอยและเสียงอย่างนั้นหรือ

พ่อบ้านถ่มน้ำลายไปบนพื้นหินก่อนจะพูดด้วยเสียงสะอิดสะเอียน “คุณหนูรองไม่สบายใจ ไม่ยินดีพบแขก อีกอย่างคุณชายรองเสิ่นมีงานยุ่ง ต่อไปกิจการร้านค้าสกุลหลี่คงไม่รบกวนคุณชายรองเสิ่นแล้ว สำหรับเงินที่ท่านเอามาร่วมหุ้นในร้านก่อนหน้านี้ อีกสองวันทางห้องบัญชีของพวกเราจะคำนวณให้ท่านอย่างละเอียด นับจากนี้หลี่เสิ่นสองสกุลไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีกต่อไป!”

ฟังถึงตรงนี้ บนใบหน้าเสิ่นหรูป๋อก็ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มเลวร้ายออกมา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ “เช่นนั้นเรียนฮูหยินสักคำ ใจที่หรูป๋อมีต่อคุณหนูรองไม่เคยเปลี่ยนไปเลย วันหน้าถ้าทางคฤหาสน์มีอะไรติดขัด มาเอ่ยปากกับหรูป๋อได้เสมอ”

พูดจบเขาก็หมุนตัวไปที่เรือนของหลี่เสวียนเอ๋อร์รับคนออกจากคฤหาสน์

หลี่เสวียนเอ๋อร์นั้นสีหน้าซีดขาว ถูกคนแบกออกไปทางประตูหลัง ส่วนโจวอี๋เหนียงก็พยายามสงบนิ่ง เก็บของใช้ส่วนตัวที่พกง่ายไปกับรถม้าของสกุลเสิ่น

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังการบรรยายของพ่อบ้านแล้วก็ยิ้มเย็นชา คฤหาสน์สกุลหลี่ของพวกเขาต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปพบเขาเสิ่นหรูป๋อ!

 

หลังเสิ่นหรูป๋อรับตัวโจวอี๋เหนียงกับหลี่เสวียนเอ๋อร์ออกจากคฤหาสน์สกุลหลี่แล้วก็พาไปอยู่ในคฤหาสน์ทางตะวันตกก่อนชั่วคราว

แม้ว่าเรื่องฉาวของสกุลหลี่จะไม่อยากให้ลือออกไปภายนอก แต่หากบ่าวในบ้านคนสองคนหลุดปากพูดไปก็จะเป็นข่าวลือไปทั่วเมืองได้ เสิ่นหรูป๋อเป็นคนมีความรับผิดชอบติดต่อกับขุนนางเมืองเหลียวเฉิง และอาศัยชื่อของพี่ชายบริจาคเงินให้กับหอการกุศลในเมือง ดังนั้นชาวเมืองเหลียวเฉิงล้วนเห็นเสิ่นหรูป๋อเป็นคนสูงส่ง ตอนนี้หากข่าวว่าเปลี่ยนน้องสาวมาแต่งงานแทนพี่สาวและคุณหนูสามหลี่ตั้งครรภ์แล้วลือออกไป ผู้คนอาจจะคิดว่าจิ้งจอกไร้ยางอายผู้นี้หลอกล่อพี่เขยก็เป็นได้

นับจากอดีตภายในเรือนหากมีเรื่องฉาว ล้วนไปหาสาเหตุจากฝ่ายหญิง กอปรกับหลี่รั่วอวี๋ป่วยแล้ว เสิ่นหรูป๋อที่มีคุณสมบัติเหนือผู้ใดแต่งภรรยาอื่นก็พอให้อภัยได้ ดังนั้นการวิจารณ์ในเมืองสำหรับเสิ่นหรูป๋อแล้วไม่มีผลกระทบอะไร อย่างไรเสียเสิ่นหรูป๋อยังนับว่า ‘จิตใจดีงาม’ ได้คนเขาแล้วก็แสดงความรับผิดชอบ กำหนดวันแต่งคุณหนูสามหลี่เข้าบ้านแล้ว ชาวเมืองคงเห็นเป็นแค่เรื่องหญิงงามในคฤหาสน์คนสูงศักดิ์ ลือกันสักพักก็เงียบไปเอง

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณหนูรองในคฤหาสน์สกุลหลี่ก็เป็นดอกไม้ที่ไม่มีเจ้าของแล้ว

เหล่าแม่สื่อใหญ่น้อยในเมืองเหลียวเฉิงเริ่มเกิดความคิด แม้คุณหนูรองหลี่จะสมองเสื่อมไปแล้ว แต่เงินของสกุลหลี่ไม่ได้ขึ้นราหรือมีขน หากผู้ใดทนรับอาการโง่ทึ่มนี้ได้ แต่งคุณหนูรองเข้าบ้าน ย่อมสามารถขนกองทองกลับมาได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ผลปรากฏว่าเวลาเพียงไม่กี่วันก็มีคนมาเยือนที่คฤหาสน์สกุลหลี่อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่มาทาบทามสู่ขอมีตั้งแต่บัณฑิตตกยากที่เล่าเรียนอย่างลำบาก และมีลูกหลานในครอบครัวฐานะปานกลาง ถึงจะอ่อนด้อยแต่มือเท้ามีความผิดปกติ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่ทำตัวเสเพลชื่อเสียงเลวร้ายอีกด้วย

หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อดทนต้อนรับมาหลายคนแล้วก็รำคาญใจอย่างมาก จึงประกาศกับคนภายนอกว่าป่วย ปิดประตูไม่รับแขก แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังขวางคนที่มาทาบทามแต่ละสำนักไม่ได้

แต่เมื่อถึงวันมงคลของเสิ่นหรูป๋อกับหลี่เสวียนเอ๋อร์ ในเมืองมีเสียงประทัดดังก้อง เหล่าแม่สื่อจึงพอมีตา รู้ว่าวันนี้ฮูหยินสกุลหลี่ต้องอารมณ์ไม่ดีแน่นอน จึงไม่ได้ไปกินน้ำแกงปิดประตู

อันที่จริงฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่มีเวลาสนใจเรื่องของหลี่เสวียนเอ๋อร์จริงๆ หลายวันมานี้ร้านค้าทุกแห่งพากันมาแจ้งเรื่องด่วน มีสินค้าจำนวนมากค้างจ่าย ก่อนหน้านี้เพราะเสิ่นหรูป๋อสร้างสัมพันธ์อันดีกับพวกเขา ตกลงให้ค้างจ่ายไว้ชั่วคราว แต่ตอนนี้หลังจากเสิ่นหรูป๋อไม่รับผิดชอบร้านค้าแล้ว พ่อค้าเหล่านี้ก็เหมือนทำการตกลงกันมา ต่างพากันวิ่งมาทวงเงิน

ตอนที่พ่อบ้านบอกฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ นางยังไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก กิจการนานหลายปีของสกุลหลี่ จะจ่ายค่าสินค้าไม่กี่ก้อนนี้ไม่ได้ได้อย่างไร

ทว่าหลังจากพ่อบ้านจัดแยกบัญชีรายรับรายจ่ายแต่ละส่วนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงพบว่าร้านค้าของตนเองไม่รู้ว่าขาดเงินไปจำนวนมากเพียงเท่านี้ตั้งแต่เมื่อใด บัญชีนั้นเหมือนกับถูกหนอนชอนไช ใช้เดือนชนเดือนด้วยซ้ำ

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!” ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่กล้าเชื่อสิ่งที่เห็น เพราะหลี่รั่วอวี๋ป่วย เงินค่าสินค้า และเรือโดยสารที่อู่เรือยังไม่ได้ส่งมอบเหล่านี้ เงินที่ต้องชดเชยก้อนใหญ่ราวภูเขาหิมะถล่มทับลงมา แม้จะเป็นเจดีย์เหล็กกล้าก็ยังทานไม่ไหว…

พ่อบ้านจึงพูดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ หนึ่งเดือนก่อนข้าน้อยเคยบอกท่านถึงเรื่องเงินหมุนเวียนสินค้านี้ แต่ท่านไม่ยอมรับฟัง บอกเพียงว่าให้คุณชายรองเสิ่นทำตามเห็นสมควร แต่หลังจากคุณชายรองเสิ่นได้เงินไปหนึ่งรอบ ก็อ้างว่าจะสร้างอู่เรือใหม่ที่เมืองหลวง ขนเงินก้อนใหญ่ไปอีก ตอนที่คุณหนูรองดูแลจัดการ หากไม่มีตราประทับจากนาง เงินแม้ส่วนเดียวก็จะไม่ปล่อยออกไป แต่หลังจากนางป่วย ตราประทับจึงให้ท่านเป็นคนดูแล ใบรายการสั่งซื้อที่คุณชายรองเสิ่นเอามา ท่านล้วนประทับตราปล่อยไปหมด เขาทำงานกับคุณหนูรองมานานอย่างนี้ อุดช่องโหว่ในบัญชีได้ราวกับเอาปูนไปฉาบกำแพง ไหลลื่นอย่างมาก แม้ตอนนี้อยากจะไปแจ้งความว่าเขายักยอกทรัพย์สินสกุลหลี่ของพวกเราก็ไม่มีหลักฐานอะไร!”

พูดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็นับว่าฟังเข้าใจแล้ว บัญชีนี้ถูกเสิ่นหรูป๋อเล่นไม่ซื่อ ตอนนี้เขานับว่า ‘งานเสร็จก็ถอยออก’ คิดบัญชีชัดแล้ว สิ่งที่เหลือทิ้งให้กับสกุลหลี่คือเรือโทรมที่มีรูพรุนนับร้อย แค่สะกิดเพียงเบาๆ ก็จมลงก้นน้ำได้ทุกเมื่อ…

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกแขนขาอ่อนแรง ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มทันที

ตอนนี้นางเข้าใจความหมายคำพูดของเสิ่นหรูป๋อที่ว่า ‘วันหน้าถ้าทางคฤหาสน์มีอะไรติดขัด’ มันซ่อนความโหดเหี้ยมเลวร้ายเอาไว้มากมายเพียงใด

นางกลับเชื่อใจผู้ดีจอมปลอมที่มีแผนการลึกซึ้งอย่างนี้ ในที่สุดนางก็เข้าใจได้รางๆ แล้วว่าตอนแรกเหตุใดบุตรสาวจึงต้องการถอนหมั้น

สกุลหลี่แม้จะเป็นพ่อค้าร่ำรวย แต่เงินส่วนใหญ่ล้วนเอามาใช้ในการจัดการทรัพย์สินที่ดินร้านค้าและไร่นา ตอนนี้แม้จะอยากขายที่ในราคาถูก ทว่าในเวลาอันสั้นคงไม่มีผู้ใดรับซื้อ ยามนี้พวกเจ้าหนี้จะมาทวงหนี้ถึงบ้าน เช่นนี้จะทำอย่างไร คนเป็นพ่อค้าความน่าเชื่อถือสำคัญมาก หากเรื่องเงินค่าสินค้าจ่ายไม่ทันเวลาลือออกไป คงถึงเวลาต้นไม้ล้มลิงกระเจิง ผู้ใดยังจะยอมไหว้วานสกุลหลี่ให้ขนสินค้าชุดใหญ่ให้อีกเล่า

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่สั่งให้พ่อบ้านไปดูในคลังส่วนตัวของคฤหาสน์ว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าใด กลับพบว่าแม้ในคฤหาสน์จะประหยัดเรื่องเสื้อผ้าและอาหาร แต่สำหรับเงินค่าสินค้านั้นแล้วก็เป็นเพียงน้ำแก้วเดียวที่ดับไฟไม่ได้ ทว่าโชคดีที่ยังรับมือกับความเร่งด่วนในตอนนี้ได้บ้าง จึงตัดสินใจจ่ายเงินให้พวกเจ้าหนี้ส่วนหนึ่งไปก่อน

วันที่สองหลังจากวันมงคลของสกุลเสิ่น เสิ่นหรูป๋อก็เขียนจดหมายมาถึงฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ พูดอย่างมองการณ์ไกลถึงข้อดีข้อเสียในเรื่องนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รับรู้อย่างชัดเจนว่ายังมีเงินสำคัญอีกก้อนหนึ่ง นั่นคือเงินค่าจ้างต่อเรือของหลี่รั่วอวี๋ที่รับมาจากกรมปกครองซึ่งได้โยกไปใช้ก่อนแล้ว ตอนนี้สกุลหลี่ไม่อาจทำงานเสร็จตามเวลา ส่วนหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็แบ่งเส้นกับสกุลหลี่อย่างชัดเจน ตอนนี้นางสานงานต่อจากหลี่รั่วอวี๋ เช่นนั้นสกุลหลี่ก็ควรจะมอบเงินนั้นคืนให้แก่สกุลเสิ่น หากไม่เช่นนั้นจะไปแจ้งราชสำนัก และไปเจอกันที่โถงว่าการ!

หากพูดถึงเงินค่าสินค้าอื่นยังพอจัดการได้ แต่เงินของกรมโยธานี้กลายเป็นดาบคมหมายเอาชีวิตที่ลอยอยู่บนหัวสกุลหลี่

หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของเรื่องนี้แล้ว สุดท้ายก็ตอบจดหมายถึงเสิ่นหรูป๋อ คำพูดในจดหมายผ่อนปรนลงมาก ขอร้องให้เสิ่นหรูป๋อยืดเวลาให้ระยะหนึ่ง หากไม่ได้ จะใช้ร้านค้าและที่นามาค้ำประกัน

ครั้งนี้เสิ่นหรูป๋อไม่ได้เขียนจดหมายตอบ แต่ส่งเสิ่นโม่ผู้ติดตามของตนเองมา พูดถึงข้อดีข้อเสียให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังด้วยตนเอง เห็นว่าอู่เรือใกล้จะเปิดทำการแล้ว เงินก้อนนั้นต้องได้มาในทันที หากสกุลหลี่เอาของมาค้ำประกัน เช่นนั้นก็เท่ากับแสดงให้เห็นว่าเอาเงินหลวงมาใช้ส่วนตัวเหมือนเป็นการคาดโทษให้ตนเอง ถึงตอนนั้นไม่เพียงฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ต้องเข้าคุก แม้แต่คุณหนูรองที่ตอนนี้โง่เขลาเซ่อซ่าก็ไม่พ้นความโชคร้ายนี้ไปได้

“ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ทุกเรื่องจะเด็ดขาดเกินไปไม่ได้ ท่านไล่คุณหนูสามออกจากคฤหาสน์ นั่นเป็นความผิดมหันต์! เดิมทีคุณชายรองของพวกเรายังนับว่าเป็นลูกเขยของท่านครึ่งตัว ยามสกุลหลี่มีปัญหา สกุลเสิ่นจะหลบเลี่ยงได้อย่างไร ย่อมต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทว่าตอนนี้หน้าตาถูกฉีกขาดไปแล้ว คนทั้งเมืองล้วนนินทาลับหลังเกี่ยวกับฮูหยินคุณชายรองที่เพิ่งแต่งเข้าบ้าน ท่านช่างทำเกินไปจริงๆ!”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เป็นคนไม่ชอบแย่งชิงกับผู้ใดอยู่แล้ว ตอนนี้ถูกเรื่องรำคาญใจรุมเร้าต่อเนื่องจนคิดอะไรไม่ออก ทั้งยังถูกเสิ่นโม่ตำหนิเช่นนี้อีก ในใจจึงรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนเองอาจจะทำผิดไป จึงถามขึ้นอย่างทำอะไรไม่ถูก “เช่นนั้น…เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี”

เสิ่นโม่กลอกตาแล้วเอ่ยปากพูด “คุณชายรองของพวกเราอันที่จริงคนที่ใจรักที่สุดคือคุณหนูรอง เดิมทีตกลงกันไว้แล้วว่าคุณหนูรองจะแต่งเข้าไป แต่ท่านกลับเปลี่ยนใจกะทันหัน ทำร้ายจิตใจคุณชายรองของพวกเราไม่เบาเลย! ขอเพียงท่านยอมพยักหน้าให้คุณหนูรองแต่งเข้าสกุลเสิ่นตามเดิม คุณชายรองของพวกเราบอกแล้วว่าทุกอย่างเขาจะเป็นคนจัดการ ท่านวางใจได้ ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขก็พอ…”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังถึงตรงนี้ ความโกรธก็พุ่งเข้าสู่หัวใจ อ้าปากด่าออกมาทันที “เขาผายลมชัดๆ! สกุลหลี่ของพวกเราแม้จะต้องล้มละลาย ก็จะไม่ขายบุตรสาวให้เขาเด็ดขาด!”

เสิ่นโม่คาดไว้แต่แรกแล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่มีทางตอบตกลงอย่างง่ายดาย คนเช่นนี้ไม่ถูกบีบจนถึงสุดทางจะยอมเชื่อฟังแต่โดยดีได้อย่างไร!

ตอนนี้เขาจึงแค่นเสียงสบถเย็นชาแล้วลุกยืน “คุณชายรองของพวกเราอีกไม่กี่วันจะเข้าเมืองหลวง ด้วยความสามารถของเขา อนาคตอันสดใสมากมายยังรออยู่ เดิมทีสกุลหลี่ของพวกท่านก็ใฝ่สูงในสกุลเสิ่นของพวกเรา ยามนี้คุณหนูรองเป็นอย่างนั้น ท่านยังเก็บไว้เหมือนของล้ำค่า ถ้าเป็นข้าคงจะส่งนางไปที่คฤหาสน์สกุลเสิ่นแล้ว ตอนนี้ฮูหยินคุณชายรองคนใหม่ตั้งท้องแต่ไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง ถ้าคุณหนูรองรีบแต่งเข้าบ้านและตั้งท้อง หากโชคดี ไม่แน่ว่าอาจจะมีบุตรชายให้คุณชายรองได้ก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ข้าขอให้ท่านคิดให้ชัดเจน อย่าขัดขวางอนาคตของบุตรสาวเลย”

พูดจบเขาก็ไม่มองฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่โกรธจนพูดอะไรไม่ออกอีก สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปทันที

รอจนบ่าวหญิงอาวุโสรีบเทชาโสมร้อนๆ ถ้วยหนึ่งมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ นางจึงผ่อนลมหายใจลงได้

แต่ในตอนนั้นเอง พ่อบ้านก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาบอกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ มีคนมาทาบทามสู่ขออีกแล้วขอรับ…”

ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง จึงพูดเสียงดังว่า “เจ้าเป๋บ้านใดมาหาของดีอีกล่ะ! ไม่พบ! ไม่พบทั้งสิ้น!”

ทว่าพ่อบ้านกลับยืนอยู่กับที่พลางพูดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “เป็น…ท่านซือหม่าพาท่านหญิงไหวอินพี่สาวของเขามาเยี่ยมเยือน ตอนนี้ยืนอยู่หน้าประตู ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่…ข้าน้อยจะพูดอย่างไรดี จึงจะเชิญสองท่านนี้กลับไปได้ขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คิดไม่ถึงว่าผู้ที่พ่อบ้านบอกว่ามาทาบทามสู่ขอจะเป็นบุคคลสองผู้นี้!

ซือหม่าที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยไอสังหารมาที่คฤหาสน์ของนางเพื่ออะไรกัน ยังมีท่านหญิงไหวอินผู้นั้นอีก นางเป็นธิดาชายาเอกของโอรสองค์ที่สองของอดีตฮ่องเต้ ในอดีตองค์ชายรองผู้นี้มีความหวังจะได้ครองบัลลังก์มากที่สุด แต่กลับประกาศไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องงานแผ่นดิน ชื่นชอบในธรรมชาติ หลีกหนีจากการแย่งชิงในราชสำนัก ส่วนท่านหญิงไหวอินธิดาคนโตของเขาก็อภิเษกให้กับฟั่นเจิงที่มีตำแหน่งเป็นอวิ๋นติ่งโหว โอรสคนที่สี่ก็คือคังติ้งอ๋องที่ประจำอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ

เพราะพระปัปผาสะของท่านหญิงไม่ค่อยดี ทนอากาศแห้งในเมืองหลวงไม่ไหว และที่เมืองซูเฉิงซึ่งห่างจากเมืองเหลียวเฉิงไปหลายร้อยลี้มีจวนกลางสวนติดน้ำแห่งหนึ่ง นางจึงไปพักระยะยาวอยู่ที่นั่น

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เคยได้ยินเรื่องพระญาติหญิงของต้าฉู่ผู้นี้มาบ้าง ทว่าสกุลหลี่แม้จะร่ำรวย คบหากับขุนนางไม่น้อย แต่คนที่เป็นพระญาติแท้จริงอย่างท่านหญิงไหวอิน ก็ได้แต่เฝ้ามองไกลๆ ด้วยความเคารพ อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในแวดวงเดียวกัน จะปีนขึ้นไปสูงเช่นนั้นได้อย่างไร ทว่าทุกครั้งที่มีงานฉลอง ทางสกุลหลี่จะจัดขบวนเรือเครื่องบรรณาการเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะและเคยขนเครื่องบรรณาการจากเมืองหลวงไปที่จวนของท่านหญิงผู้นี้ด้วย

ตอนนี้พอได้ยินว่าเป็นสองผู้นี้ที่มาเยือนคฤหาสน์สกุลหลี่ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่เข้าออกจวนขุนนางเป็นประจำก็ยังทำอะไรไม่ถูกจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วให้สาวใช้ประคองรีบรุดไปที่ประตูเรือนทันที

รอจนไปถึงหน้าประตูก็เห็นว่ามีรถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูจริงๆ ทั้งที่ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้พยายามเตรียมขบวนรถม้าให้เรียบง่ายแล้ว ทว่าองครักษ์ที่ตามติดด้านหลังรถม้าก็ยังคงต่อแถวยาวไปจนถึงปากตรอก

มีชาวเมืองจำนวนมากยื่นหน้ามาดู แต่กลับถูกทหารที่เปิดทางด้านหน้าขอให้หลบไป ห้ามออกจากประตูมาดูความยิ่งใหญ่ของขบวนรถงดงามนี้

ท่านซือหม่าขี่ม้ามา ร่างในชุดยาวสีขาวนวลคอตั้งปักขลิบทองลายมงคล แถบรัดเอวใหญ่ทำให้ดูแผ่นหลังตรงยิ่งขึ้น ผมสีเงินทั้งหัวบรรจงถักเปียแล้วรวบไว้ในครอบผมเงินฝังไข่มุกทะเลหนานไห่ คิ้วดกดำ แววตาเย็นเยือก ในตอนนี้แม้ไม่ได้สวมชุดเกราะติดกาย แต่ก็ยังคงดูงามสง่าเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน

หลังจากที่เขาลงจากหลังม้าก็ยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ แส้หนังวัวสีดำเส้นหนึ่งในมือเคาะเสาผูกม้าเบาๆ ราวกับเป็นเทพประจำประตู แม้บ่าวที่เฝ้าประตูจะรับคำสั่งให้เชิญแขกทรงเกียรติทั้งสองท่านเข้าไปรอที่โถงด้านหน้า แต่เขายังคงยืนอยู่หน้าประตูไม่พูดไม่จา

รอจนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ออกมา ม่านขลิบทองบนรถม้าจึงถูกนางกำนัลที่อยู่ด้านข้างพลิกเปิดขึ้น ก่อนที่หญิงสาวเกล้าผมสูง สวมชุดกระโปรงยาวลากพื้นแขนยาวสีม่วง งามสง่าเหนือผู้ใดผู้หนึ่งจะถูกนางกำนัลประคองลงมาจากรถม้าอย่างช้าๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้ว่าคนผู้นี้ต้องเป็นท่านหญิงไหวอินแน่นอน จึงรีบย่อตัวคารวะเป็นการทักทายแขกทรงเกียรติทั้งสองทันที

ท่านซือหม่าที่ยืนอยู่หน้าประตูในตอนนี้จึงได้หยิบเทียบเยือนที่เคลือบขอบสีทอง มอบถึงมือฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ด้วยสองมือ “มาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ขอฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อภัยด้วย”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะพูดอะไรได้ แม้จะถูกขบวนคนตรงหน้าทำให้ตกใจไม่น้อย แต่จะกล้าตำหนิคนทั้งสองที่เป็นถึงพระญาติฮ่องเต้ได้อย่างไร นางถึงขั้นไม่กล้าถามจุดประสงค์ที่มา ได้แต่เชิญทั้งสองท่านเข้าไปที่โถงรับแขกสกุลหลี่ก่อน แล้วสั่งให้พ่อบ้านไปหยิบชุดชากระเบื้องเคลือบเขียวชุดใหม่มาต้อนรับแขกทรงเกียรติทั้งสองนี้

ท่านหญิงไหวอินผู้นี้มีอายุใกล้เคียงกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ แต่ดูแลผิวพรรณอย่างดี จึงดูแล้วสาวกว่าอายุ ตอนที่นางเดินเข้าไปในโถงชั้นหน้าของคฤหาสน์สกุลหลี่ก็แอบมองสำรวจไปรอบๆ รู้สึกว่าความชื่นชอบของครอบครัวพ่อค้านี้ไม่เลว ภาพอักษรที่แขวนไว้ในโถงรับแขกแม้จะไม่ใช่ฝีมือของปราชญ์อักษรชื่อดังในตอนนี้ แต่ดูอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าเป็นผลงานของบัณฑิตในราชวงศ์ก่อน ซึ่งดูเข้ากับการจัดตกแต่งในห้องรับแขกนี้มาก หากไม่รู้เบื้องลึกของสกุลหลี่ คงคิดว่ามาถึงบ้านบัณฑิตคนใดเสียอีก

สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือภาพวาดภาพหนึ่งที่ปลายพู่กันแข็งแรง ทรงพลังอย่างมาก…ดูไม่ออกเลยว่ามาจากฝีมือของผู้ใด

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นท่านหญิงไหวอินมองภาพเรือล่องบนเกลียวคลื่นที่แขวนในห้องรับแขกอย่างสนใจ จึงหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “นี่เป็นภาพวาดฝีมือยังใช้ไม่ได้ของรั่วอวี๋บุตรสาวข้าน้อยเอง ฝีมือหยาบกระด้าง ทำให้ท่านหญิงขบขันแล้ว”

ท่านหญิงไหวอินตกใจเล็กน้อย ดูจากแรงบนปลายพู่กัน ดูไม่ออกเลยว่าเป็นฝีมือของหญิงสาวอายุน้อยผู้หนึ่ง นางจึงพูดชมออกมา “คลื่นใหญ่น่ากลัว ล่องเรือยามเช้า ดูความหมายจากภาพแล้วก็รู้ว่าคนวาดเป็นหญิงพิเศษที่มีความคิดอ่านที่ดี…”

คำชมเช่นเดียวกันนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่รู้ว่าได้ยินมามากเท่าใดแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้นางยังสามารถยิ้มรับได้ แต่ตอนนี้มาฟังคำชมบุตรสาวเช่นนี้อีกครั้งกลับมีความเป็นทุกข์ขมขื่นออกมาจากใจ

หลังจากนางเชิญท่านหญิงไหวอินนั่งลงแล้วก็ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “ขอบคุณท่านหญิงที่ชม ไม่ทราบว่าท่านหญิงกับท่านซือหม่ามาที่นี่ มีธุระอันใดหรือ”

ท่านหญิงไหวอินยิ้มกล่าว “ได้ยินจิ้งเฟิงน้องชายข้าพูดว่าคุณหนูรองของสกุลท่านงามสง่าเพียบพร้อม เป็นหญิงสาวที่น่ารักมาก นึกได้ว่าก่อนตรุษจีนนางเคยส่งของบรรณาการไปให้ข้าที่จวนกลางสวนในเมืองซูเฉิง แต่ว่าตอนนั้นข้าไปท่องเที่ยวกับสามี คลาดกับนาง ไม่เคยได้พบหน้ากัน วันนี้บังเอิญมาเยี่ยมน้องชายที่เมืองเหลียวเฉิง จึงอยากจะมาที่คฤหาสน์พบหน้าแม่นางรั่วอวี๋ผู้นี้ด้วยตัวเองสักครั้ง”

ท่านหญิงไหวอินพูดจาเกรงใจ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้ว่าแม้ตอนนั้นท่านหญิงไหวอินจะอยู่ในจวน ก็ไม่แน่ว่าจะออกมาพบหลี่รั่วอวี๋ด้วยตนเอง สกุลหลี่ต่อให้ร่ำรวยเทียบแคว้น ในสายตาของหญิงชั้นสูงที่เป็นถึงพระญาติเหล่านี้ก็เป็นเพียงตระกูลพ่อค้าธรรมดาๆ เท่านั้น จะแตกต่างอะไรกับพ่อค้าส่งผักส่งน้ำในจวนอ๋องเหล่านั้น แล้วจู่ๆ ไม่มีธุระใดจะลดตัวลงมาพบหน้าด้วยตนเองได้อย่างไร

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังคำบอกของพ่อบ้านก่อนหน้าว่าคนท่านนี้มาเพื่อทาบทามสู่ขอ เทียบที่ฉู่ซือหม่ายื่นมาให้ก็สอดกระดาษสีเหลืองที่เขียนดวงเกิดเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ผู้ที่จะรบกวนสองท่านนี้ได้เป็นคุณชายชื่อดังคนใดกัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกงุนงงจับต้นสายปลายเหตุไม่ถูกจริงๆ

ตอนนี้ท่านหญิงไหวอินไม่พูดเรื่องการทาบทามเลย แต่บอกว่าอยากจะพบหลี่รั่วอวี๋ อีกทั้งเหตุผลก็บอกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง นางจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธได้

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองฉู่ซือหม่าด้วยสีหน้าลำบากใจแวบหนึ่ง “ไม่รู้ว่าท่านหญิงได้ฟังซือหม่าพูดถึงหรือไม่ว่า บุตรสาวข้าน้อยประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้โง่เขลาเซ่อซ่าไปบ้าง เกรงว่าจะเสียมารยาทต่อหน้าท่านหญิง”

ท่านหญิงไหวอินอมยิ้ม “จิ้งเฟิงพูดถึงอาการป่วยของนางแล้ว ได้ยินว่าดีขึ้นบ้างแล้ว ดังนั้นจึงมารบกวน ตั้งใจมาเยี่ยมคุณหนูรองสักหน่อย”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นท่านหญิงไหวอินยืนยันเช่นนี้ จึงสั่งให้สาวใช้เข้าไปเรือนด้านหลังพาหลี่รั่วอวี๋ออกมา

เวลานี้หลี่รั่วอวี๋กำลังยุ่ง หลายวันก่อนนางเห็นกล่องหนังสือของเสียนเอ๋อร์จึงรู้สึกอิจฉามาก จึงอ้อนวอนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ให้เตรียมให้ตนเองบ้างหนึ่งกล่อง สองวันนี้ได้มาแล้วหากว่างก็จะเปิดกล่องฝนน้ำหมึก จากนั้นจะพาดตัวบนโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือฝึกเขียนตัวอักษร

ตอนที่เรือนด้านหน้ามาตามตัวหลี่รั่วอวี๋ ภายในห้องหมึกพู่กันกำลังปลิวว่อน

หล่งเซียงได้ยินว่าโถงด้านหน้าท่านหญิงไหวอินเป็นแขกทรงเกียรติมาเยี่ยมเยือนก็ร้อนใจไม่มีเวลาสนใจว่าคุณหนูของตนเองกำลังสนุกกับการสาดน้ำหมึก จึงรีบดึงตัวหลี่รั่วอวี๋กลับห้องนอนไปเช็ดมือเช็ดเท้าจนสะอาด เลือกชุดสีเขียวเม็ดถั่วที่ขับผิวของหลี่รั่วอวี๋ที่สุดกับกระโปรงยาวคลุมพื้นสีดอกอิงฮวามาเปลี่ยนให้ ผมยาวหนายังไม่ทันได้ใส่น้ำมันจัดแต่งทรง ทำได้เพียงพรมน้ำดอกกุหลาบเพื่อไม่ให้ผมยุ่ง ก่อนจะเหลือหน้าม้าไว้เพื่อเกล้าผมขึ้นอย่างง่ายๆ แล้วปักปิ่นหยกรูปดอกไห่ถัง ที่มีเกสรโผล่ตรงกลาง

รอจนผมแห้งแล้ว ผมที่ฟูฟ่องก็ลีบติดข้างแก้มขาวนวล ทำให้ใบหน้าดูงดงามยิ่งขึ้น มีความงดงามน่ารักสดใสของหญิงสาวมากขึ้น

หล่งเซียงคิดว่าความสามารถในการหวีแต่งทรงผมของตนเองเป็นอันดับต้นๆ ในเรือนหลังทั่วทั้งเมืองเหลียวเฉิง น่าเสียดายที่มาอยู่ข้างกายหลี่รั่วอวี๋คุณหนูที่ไม่รักการแต่งตัว ทำให้เสียฝีมือติดตัวนี้ไปอย่างเปล่าประโยชน์ คุณหนูออกไปอู่เรือจนผิวดำคล้ำทุกวันนั้นไม่ว่า ทว่านางยังยุ่งแต่เรื่องกิจการจนไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องการแต่งตัว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เตรียมเครื่องประดับปิ่นปักผมให้นางมากมายก็ถูกเก็บไว้ในกล่องเครื่องประดับ ทุกครั้งที่หล่งเซียงเห็นก็จะรู้สึกเจ็บปวดแทนเครื่องประดับงดงามเหล่านี้

ทว่าคุณหนูในตอนนี้เข้าหาได้ง่ายกว่าเมื่อก่อนแล้ว ทั้งยังไม่ต้องออกไปทำงานเหน็ดเหนื่อยแต่เช้าตรู่อีก ทุกวันจะนอนจนเต็มอิ่ม ผิวพรรณสดใสมีน้ำมีนวล หลังตื่นนอนก็มานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างดียอมให้นางแต่งนั่นเติมนี่ให้

หล่งเซียงมีความคิดของตนเองว่าสมองของคุณหนูตอนนี้ใช้การได้ไม่ดี แต่ใบหน้าต้องรักษาให้ดี สตรีงดงามไปถึงที่ใดก็มีแต่คนรัก ตามสายตาของนาง คุณหนูถึงแม้จะโง่เขลาไปนิด แต่มีความฉลาดกว่าสตรีโง่งมที่รู้จักแต่นินทาเรื่องภายในบ้านของคฤหาสน์อื่นในเมืองเหลียวเฉิงมากนัก!

ด้วยความคิดที่อยากจะให้ผู้เป็นนายงดงามเสมอนี้ หล่งเซียงทาสผู้ซื่อสัตย์จึงใช้ไข่มุกขนาดเท่าเล็บมือหนึ่งเม็ดมาบดใส่น้ำแป้งแล้วชโลมใบหน้าคุณหนู ทำให้ผิวคุณหนูที่ตากแดดจนดำคล้ำขาวนวลขึ้น

วันนี้การบำรุงมานานนับว่ามีที่ให้ใช้งานแล้ว มีแขกทรงเกียรติมาเยี่ยมคุณหนูโดยเฉพาะ ดูท่าแล้วคงจะมาแนะนำคนดีที่จะมาแต่งงานกับคุณหนู ท่านหญิงไหวอินน่าเชื่อถือมากกว่าแม่สื่อถามท้องถนน นางย่อมต้องแต่งตัวคุณหนูให้ดูงดงามเป็นพิเศษ!

ตลอดทางเดินไปถึงโถงด้านหน้า นางก็พูดปากเปียกปากแฉะกำชับคุณหนูว่าอีกครู่ต้องทำตัวดีๆ อย่างไร คารวะทักทายอย่างไร จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ห้ามขยับไปมาเด็ดขาด

รอจนเข้าไปในโถงด้านหน้าก็พบว่าความเหน็ดเหนื่อยของหล่งเซียงไม่เสียเปล่า ท่านหญิงไหวอินเห็นท่าทางงดงามของคุณหนูรองแล้วดวงตาพลันเปล่งประกายพลางพยักหน้าให้เบาๆ ส่วนซือหม่า ใบหน้าเย็นชานั้นจ้องคุณหนูไม่วางตาเช่นกัน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงหลุบตาลง ก้มหน้าเป่าใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วย

หลี่รั่วอวี๋เดิมทีคิดจะฟังคำของหล่งเซียง เข้าไปคารวะทักทายแขกอย่างดี แต่คิดไม่ถึงว่าพอช้อนตาขึ้นก็เห็นฉู่จิ้งเฟิงนั่งอยู่ในโถงรับแขก จึงหยุดชะงักไม่เดินเข้าไป

นางไม่ได้ลืมว่าหลายวันก่อนได้อยู่ใกล้กับเขา คนผู้นี้เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน เดิมทีเห็นเขาซื้อของเล่นน่ารักมากมายให้ตนเอง ก่อนจากมายังมอบ ‘เหยี่ยว’ ให้นางอีกหนึ่งตัว ก็ค่อยๆ เกิดความรู้สึกอันดีต่อเขา แต่ตอนที่นางใกล้จะขึ้นรถม้า บังเอิญหันหน้าไปมอง เขายืนนิ่งอยู่บนชั้นสองของที่พักรับรองกำลังมองนางอยู่ ในดวงตาปรากฏประกายสีแดงอีกแล้ว…

หลี่รั่วอวี๋แม้จะสมองไม่ค่อยดีนัก แต่ก็คิดได้ว่าตอนที่ในดวงตาของเขามีประกายสีแดง มีความหมายในทางไม่ดี ถูกเขาจ้องอย่างนั้น แม้จะเข้าไปในรถม้าแล้ว นางก็ยังรู้สึกว่าสายตาร้อนแรงของคนผู้นั้นเผาตัวรถจนเป็นรู จึงอยากให้รถม้ารีบจากไป ไปให้ไกลจากเขา

ตอนนี้นางมีความคิดเด็กๆ แม้ทุกวันจะเล่นของเล่นที่เขามอบให้ แต่ก็ลืมน้ำใจของเขาไปหมดแล้ว ผ่านไปนานเพิ่งได้เจอเขาอีกครั้ง ในสมองจำได้แต่ตอนที่จากมา สายตาแดงก่ำจะกินคนของเขา ความลึกล้ำในแววตานั้นคล้ายกับเสิ่นหรูป๋ออยู่บ้าง ตอนที่จ้องนางทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวและรำคาญใจเหลือเกิน!

แต่ตอนนี้เขามาจ้องหน้านางแบบนี้ ทำท่าเหมือนนางเป็นขนมโก๋เมล็ดซิ่ง เคลือบน้ำผึ้ง อยากจะกัดสักคำ… หลี่รั่วอวี๋เบ้ปาก ในใจรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

หล่งเซียงเห็นคุณหนูยืนนิ่งอยู่ตรงประตูโถงก็รู้สึกร้อนใจ กลัวว่าคุณหนูจะงอแง ทำขายหน้าต่อหน้าแขกทรงเกียรติ จึงได้จูงมือคุณหนูและดันให้นางเดินไปข้างหน้าพลางพูดเสียงเบาว่า “ฮูหยินเตรียมผลไม้มากมายให้แขก อีกครู่ดูว่าคุณหนูชอบกินอันไหน หล่งเซียงจะไปหยิบชิ้นใหญ่มาให้ดีหรือไม่”

บังเอิญในตอนนี้ เขาก็เลื่อนสายตาไปเช่นกัน หลี่รั่วอวี๋พ่นลมหายใจ ยอมให้หล่งเซียงดึงตัวนางเข้าไปในโถงรับแขก แล้วหันไปเรียกฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อย่างน่ารักน่าชังยิ่ง “ท่านแม่…” เรียกเสร็จแล้วนางก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ กางให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดูเหมือนของล้ำค่า “รั่ว…รั่วอวี๋เขียนเอง ดีหรือไม่”

บนกระดาษขาวสะอาดนั้น มีอักษรเพียงตัวเดียวคือคำว่า ‘หลี่’ นางเลียนแบบอักษรที่น้องชายเขียนและใช้เวลาฝึกฝนอยู่หลายวัน ในที่สุดก็เขียนตัวอักษรที่นางคิดว่าเป็นตัวแล้ว น่าเสียดายที่หลังจากนางบาดเจ็บที่หัว มือเท้าก็ใช้การได้ไม่ค่อยดี เดือนก่อนเพิ่งจะลงจากเตียงมาเดินได้ ความคล่องแคล่วของข้อมือก็แย่ลงไปมาก อักษร ‘หลี่’ ตัวนี้จึงบิดเบี้ยวไปมา ข้างๆ ยังมีรอยหมึกหยดเต็มไปหมด รอยหมึกกระจายตัวดูเหมือนบนต้นไม้บิดเบี้ยวต้นหนึ่งมีผลไม้สีดำเป็นลูกๆ

หล่งเซียงถูมืออย่างร้อนใจอยู่ด้านข้าง ลอบคิดในใจว่าคุณหนูคว้ากระดาษแผ่นนี้มาใส่อกเสื้อตั้งแต่เมื่อใดกัน

ท่านหญิงไหวอินแม้บนใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่หางตานั้นยังทนไม่ไหวที่จะเหลือบมองภาพล่องเรือฝ่าเกลียวคลื่นที่แขวนไว้ในโถงรับแขกนั้นแวบหนึ่ง…

จริงสิ เป็นผู้ใดได้เห็นตัวอักษรดูไม่ได้ในมือของนาง แล้วมองภาพวาดที่แฝงความหมายภาพนั้น ก็ยากที่จะไม่สบถด้วยความเห็นใจ น่าเสียดายสตรีมีความสามารถผู้หนึ่ง!

คิดถึงตรงนี้ นางก็ทนไม่ไหวเอี้ยวหน้ามองไปทางน้องชาย เป็นการถามแบบไร้เสียงว่าเรื่องที่เขามาขอร้องก่อนหน้านี้จริงจังหรือไม่

ฉู่จิ้งเฟิงนั้นกลับสงบนิ่ง มองหญิงสมองเสื่อมชูของมีค่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ตอนที่ขยับปลายคางไปสบตากับท่านหญิงไหวอินก็ฉายความรำคาญออกมา นิ้วเรียวยาวที่ประคองถ้วยชาขยับเคาะเบาๆ

ท่านหญิงไหวอินเข้าใจนิสัยของน้องชายลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ดี เขากำลังเร่งให้นางรีบเข้าสู่เรื่องสำคัญ

นางจึงแอบถอนหายใจ กลั่นกรองคำพูดแล้วจึงเอ่ยปากออกมา “คุณหนูรองยังฉลาดไม่น้อย ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก คนอื่นล้วนพูดว่าคุณหนูรองงามทั้งในนอก วันนี้เห็นแล้วไม่ใช่เรื่องโกหกเลยแม้แต่น้อย…” พูดถึงตรงนี้ ท่านหญิงไหวอินก็รู้สึกว่าไม่ควรเยิ่นเย้อ จึงพูดต่อว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ เทียบเยือนได้มอบให้แล้ว ในนั้นสอดดวงชะตาที่ข้าได้หาคนมาผูกดวงดูแล้ว ดวงชะตาน้องชายของข้ากับคุณหนูรองก็เป็นคู่ที่ดีหาได้ยากเช่นกัน ไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มีความคิดเช่นใด จะยินดีมอบของรัก ยกคุณหนูรองให้สกุลฉู่ได้หรือไม่”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กำลังจูงมือหลี่รั่วอวี๋ ให้นางมานั่งลงข้างกายตนเอง พอได้ยินท่านหญิงไหวอินพูดเช่นนี้ ในใจไม่รู้สึกตกใจอะไร อย่างไรเสียตอนที่อยู่หน้าประตู ท่านหญิงไหวอินได้บอกจุดประสงค์การมาอย่างชัดเจนแล้ว ถึงแม้นางจะรู้สึกประหลาดใจยิ่ง แต่ก็ยังถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “รั่วอวี๋ของพวกเราสามารถเข้าตาของท่านหญิงได้ นับเป็นวาสนาที่สะสมมาจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านหญิงจะทาบทามให้น้องชายคนใด เขาอายุเท่าใด สุขภาพเป็นอย่างไร เคยแต่งภรรยาเอกหรืออนุหรือไม่ เหตุใดจึงหมายตารั่วอวี๋ของพวกเราได้ หรือว่า… เขาไม่รู้ว่ารั่วอวี๋ป่วยแล้ว”

ไม่โทษที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่รู้ชัดในสถานการณ์ เรื่องการทาบทามสู่ขอปกติจะมีแม่สื่อมาออกหน้า อย่างไรเสียการเจรจาก็มีบางครั้งที่ไม่สำเร็จ หาคนนอกมาช่วยเชื่อมสองสกุล จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดหากไม่ได้ดองกัน ผู้ที่มีฐานะสูงศักดิ์ระดับท่านหญิงนี้มาที่บ้านพ่อค้าแห่งหนึ่งด้วยตนเองเพื่อทาบทามหญิงสมองเสื่อมผู้หนึ่งให้กับน้องชายตนเอง แม้แต่บัณฑิตเล่าเรื่องที่ดื่มสุรามาอย่างหนักก็คงจะเล่าเรื่องแบบนี้ออกมาไม่ได้

ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงตั้งความคิดที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ไม่แน่ว่าน้องชายท่านหญิงผู้นี้อาจจะเป็นคนป่วยหนักใกล้ตาย จึงอยากจะขอหญิงสักคนกลับไปแต่งงานเสริมมงคล ถึงแม้ท่านหญิงจะเป็นถึงพระญาติฮ่องเต้ สวามีก็เป็นถึงขุนนางขั้นโหวที่มีอำนาจล้นฟ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือ น้องชายที่มาพูดทาบทามด้วยก็เป็นขุนพลที่กุมอำนาจทางทหารไว้ แต่การจะขอบุตรสาวของนางกลับไปย่ำยี นางที่เป็นมารดาไม่ยอมเด็ดขาด! แต่จะไล่ออกจากบ้านไปเหมือนแม่สื่อคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องพูดจาขอบคุณความหวังดีของท่านหญิงโดยอ้อม…

ถามจบแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก ในใจลอบคิดว่าอีกครู่จะปฏิเสธอย่างไร

ท่านหญิงไหวอินได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถามเช่นนี้ จึงได้รู้ว่านางไม่รู้เลยว่าคนที่มาทาบทามสู่ขอเป็นผู้ใด เห็นได้ว่าไม่ได้ดูดวงชะตาชื่อแซ่ในเทียบเยือนนั้นเลย ท่าทีขอไปทีเช่นนี้ทำให้ท่านหญิงไม่พอใจยิ่ง แต่สายตาเย็นชาของน้องชายส่งมาอีกครั้ง นางจึงจำต้องพูดต่อไปด้วยสีหน้ายินดี “น้องชายข้าผู้นี้ก็อยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แล้วอย่างไรเล่า คนที่มาทาบทามสู่ขอก็คือน้องชายของข้าฉู่จิ้งเฟิง!”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลั้นไม่ไหว น้ำในปากพ่นพรวดออกมา สำลักน้ำไอติดต่อกันหลายที…

หล่งเซียงเองก็คิดไม่ถึงเลยว่ายามนี้คุณหนูรองจะอยู่นิ่งอย่างดี แต่เป็นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เองที่กลับทำขายหน้าก่อน จึงรีบยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้อีกฝ่ายมือเป็นพัลวัน พลางช่วยลูบหลังให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่

องค์หญิงไหวอินไม่เคยคิดว่าคำพูดนี้ของนางจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตกใจจนเป็นเช่นนี้ ทำได้เพียงนั่งนิ่งรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ปรับลมหายใจ

ไม่อาจโทษที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทำขายหน้า แต่ตีให้ตายนางก็คิดไม่ถึงว่าคนที่มาทาบทามจะนั่งอยู่ในโถงรับแขกคฤหาสน์สกุลหลี่ด้วยตนเอง

คนที่อยากแต่งงานกับบุตรสาวคือผีเห็นยังหวั่นแห่งต้าฉู่หรือ แม้แต่บัณฑิตเล่าเรื่องที่ดื่มยากล่อมประสาทยังพูดเรื่องเหลวไหลแบบนี้ออกมาไม่ได้เลย!

ในขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทำอะไรไม่ถูกนี้เอง ฉู่จิ้งเฟิงก็เอ่ยปากตอบคำถามของนาง “ข้าปีนี้อายุยี่สิบห้า สุขภาพนับว่าแข็งแรง ไม่เคยแต่งภรรยา ที่บ้านก็ไม่มีอนุ ข้าชื่นชมคุณหนูรองหลี่มาตลอด แต่เสียดายที่นางได้หมั้นหมายไว้ก่อน เดิมคิดว่าต้องกอดความเสียใจไปชั่วชีวิต คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองหลี่จะถอนหมั้น จึงได้ตั้งใจมาทาบทามสู่ขอ ขอฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อุ้มสมด้วย เช่นนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยังมีสิ่งใดต้องการถามอีกหรือไม่”

คำพูดนี้พูดอย่างจริงใจ แต่หากเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มคนอื่นพูดประกอบด้วยท่าทางขวยเขิน คงจะให้ความรู้สึกลึกซึ้งเข้ากระดูกได้เพิ่มขึ้นหลายส่วน

ทว่าน่าเสียดายผู้ที่พูดในตอนนี้กลับเป็นฉู่จิ้งเฟิง ชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาราวกับเทพพิฆาตอย่างนั้น ดวงตาหางคิ้วไม่ขยับแม้แต่น้อย เอ่ยชื่นชมคุณหนูรองหลี่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พูดจบก็บีบถามฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อีกว่ายังมีสิ่งใดต้องการถามอีกหรือไม่

ถึงแม้น้ำเสียงจะนับว่านอบน้อม แต่มองดูใบหน้าเย็นชาของเขาแล้วก็รู้สึกเหมือนถูกข่มขู่ บีบจนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกอ้าปากไม่ขึ้น ทำได้เพียงมองไปยังท่านหญิงไหวอินอย่างหาคนช่วย

แท้จริงแล้วท่านหญิงไหวอินก็เข้าใจความรู้สึกของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ บางครั้งนางก็ถูกความเย็นเยือกราวน้ำแข็งของน้องชายบีบคั้นจนหายใจไม่ออก ไม่เช่นนั้นวันนี้นางคงไม่รีบเดินทางจากเมืองซูเฉิงมาที่นี่เพื่อทาบทามสู่ขอด้วยตนเองเพราะน้องชายเอ่ยปากขอร้องหรอก

ท่านหญิงไหวอินจึงเอ่ยปากด้วยความเข้าใจแก้สถานการณ์ได้ทันเวลา “ท่านแม่ของข้ากับท่านแม่ของจิ้งเฟิงเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ท่านน้าของข้าจากโลกไปเร็ว ท่านพ่อของจิ้งเฟิงก็เสียไปตอนที่เขาอายุสิบเจ็ดปี เขาไม่มีท่านพ่อท่านแม่ ก็ต้องให้ข้าที่เป็นพี่สาวคนโตช่วยจัดการเรื่องการแต่งงานให้เขา แต่จิ้งเฟิงเป็นคนตาสูง ไม่มีผู้ใดเข้าตาสักคน ตอนนี้หาได้ยากที่มาหมายตาคุณหนูรองของท่าน เพราะคุณหนูรองกำลังป่วยอยู่ จิ้งเฟิงกังวลว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะเคลือบแคลงความจริงใจของสกุลฉู่ จึงเอ่ยปากให้ข้ามาที่นี่เพื่อเป็นแม่สื่อ แสดงความจริงใจของพวกเรา ถ้ามีสิ่งใดไม่ควร ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อภัยด้วย”

คำพูดปฏิเสธที่เตรียมมาอย่างดีของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย

หากดูแค่ตัวฉู่จิ้งเฟิง เรื่องชาติกำเนิดที่ดีไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ยังเป็นถึงซือหม่าในราชสำนัก กุมอำนาจสำคัญเอาไว้ หากมองข้ามผมขาวเต็มหัวตั้งแต่อายุน้อยนั้นไป ก็นับเป็นคนมีความสามารถ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือคนสูงศักดิ์ระดับนี้กลับยังไม่มีภรรยาเอกไม่มีอนุ ช่างเป็นของล้ำค่าในโลกมนุษย์จริงๆ…

แต่เพราะเป็นบุคคลระดับนี้มีดีทุกอย่างจนไม่อาจหาที่ดีกว่านี้ได้แล้ว จึงยิ่งทำให้เกิดความสงสัย

มังกรในหมู่คนเช่นนี้ เหตุใดจึงได้อยากจะแต่งงานกับบุตรสาวโง่เขลาของนาง และก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขาเองที่เป็นคนสั่งให้จับตัวหลี่รั่วอวี๋ไปด้วย!

คิดถึงข่าวลือที่บุตรสาวคนรองกับซือหม่าผู้นี้มีความบาดหมางกัน ความจริงใจในการมาทาบทามสู่ขอครั้งนี้จึงกลายเป็นเหมือนหลุมพรางลึกล้ำไม่อาจคาดเดาได้ไปทันที

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกว่าสมองของตนเองที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในเรือนหลังมากว่าครึ่งชีวิตราวกับมีน้ำจากแม่น้ำไหลทะลักเข้ามาทำให้สับสนวุ่นวายไปในชั่วพริบตา จิตใต้สำนึกบอกว่าจะรับการแต่งงานที่อาจถึงแก่ชีวิตนี้ไม่ได้ แต่หากปฏิเสธ ก็ต้องมีเหตุผลที่เหมาะสม…

ภายใต้สายตาเย็นชาของซือหม่าผู้นั้น ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ใคร่ครวญคำพูดของเขาเมื่อครู่อีกรอบ ที่สุดก็หา ‘จุดด่างพร้อย’ ที่เหมาะสมได้แล้ว จึงเอ่ยปากพูดว่า “ยากนักจะสามารถได้รับความรักจากซือหม่า แต่ว่าบุตรสาวข้าอายุยังน้อย ไม่ค่อยเหมาะสมกับอายุของใต้เท้า”

ความหมายของคำพูดนี้ ก็คือรังเกียจที่ฉู่จิ้งเฟิงอายุมากไปหน่อย ท่านหญิงไหวอินได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ในเมื่อระเบิดอารมณ์ไม่ได้ จึงถอนใจแล้วพูดว่า “เป็นเพราะสีผม ทำให้จิ้งเฟิงดูอายุมาก จะว่าไปแล้ว เป็นความผิดของโจรชั่วหยวนซู่นั่น ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นจิ้งเฟิงขนส่งสัมภาระการทหารไม่ทันเวลา… ร้อนใจจะรีบฝ่าวงล้อม ก็คงไม่เอาตัวเข้าเสี่ยงจนถูกพิษประหลาด ทำให้ผมกลายเป็นสีเงินทั้งหัว…”

ได้ฟังคำพูดท่อนนี้ของท่านหญิงไหวอินแล้ว สมองของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จากคลื่นลมสงบก็พลันเปลี่ยนเป็นใต้ก้นราวกับมีถ่านไฟลุกโชนยากจะนั่งได้ติด คนที่ขนส่งสัมภาระการทหารคือขบวนสินค้าของสกุลหลี่ จากความหมายในคำพูดของท่านหญิงไหวอิน ซือหม่าผู้นี้สูญเสียความเยาว์ก็ต้องให้สกุลหลี่รับผิดชอบ หากเอาข้อนี้ไปปฏิเสธการทาบทามสู่ขอก็คงพูดได้ยาก!

เหนื่อยใจราวฝ่าน้ำฝ่าไฟเช่นนี้ เหมือนจะเอาชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จริงๆ นางทำได้เพียงนั่งยิ้มแห้งอยู่บนเก้าอี้ แล้วมองไปทางบุตรสาวคนรองที่นั่งอยู่ข้างกายตามความเคยชิน

ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เจอเหตุการณ์ยากจะตัดสินใจได้แบบนี้ ขอเพียงมองไปยังหลี่รั่วอวี๋ นางก็จะรีบแบกรับหน้าที่ไปทันที ไม่ปล่อยให้ตนต้องกลัดกลุ้มใจแม้แต่น้อย

ทว่าตอนนี้บุตรสาวที่เคยฉลาดเฉลียวแข็งแกร่งกลับเอนตัวไปพาดกับโต๊ะชาด้านข้างอย่างเกียจคร้าน ราวกับกระดูกในร่างหายไป ก่อนจะแลบลิ้นแผล็บๆ ไปเลียน้ำในถ้วยชา

หล่งเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้างทนดูไม่ไหว กระตุกแขนเสื้อของหลี่รั่วอวี๋ทันที

ยามนั้นเองหลี่รั่วอวี๋ก็ใช้ปากคาบลูกบ๊วยในถ้วยแล้วยืดตัวตรง จากนั้นจึงห่อปากเล็กแดงและออกแรงพ่นลูกบ๊วยนั้นไปตกลงบนตัวซือหม่าเข้าอย่างพอดิบพอดี

คราวนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ราวกับสมองมีน้ำทะลัก ที่ก้นมีไฟลน น้ำไฟโจมตีเข้ามาพร้อมกัน จึงรีบเข้าไปดึงตัวหลี่รั่วอวี๋ขึ้นมา “เหตุใดจึงไม่มีมารยาทเช่นนี้”

หลี่รั่วอวี๋เดิมทีเล่นอยู่ดีๆ พอถูกท่านแม่ดึงตัวเช่นนี้ ขอบตาก็แดงเรื่อทันที

ในตอนนั้นเอง ฉู่จิ้งเฟิงก็ยืนขึ้นและพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ว่า “ไม่เป็นไร อย่าตำหนิคุณหนูรองเลย วันนี้พาพี่สาวมาก็เพื่อแสดงความจริงใจของข้า ถ้าไม่ได้แต่งกับคุณหนูรอง ข้าคงต้องกอดความเสียใจไปชั่วชีวิตแน่นอน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ ให้ผ่านไปอีกสักหลายวันค่อยปรึกษากันอีกที วันนี้นำของขวัญจำนวนหนึ่งมาให้ หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะยินดีรับไว้”

เขาพูดจบก็ไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ตอบ กล่าวลาและเดินออกประตูใหญ่ไป

ท่านหญิงไหวอินก็กล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เช่นกัน ก่อนจะถูกส่งไปนอกคฤหาสน์อย่างนอบน้อม

 

หลังขึ้นรถม้าและออกเดินทางมาครู่หนึ่ง ท่านหญิงไหวอินจึงพลิกเปิดม่านรถม้าพลางพูดกับน้องชายที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้าง “เดิมคิดว่าสกุลหลี่นั่นต้องตอบตกลงแน่นอนจึงได้ยอมมาพร้อมกับเจ้า ไม่คิดว่าเกือบจะถูกปฏิเสธฉีกหน้ากลับมา จิ้งเฟิง เจ้าอยากจะแต่งหญิงสมองเสื่อมผู้นั้นเป็นภรรยาจริงหรือ นี่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งชีวิต จะทำเป็นเล่นแบบเด็กๆ ไม่ได้นะ!”

น้องชายที่นั่งอยู่บนหลังม้าไม่ได้ตอบคำ ท่าทางยังคงเย็นชาเหมือนเดิม แต่ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันแน่นเป็นคำตอบว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจไม่จำเป็นต้องสงสัย

ท่านหญิงไหวอินทำอะไรน้องชายผู้นี้ไม่ได้ จึงถอนหายใจแล้วปล่อยม่านรถลง

ฉู่จิ้งเฟิงหลุบตาลง จับเชือกบังคับด้วยมือเดียว อีกมือหนึ่งบีบคลึงลูกบ๊วยที่ถูกแช่น้ำไว้จนกลม

นี่เป็นลูกบ๊วยที่หลี่รั่วอวี๋พ่นออกมาเมื่อครู่ เขาวางมันไว้กลางริมฝีปากบาง ก่อนจะบดเบาๆ ลูกบ๊วยที่แช่น้ำชาจนบวมเป่งกัดผิวนอกออกแล้วก็สามารถดูดกินน้ำรสเปรี้ยวๆ ข้างในได้ รสชาตินั้นโลดแล่นอยู่ระหว่างริมฝีปากกับฟัน ราวกับว่าลิ้นเล็กที่เคยชิมก่อนหน้านี้ยังเกี่ยววนอยู่กับเขา…

วันนี้มาถึงบ้านแต่กลับเกือบถูกปฏิเสธ ทว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็อยู่ในการคาดการณ์ของเขาอยู่แล้ว จึงได้ขอตัวกลับก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะเอ่ยปฏิเสธออกมาตรงๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ผู้นั้น แค่มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่หญิงที่ฉลาดเฉลียวอะไร หากถูกแม่สื่อฝีปากดีคนใดมาทำให้เผลอตกปากรับคำ เช่นนั้นลูกบ๊วยที่เขาหมายปองมานานเม็ดนั้นไม่ต้องตกไปอยู่ในปากของผู้อื่นหรือ

จุดประสงค์การมาในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อกอดสาวงามกลับไปในคราเดียว ที่เขาเลือกใช้ขบวนรถม้าหรูหราในการเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อประกาศให้แม่สื่อที่มารบกวนนางไม่หยุดรู้ว่าคุณหนูรองสกุลหลี่ถูกซือหม่าแห่งต้าฉู่หมายตาไว้แล้ว ผู้อื่นอย่าได้มารบกวนอีก!

สำหรับเรื่องราวขั้นต่อไปนั้น ฉู่จิ้งเฟิงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว หญิงที่เดิมทีคิดว่าชาตินี้คงต้องปล่อยมือไปด้วยความเสียใจ แต่นางบุกมาตรงหน้าเขาอีกครั้ง เช่นนั้นก็โทษเขาไม่ได้ที่จะ…

คิดถึงตรงนี้ ฉู่จิ้งเฟิงก็ออกแรงกลืนลูกบ๊วยในปากลงไป ลูกกระเดือกที่คอขยับขึ้นลงเล็กน้อย

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ก.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 28

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: