บทที่ 13 ตามใจถึงเพียงนี้
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงคิดไม่ถึงว่าเจียงชิงหว่านจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากว่าอยากอยู่กับตน ทั้งที่เมื่อก่อนตอนอยู่ที่กานโจวนางเอาแต่หลบเลี่ยงตนอยู่เสมอ
ผู้เป็นย่าอย่างไรก็ชอบหลานสาวของตนเอง เมื่อก่อนฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็เคยอยากจะอบรมสั่งสอนเจียงชิงหว่านให้ดี แต่เด็กผู้นี้ซุกซนเอาแต่ใจเกินไป พยศราวกับม้าหลุดบังเหียน ชวนให้คนชอบไม่ลงจริงๆ ทว่าตอนนี้นางมานั่งเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น ดูท่าทางว่านอนสอนง่ายยิ่ง ซ้ำยังออดอ้อนว่าอยากอยู่กับตน ให้ตนสอนหนังสือนาง
แล้วเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะไม่ชอบเจียงชิงหว่านได้อย่างไร อีกอย่างคนอายุมากก็ชอบความครึกครื้น จะต้องอยากให้ข้างกายมีหลานชายหลานสาวคอยอยู่เป็นเพื่อนทุกวันแน่นอน
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงกล่าวด้วยความยินดีทันที “ข้าจะลืมคำที่พูดไว้ได้อย่างไร เกรงแต่ว่าเจ้าอยู่ที่เรือนข้าจะรำคาญว่าย่าผู้นี้มีกฎระเบียบเยอะ วันๆ เอาแต่ห้ามปรามเจ้ามากกว่า”
“ข้าอยากให้ท่านย่าคอยห้ามปรามข้าทุกวันจะแย่แล้วเจ้าค่ะ” เจียงชิงหว่านใบหน้ายิ้มน้อยๆ “เมื่อก่อนข้าซุกซนเกินไปจริงๆ ยังไม่เข้าใจว่าที่ท่านย่าห้ามปรามนั้นที่จริงเป็นการดีต่อข้า ซ้ำยังไม่พอใจ รู้สึกว่าท่านย่าไม่เอ็นดูข้าเสียอย่างนั้น ทว่าตอนนี้ข้ากลับใคร่ขอร้องให้ท่านย่าห้ามปรามข้า เอ็นดูข้ามากกว่าเจ้าค่ะ”
เจียงชิงหว่านพูดเสียจนฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า เรียกเจียงชิงหว่านมานั่งข้างตนเอง
เจียงชิงหว่านกล่าวขอบคุณ ก่อนลุกขึ้นเดินไปนั่งบนตั่งหลัวฮั่น
เหยาซื่อมองเห็นเจียงชิงหว่านได้รับความชื่นชอบจากฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเพียงนี้ก็ดีใจ รู้สึกว่าตนสามารถยืดอกได้มากขึ้นอีกนิด คนอื่นๆ ในห้องได้ยินบทสนทนาเหล่านี้แล้วย่อมเข้าใจเช่นกันว่าคุณหนูสามผู้นี้ได้รับความสำคัญจากฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมาก ซ้ำยังได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าประตูเรือนซงเฮ่อในบ่ายวันนี้มาด้วย ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะเก็บความคิดดูถูกที่มีต่อคุณหนูสามผู้นี้ลง แล้วเปลี่ยนมาให้ความเคารพแทน
เจียงชิงหว่านรู้สึกได้ว่าบ่าวไพร่ในห้องมองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป และรู้สึกได้เช่นกันว่าพี่สาวคนโตของนางที่เกิดจากอนุภรรยาผู้นั้นมองนางด้วยสายตาลึกซึ้งปราดหนึ่ง
นางเงยหน้าขึ้นมาสบเข้ากับสายตาที่ยังไม่ทันเก็บกลับไปของเจียงชิงเซวียนเข้าพอดี จึงยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่าย แสดงความเป็นมิตรของตนเอง
เจียงชิงเซวียนนิ่งงันไปเล็กน้อย ต่อจากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ กลับมาให้เจียงชิงหว่าน และยังพยักหน้าให้ด้วย
ดวงอาทิตย์ตกดิน แสงเลือนหายไปสิ้น ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ มืดลงแล้ว
สาวใช้หยิบกลักจุดไฟไปจุดตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องทุกดวง รวมไปถึงโคมราชวังบนเพดานและโคมไฟที่ใต้ชายคา ดูเหมือนว่าจะมีเทียนอยู่ทั่วทุกที่ แสงเทียนสว่างไสวไปหมด
โจวอี๋เหนียงและเจียงชิงอวิ๋นก็มาถึงแล้วเช่นกัน กำลังคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและเหยาซื่ออยู่
เวลานี้เองก็ได้ยินสาวใช้ที่ด้านนอกเข้ามารายงานว่านายท่าน เมิ่งอี๋เหนียง คุณหนูรอง และคุณชายสี่มาถึงแล้ว
ประตูฉลุลายของห้องกลางเปิดอยู่ ในลานเรือนก็จุดโคมไฟ เจียงชิงหว่านจึงมองเห็นเมิ่งอี๋เหนียงอุ้มเจียงฉางหนิงเดินช้าๆ มากับเจียงเทียนโย่ว เจียงชิงอวี้ยืนอยู่ข้างเจียงเทียนโย่ว เหมือนกำลังพูดอะไรกับเขาอยู่ เนื่องจากเจียงเทียนโย่วมีรอยยิ้มอ่อนโยนไปทั้งหน้า
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองบุตรชายของตนเอง
นางเข้าใจบุตรชายของตนเองดีว่าเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย หาได้ยากที่จะมีสีหน้าอ่อนโยนปานนี้ สามารถเห็นได้ว่าในใจเขาชอบเมิ่งอี๋เหนียงกับบุตรสาวบุตรชายทั้งสองคนของอีกฝ่ายมากจริงๆ
คนเป็นมารดามองเห็นบุตรชายของตนมีความสุข ย่อมจะมีความสุขไปด้วย ดังนั้นสำหรับเมิ่งอี๋เหนียง…
ช่างเถอะ นางจะถือเสียว่าเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่ง ในเมื่อเป็นที่ชื่นชอบของบุตรชายนาง ขอเพียงอีกฝ่ายไม่ทำอะไรเกินไปก็ปล่อยไปแล้วกัน หากตอนนั้นไม่มีพี่ชายของเมิ่งอี๋เหนียง เจียงเทียนโย่วคงตายไปนานแล้ว นางคงต้องส่งลูกจากไปก่อน ไหนเลยจะยังมีวันที่บุตรหลานเต็มบ้าน ได้สำราญกันพร้อมหน้าครอบครัวเยี่ยงวันนี้
ความเกลียดชังที่มีต่อเมิ่งอี๋เหนียงในใจฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอดจะสลายไปบางส่วนมิได้
เจียงชิงหว่านเองก็มองเห็นท่าทางเดินคุยกันมาอย่างสนุกสนานของพวกเจียงเทียนโย่วและเมิ่งอี๋เหนียงแล้ว รู้สึกเพียงว่าพวกเขาสี่คนเป็นครอบครัวเดียวกัน ส่วนพวกนางที่อยู่ตรงนี้ล้วนเป็นคนนอก
มีความรักใคร่โปรดปรานถึงเพียงนี้จากเจียงเทียนโย่ว มิน่าเมิ่งอี๋เหนียงกับเจียงชิงอวี้ถึงได้รู้สึกว่าตนเองเป็นนายหญิงและบุตรสาวสายตรงของจวนแห่งนี้
เจียงชิงหว่านหันหน้าไปมองซุนอี๋เหนียงกับโจวอี๋เหนียง รวมถึงพวกเจียงชิงเซวียนและเจียงชิงอวิ๋น เห็นพวกนางล้วนมีสีหน้าเรียบเฉย คิดว่าหลายปีมานี้พวกนางคงจะชินกับท่าทางรักใคร่กลมเกลียวของเจียงเทียนโย่วและเมิ่งอี๋เหนียงแล้ว ทว่าเหยาซื่อจะต้องไม่พอใจแน่นอน
เหยาซื่อใบหน้าซีดขาว มือที่จับผ้าเช็ดหน้าก็กำแน่นขึ้นมา
นางต่างหากที่เป็นภรรยาร่วมผูกผมของเจียงเทียนโย่ว สมควรเป็นนางที่ยืนอยู่เคียงข้างเขา ทว่าตอนนี้ตำแหน่งของนางกลับถูกเมิ่งอี๋เหนียงยึดครองไปแล้ว
มิหนำซ้ำถ้าไม่มีเมิ่งอี๋เหนียง ผิงเกอของนางก็คงไม่ตาย เช่นนั้นบัดนี้นางก็จะมีบุตรชายอยู่เคียงข้าง ซ้ำยังเป็นถึงบุตรชายสายตรงคนโต…
มือของเหยาซื่อกำแน่นขึ้นกว่าเดิม ฟันบนขบริมฝีปากล่าง ทำเอาเจียงชิงหว่านเห็นแล้วทรมานใจยิ่ง
ไม่รู้เหตุใดเจียงชิงหว่านจึงนึกถึงชุยจี้หลิงขึ้นมา
คิดว่าตอนนี้เขาก็คงยืนคุยสนุกสนานกับซุนอิ้งเซวียนเช่นนี้ ที่ข้างกายใช่ยังมีลูกของพวกเขายืนอยู่ด้วยหรือไม่ ในขณะที่นางซึ่งเป็นภรรยาร่วมผูกผมได้ตายไปหกปีแล้ว กระดูกก็ไม่รู้หายไปที่ใด และไหนจะลูกที่จากไปก่อนจะได้ลืมตาดูโลกของนางอีก…
ในใจพลันเจ็บปวดขึ้นมา เจียงชิงหว่านจึงหยิบถ้วยชาบนโต๊ะเตี้ยมาก้มหน้าดื่มน้ำชาในนั้นไปอึกหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ได้ยินสาวใช้บอกว่านี่เป็นชากวาเพี่ยนชั้นดี ทว่าตอนนี้ดื่มแล้วกลับไม่รับรู้ถึงรสหวาน เต็มไปด้วยรสขมฝาด
พวกเจียงเทียนโย่วและเมิ่งอี๋เหนียงเดินเข้ามาในห้องแล้ว กำลังคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีท่าทีต่อเมิ่งอี๋เหนียงดีกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง บอกให้พวกเขาลุกขึ้นด้วยท่าทางรักใคร่มีเมตตา จากนั้นก็เรียกให้สาวใช้ยกอาหารขึ้นโต๊ะ
นี่นับเป็นงานเลี้ยงต้อนรับ และเป็นครั้งแรกที่คนทั้งครอบครัวได้นั่งกินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากัน อาหารจะต้องอุดมสมบูรณ์อย่างแน่นอน
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองบุตรชายรวมถึงบรรดาหลานสาวหลานชายของตน จะอย่างไรก็เป็นคนอายุมากแล้ว สิ่งที่ปรารถนาก็เพียงความสุขจากการที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ ดังนั้นสีหน้าเคร่งขรึมที่มีมาตลอดจึงดูอ่อนลงมาก กลายเป็นมีแต่รอยยิ้มแทน ซ้ำยังอุ้มเจียงฉางหนิงไว้บนตัก บอกให้สาวใช้คีบลูกชิ้นในชามรังนกมาใส่ในจานเล็กด้านหน้าตน แล้วตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนป้อนเขากินด้วยตนเอง
เมิ่งอี๋เหนียงมองดูอยู่ข้างๆ ในแววตามีแต่ความเย่อหยิ่งและความภาคภูมิใจที่ระงับไว้ไม่อยู่ นางมองเหยาซื่อปราดหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นคนให้ความสำคัญกับกฎระเบียบ อนุภรรยาไม่อาจนั่งกินข้าวร่วมกับเจ้านาย ดังนั้นนางกับซุนอี๋เหนียงและโจวอี๋เหนียงจึงยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง ในขณะที่เหยาซื่อกลับนั่งอยู่ข้างเจียงเทียนโย่ว ทว่าเวลากินห้ามพูด ฉะนั้นไม่มีหนทางให้นางชวนเจียงเทียนโย่วคุย นางจึงหยิบตะเกียบมาคีบไก่ผัดเมล็ดสนชิ้นหนึ่งและน่องไก่อีกน่องหนึ่งวางลงในจานเล็กด้านหน้าเขา ทว่าเจียงเทียนโย่วไม่ได้กิน ถึงขนาดไม่แม้แต่จะแตะต้อง เหยาซื่อจึงมีสีหน้าหงอยเหงา
เมิ่งอี๋เหนียงเห็นแล้ว รอยยิ้มในดวงตาก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นสองส่วน
สองปีมานี้เจียงเทียนโย่วกำลังไม่พอใจที่รูปร่างตนเองท้วมขึ้น ไม่ได้องอาจผึ่งผายเหมือนตอนหนุ่มๆ ดังนั้นอาหารเย็นจึงไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่จานผัก เรื่องเหล่านี้เหยาซื่อจะไปรู้ได้อย่างไร ที่สุดแล้วก็แค่ได้ชื่อว่าเป็นนายหญิงเท่านั้น แต่ใจของเจียงเทียนโย่วอยู่กับเมิ่งอี๋เหนียงต่างหาก
อีกทั้งเมิ่งอี๋เหนียงก็เชื่อว่าตำแหน่งนายหญิงนี้ไม่ช้าก็เร็วจะต้องกลายเป็นของนาง ในใจจึงอดจะมีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมขึ้นมาไม่ได้
ครั้นพวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกินอาหารเย็นเสร็จ สาวใช้มาเก็บจานชามออกไป พวกเมิ่งอี๋เหนียงถึงได้ออกไปกินข้าวบ้าง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนั่งคุยกับเจียงเทียนโย่ว เหยาซื่อ และหลานสาวหลานชาย ดูท่าทางรื่นเริงกลมเกลียวดี
ทว่าเจียงชิงอวี้รำคาญที่จะคุยกับคนเหล่านี้ ในใจนางดูถูกพวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียง และก็ดูถูกเจียงชิงเซวียนและเจียงชิงอวิ๋นเช่นกัน ปกติก็ไม่ได้คุยเล่นกับคนทั้งสอง ยิ่งเห็นเจียงชิงหว่านที่นั่งอยู่ข้างฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนางก็ยิ่งไม่พอใจกว่าเดิม
เรื่องที่เจียงชิงหว่านเป็นบุตรสาวสายตรงนั้นช่างเถอะ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดยิ่งว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงดีต่อเจียงชิงหว่านที่สุดในบรรดาหลานสาวทั้งหมด เรื่องนี้ชวนให้คนโมโหเกินไปโดยแท้
เจียงชิงอวี้เป็นคนปิดบังอารมณ์ตนเองไม่เป็น ดีใจเสียใจล้วนแสดงออกมาทางสีหน้าทั้งหมด ผู้อื่นมีหรือจะไม่รู้ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเห็นแล้วจึงถามนางว่า “เจ้าคัดจรรยาสตรีแล้วหรือไม่ หาใช่ไม่เพียงแค่คัด ยังต้องท่องด้วย อีกสองวันข้าจะทดสอบเจ้า”
เจียงชิงอวี้เบิกตากว้าง
นางไม่ชอบเรียนหนังสือ ชอบแต่เล่นสนุก ดังนั้นแม้บิดาจะเชิญอาจารย์หญิงมาสอนหนังสือให้พวกนางพี่น้อง แต่นางก็ไปเรียนน้อยครั้งนัก จนบัดนี้ยังรู้หนังสือเพียงไม่กี่ตัว แม้แต่ชื่อของตนก็ยังเขียนไม่เป็น นับประสาอะไรกับจรรยาสตรีเล่า เดิมทีนางคิดจะกลับไปสั่งให้สาวใช้คัดแทน แต่คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยังบอกว่าจะทดสอบว่านางท่องได้หรือไม่ด้วย…
นางเริ่มไม่พอใจขึ้นมา ใบหน้าจึงบูดบึ้ง พูดอย่างเอาแต่ใจว่า “ข้าจะไม่คัดและจะไม่ท่องด้วย!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงหน้าเปลี่ยนสีไปบ้างแล้ว เอ่ยถามเจียงชิงอวี้ว่า “ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่ชอบให้มีใครเถียงนางอย่างยิ่ง ดังนั้นนางจึงไม่ชอบเจียงชิงหว่านในอดีต แต่กลับชอบเจียงชิงหว่านคนปัจจุบัน เนื่องจากเจียงชิงหว่านในตอนนี้ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังนาง ตรงกับหลานสาวประเภทที่นางอยากได้ที่สุด
แน่นอนว่าเจียงชิงหว่านก็เดาความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ จึงจงใจทำท่าทางเช่นนี้ต่อหน้าอีกฝ่าย อันที่จริงเดิมทีนางเป็นคนสดใสร่าเริง หนักไม่เอาเบาไม่สู้ นิสัยก็ดื้อรั้นเช่นกัน เพียงแต่ต่อมาเคยประสบผ่านเรื่องเหล่านั้น นิสัยจึงเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย
เจียงเทียนโย่วเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงโมโหก็รีบไกล่เกลี่ย “ท่านแม่ เรื่องนี้ต้องโทษลูกเอง เป็นเพราะปกติลูกงานยุ่ง ไม่มีเวลาดูแลสั่งสอนนาง ถึงได้ปล่อยให้นางหนีเรียน จนถึงบัดนี้นางก็รู้หนังสือเพียงไม่กี่ตัว ท่านแม่ให้นางคัดจรรยาสตรี ซ้ำยังให้ท่องด้วย เกรงว่านางคงยังทำไม่ได้จริงๆ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ยินแล้วก็โมโหจนหัวเราะออกมา
เจียงเทียนโย่วรู้ทั้งรู้ว่าเจียงชิงอวี้รู้หนังสือเพียงไม่กี่ตัว ไม่มีทางคัดจรรยาสตรีได้ แต่กลางวันวันนี้ขณะนางบอกจะลงโทษให้เจียงชิงอวี้คัดจรรยาสตรียี่สิบจบเขากลับไม่พูดอะไร เห็นได้ว่าเห็นด้วยกับเรื่องที่เจียงชิงอวี้จะให้สาวใช้คัดแทนโดยปริยาย
ตามใจเจียงชิงอวี้จนถึงขั้นนี้เชียว! มิหนำซ้ำเจียงชิงอวี้ผู้นี้ยังมีท่าทีเอาแต่ใจเช่นนี้ต่อหน้านาง หากยังไม่สั่งสอนอีก วันหน้าก็ไม่แน่ว่าจะกลายเป็นเช่นไร
บทที่ 14 อดีตอันเป็นความลับ
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีสีหน้าดำทะมึน นางมองเจียงเทียนโย่วพลางพูดเสียงเย็นว่า “ต่อให้เจ้าอยากรับความผิดทั้งหมดไว้ที่ตนเอง แต่ต้องมิใช่วิธีเช่นนี้ เจ้าทำงานอยู่ข้างนอก วันๆ ต้องลำบากตรากตรำ การเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่เพียงนี้เดิมก็เหนื่อยกายเหนื่อยใจพอแล้ว เรื่องในบ้านก็ยังต้องให้เจ้ามาดูแลอีกหรือ เช่นนั้นจะมีสตรีไว้ทำอันใด”
วาจานี้บริภาษไปถึงเมิ่งอี๋เหนียงด้วย
เจียงเทียนโย่วรีบพูดเรื่องดีๆ “ท่านแม่ก็รู้จักหลันซิน อันที่จริงนางก็เป็นคนทำงานละเอียดเรียบร้อย เรือนซงเฮ่อที่ท่านพักในตอนนี้ก็เป็นนางคอยเฝ้าบ่าวไพร่เก็บกวาดทำความสะอาด ของประดับตกแต่งทั้งหมดในนี้ กระทั่งสีของผ้าม่านก็ล้วนเป็นนางตั้งอกตั้งใจเลือกออกมาทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้ยังบอกให้คนตัดเสื้อผ้ามาให้เต็มตู้ รวมถึงให้ทำเครื่องประดับอีกจำนวนมากให้ท่านด้วย เพียงพอจะเห็นได้ถึงความละเอียดในการทำงานของนางแล้ว แต่นางต้องดูแลงานในจวนและต้องดูแลอวี้เจี่ยหนิงเกอ เป็นเรื่องลำบากมากจริงๆ จึงมีเวลาที่ดูแลสั่งสอนได้ไม่ดีอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกอย่างอวี้เจี่ยผู้นี้ก็เอาแต่ใจไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนจริงๆ หลันซินว่านางหลายครั้งแล้ว นางก็ยังฟังไม่เข้าหูแม้แต่คำเดียว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเหยาซื่อปราดหนึ่ง
หากเหยาซื่อเป็นคนมีความสามารถ ยามนี้นางจะต้องถือโอกาสทำให้เมิ่งอี๋เหนียงมอบอำนาจดูแลงานในจวนแก่เหยาซื่อแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เหยาซื่อเป็นคนไม่เอาไหน ดูบัญชีไม่เป็น ท่าทางก็อ่อนแอ ให้ดูแลจวนป๋อที่ใหญ่ถึงเพียงนี้จะต้องไม่ไหวแน่นอน
ตัวนางเองก็ไม่มีทางไปยุ่ง การดูแลบ้านเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อยยิ่ง นางอายุปาไปหกสิบกว่าแล้ว ต้องการหาความสงบมั่นคงปลอดภัย อยากจะแค่กินๆ นอนๆ เวลาว่างก็คุยเล่นกับหลานๆ ไม่อยากมานั่งจัดการงานจุกจิกน่ารำคาญเหล่านั้นทุกวัน
ได้แต่ต้องให้เมิ่งอี๋เหนียงดูแลจวนต่อไป ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ดูแลมาหลายปีแล้ว อีกอย่างเรือนซงเฮ่อนี้ก็เก็บกวาดทำความสะอาดได้ดียิ่ง เพียงพอจะเห็นได้ว่าอีกฝ่ายทำงานละเอียดรอบคอบและก็มีความสามารถ
แม้ในใจจะตัดสินใจเช่นนี้แล้ว แต่ภายนอกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกลับไม่แสดงออกมา ไม่ได้กล่าวชมเมิ่งอี๋เหนียงแม้แต่ครึ่งคำ กลับยังคงทำหน้าเข้มพลางว่า “ไม่ว่าพูดอย่างไรนางก็สั่งสอนลูกให้ดีไม่ได้ นั่นเท่ากับว่านางทำได้ไม่ดี อวี้เจี่ยตอนนี้อายุสิบห้าแล้ว ใกล้จะต้องหาคู่ครองอยู่แล้ว หากนี่ทำไม่เป็น นั่นก็ทำไม่เป็น ซ้ำนิสัยยังดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง จะไปหาคู่ครองที่ดีได้อย่างไร”
บอกว่าเจียงชิงอวี้ไม่ดีตรงนั้นไม่ดีตรงนี้ออกมาต่อหน้าพวกเจียงชิงหว่านและเจียงชิงเซวียนเยี่ยงนี้ ในใจเจียงชิงอวี้ก็รู้สึกทั้งโมโหทั้งอับอาย อยากจะอาละวาดก็เห็นเจียงเทียนโย่วถลึงตาใส่ นางจึงงึมงำไม่กล้าพูดอะไรแล้ว
ในใจรู้สึกไม่เป็นธรรม เมื่อก่อนบิดาโปรดปรานตามใจนางมากมาแต่ไหนแต่ไร แต่พอท่านย่ามาถึง เขาก็ทนให้นางทำตัวเอาแต่ใจต่อหน้าท่านย่าไม่ได้เสียอย่างนั้น
กระนั้นในใจเจียงเทียนโย่วยังคงใส่ใจเจียงชิงอวี้ ไม่อยากปล่อยให้นางได้รับความคับข้องใจต่อหน้าคนจำนวนมาก จึงกล่าวกับพวกเจียงชิงเซวียนว่า “นี่ก็ค่ำแล้ว พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” จากนั้นก็มองเจียงชิงอวี้ปราดหนึ่ง “เจ้าก็กลับไปด้วย”
เจียงชิงอวี้อยากกลับนานแล้ว เมื่อได้ยินดังนี้ก็ลุกขึ้นทำท่าจะจากไปทันที แต่กลับถูกเจียงเทียนโย่วเรียกไว้ด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ “ไฉนจึงไม่คารวะและกล่าวลาท่านย่าเจ้าก่อน ไม่มีมารยาท”
เจียงชิงอวี้ได้แต่หันกลับมายอบตัวคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอย่างไม่เต็มใจ กล่าวว่า “ท่านย่า หลานขอตัวเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเจียงชิงอวี้อย่างเย็นชา ฝ่ายหลังทำปากเชิด ท่าทางไม่พอใจ ท่วงท่าทำความเคารพก็ไม่ถูกต้อง
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็มิได้พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้าให้เจียงชิงอวี้เป็นอันว่ารับรู้
จากนั้นเจียงชิงเซวียนและเจียงชิงอวิ๋นก็ต่างคารวะกล่าวลาต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียง ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็พยักหน้าให้พวกนาง ก่อนมองพวกนางพาสาวใช้เดินจากไปเช่นกัน
เจียงเทียนโย่วเห็นเจียงชิงหว่านยังไม่ไปก็ถามนางว่า “ไยเจ้ายังไม่ไปอีก”
เขาไม่ได้พบฮูหยินผู้เฒ่าเจียงหลายปี อยากจะสนทนากับนางตามลำพัง แต่คิดไม่ถึงว่าเจียงชิงหว่านจะถึงกับตาไม่มีแววเช่นนี้ ยังไม่ออกไปอีก
เจียงชิงหว่านยังไม่ทันพูดอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ชิงตอบก่อน “วันหน้าหว่านเจี่ยจะพักอยู่ในเรือนซงเฮ่อกับแม่ เรือนปี้อู๋นั้นเก็บไว้ให้นางก่อน รอนางโตอีกหน่อยค่อยย้ายไป”
เจียงเทียนโย่วได้ยินแล้วก็รู้สึกตระหนกตกใจยิ่ง
นี่เพียงพอจะเห็นได้แล้วว่าในใจมารดาชมชอบเจียงชิงหว่านมากเพียงไร หากแต่เขาจำได้ชัดเจนว่าครั้งก่อนๆ ที่กลับไปกานโจว มารดาไม่ชอบเจียงชิงหว่านอย่างยิ่ง เวลาเล่าถึงอีกฝ่ายให้เขาฟังน้ำเสียงก็ล้วนติดรำคาญ ทว่าบัดนี้…
เจียงเทียนโย่วมองเจียงชิงหว่าน
เจียงชิงหว่านภายใต้แสงเทียนดูมีใบหน้าขาวผ่องใสมีน้ำมีนวลราวกับเครื่องกระเบื้องชั้นดี สีหน้าก็ดูสงบนิ่งยิ่ง หากบอกว่าเป็นบุตรสาวจากตระกูลใหญ่ก็ยังมีคนเชื่อ
นางยอบตัวคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและเจียงเทียนโย่ว ก่อนกล่าวขอตัวกลับห้องด้วยเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอนุญาต ก่อนบอกให้สาวใช้สองคนพานางไปส่งที่เรือนปีกตะวันออก เหยาซื่อเองก็ขอตัวจากไปเช่นกัน ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเจียงเทียนโย่วนั่งสนทนากันอยู่ในห้องกลาง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเจียงเทียนโย่วคุยกันถึงเรื่องการอบรมเลี้ยงดูคุณหนูในจวน
“เมื่อก่อนแม่ไม่รู้ว่าพวกนางเป็นอย่างไรกันบ้าง แต่วันนี้จากที่แม่มองดู อวี้เจี่ยมีนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจอย่างไม่ต้องสงสัย มารยาทและการศึกษาที่ควรมีก็ไม่มีสักนิด แม้แต่เซวียนเจี่ยกับอวิ๋นเจี่ยก็ดูกระโดกกระเดก ไม่มีอะไรให้เอาไปอวดชาวบ้านได้เช่นกัน พึงรู้ว่าเด็กหญิงล้วนเป็นคนล้ำค่าของบ้าน วันหน้าหาสามีดีๆ ที่ตระกูลมีอำนาจให้พวกนางก็จะมีประโยชน์ต่อเส้นทางขุนนางของเจ้าด้วย ตอนนี้จะอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงป๋อ ไม่เหมือนตอนอยู่ที่กานโจว ในจวนจะต้องมีกฎระเบียบ เช่นนี้จึงจะทำให้ตระกูลดำรงอยู่สืบไปได้”
เมื่อก่อนเจียงเทียนโย่วไม่เคยคิดถึงข้อนี้ ที่สำคัญคือเขาตามใจเจียงชิงอวี้มากเกินไป ไม่ว่าเรื่องใดก็ปล่อยให้นางทำตามใจ แม้นางจะหนีเรียน เขาได้ยินแล้วก็เพียงหัวเราะ ไม่เคยอบรมนาง ซ้ำยังรู้สึกว่านางมีนิสัยเช่นนี้ดีแล้ว ส่วนเจียงชิงเซวียนและเจียงชิงอวิ๋นนั้น…เขาใส่ใจน้อยยิ่ง
หลายปีมานี้เขาถูกเมิ่งอี๋เหนียงผูกมัดใจจนในใจมีแต่พวกนางแม่ลูกจริงๆ ผู้อื่นล้วนมิได้เก็บมาใส่ใจนัก
ตอนนี้ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกล่าว เขาก็รู้สึกเห็นด้วยอย่างมาก
เขารู้ดีว่าเมื่อก่อนมารดามาจากตระกูลใหญ่ ต่อมาท่านปู่เสียตำแหน่งขุนนางไปถึงได้ย้ายกลับมากานโจวที่เป็นบ้านเกิดทั้งครอบครัว แต่เขารู้ว่ามารดามีประสบการณ์ในการเลี้ยงดูเด็กหญิงอย่างมาก น้องสาวร่วมอุทรของเขาตอนนี้ก็เป็นฮุ่ยเฟยอยู่ในวัง ให้กำเนิดองค์หญิงสองพระองค์
ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าวว่า “ที่สุดแล้วก็เป็นเพราะเมื่อก่อนลูกไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ถึงได้ทำให้พวกนางเสียเวลาไปเปล่าๆ ดีที่ตอนนี้ท่านแม่มาแล้ว มีท่านให้การอบรมพวกนาง พวกนางจะต้องมีอนาคตเป็นแน่แท้”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงชอบฟังคำพูดเช่นนี้ บนใบหน้าจึงมีรอยยิ้ม ถามเจียงเทียนโย่วว่าในจวนมีอาจารย์หญิงสอนหนังสือและช่างปักผ้าสอนงานเย็บปักถักร้อยหรือไม่ เมื่อได้รู้ว่ามีอาจารย์หญิง ทว่ามาๆ หยุดๆ อีกอย่างพวกนางก็ล้วนไม่ตั้งใจเรียน ซ้ำยังไม่มีช่างปักผ้ามาสอน นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “นี่ใช้ได้อย่างไรกัน แม้จะกล่าวว่าสตรีไร้ความรู้ถึงนับว่าเป็นคุณธรรม แต่สตรีจากตระกูลใหญ่ล้วนต้องดูแลงานในเรือน ไม่รู้หนังสือจะได้อย่างไร เรื่องเรียนหนังสือนี้จะต้องตั้งกฎระเบียบขึ้นมา อีกประการต้องเชิญช่างปักผ้ามาสอนงานเย็บปักถักร้อยให้พวกนางด้วย การบ้านการเรือนของสตรีนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”
เจียงเทียนโย่วรับปาก บอกว่าวันพรุ่งนี้จะให้คนไปเชิญมา
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงคิดแล้วก็กล่าวอีกว่า “วันพรุ่งนี้เจ้าให้คนไปยื่นป้ายประจำตัวที่วังหน่อยแล้วกัน แม่เองก็ไม่ได้เห็นซิ่วเอ๋อร์มาหลายปีแล้ว คิดถึงนางยิ่งนัก มาคราวนี้แม่ยังนำพุทราแดงและเนื้อวัวตากแห้งมาให้นางด้วย เมื่อก่อนนางชอบกินเป็นที่สุด”
ซิ่วเอ๋อร์ก็คือเจียงฮุ่ยเฟย นางมีนามจริงว่า ‘เจียงอวิ้นซิ่ว’
เจียงเทียนโย่วตอบรับเช่นกัน จากนั้นก็ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพูดอีกว่า “รอได้พบซิ่วเอ๋อร์แล้ว แม่จะพูดกับนางสักหน่อย ดูว่าสามารถเชิญหมัวมัว* ที่มีหน้าที่อบรมสั่งสอนในวังมาสอนมารยาทให้บรรดาคุณหนูของบ้านเราได้หรือไม่”
หากหมัวมัวจากในวังมาสอนบุตรสาวของสกุลเจียงได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดียิ่ง หากข่าวแพร่ออกไป ผู้อื่นไม่เพียงจะอิจฉา ยังจะต้องอยากสู่ขอสะใภ้เช่นนี้กลับไปด้วย มิหนำซ้ำจะต้องเป็นคนจากตระกูลใหญ่โตอย่างแน่นอน
เจียงเทียนโย่วยินดีปรีดา ในใจยิ่งเชื่อถือฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมากขึ้นกว่าเดิม
สองแม่ลูกคุยสัพเพเหระกันได้อีกครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็พูดถึงเรื่องที่ได้เจอโจรที่ชานเมืองไท่หยวนขณะเดินทางมา “…ถ้าเวลานั้นมิได้ผู้บัญชาการมณฑลทหารท่านนั้นยื่นมือช่วยเหลือ เกรงว่าแม่คงตายไปแล้ว มีหรือจะยังได้พบเจ้า วันพรุ่งนี้เจ้าบอกให้คนเตรียมของขวัญอย่างงามไว้ชุดหนึ่ง อีกสักสองวันแม่จะไปเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง ไปพบสตรีในจวนจิ้งหนิงโหวเสียหน่อย จะได้กล่าวขอบคุณพวกนางอย่างเต็มที่”
อันที่จริงความคิดในใจของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนั้นดียิ่ง
ชุยจี้หลิงช่วยพวกนางไว้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลหรือน้ำใจ นางก็ควรไปขอบคุณอีกฝ่ายถึงจวนด้วยตนเอง ทว่าที่สำคัญที่สุดคือนางยังอยากอาศัยเรื่องนี้กระชับความสัมพันธ์กับสกุลชุยด้วย
อีกฝ่ายเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหาร ดูแลกองกำลังทั้งใต้หล้า ในมือมีอำนาจอยู่มาก ซ้ำยังเป็นถึงจิ้งหนิงโหว อีกทั้งกองกำลังรักษาเมืองหลวงที่เจียงเทียนโย่วสังกัดอยู่ในปัจจุบันก็ขึ้นตรงกับจวนบัญชาการ สามารถกล่าวได้ว่าชุยจี้หลิงเป็นผู้บังคับบัญชาของเจียงเทียนโย่วแล้ว นางจะต้องผูกสัมพันธ์อันดีกับเขาให้ได้ จะได้ช่วยเรื่องการเลื่อนขั้นของเจียงเทียนโย่วในภายหน้า
เจียงเทียนโย่วกลับไม่เข้าใจความเหนื่อยยากลำบากใจของฮูหยินผู้เฒ่าเจียง หลังได้ยินว่าเป็นชุยจี้หลิงยื่นมือช่วยพวกนางไว้ก็มีสีหน้าตระหนกตกใจก่อนจะกลายมาเป็นสีหน้าระทมทุกข์
แม้ในใจเขาจะซาบซึ้งที่ชุยจี้หลิงช่วยเหลือพวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไว้ แต่การติดค้างน้ำใจชุยจี้หลิงใหญ่หลวงเพียงนี้ เขายังคงไม่ยินดี
วันหน้าได้พบกับชุยจี้หลิงอีกควรจะปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างไร แล้วไหนจะต้องกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายอีก
แค่คิดถึงเหตุการณ์นั้น เจียงเทียนโย่วก็รู้สึกรับไม่ได้แล้ว
เจียงเทียนโย่วจึงกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงว่า “ท่านแม่ ขอกล่าวอย่างไม่ปิดบังท่าน อันที่จริงชุยจี้หลิงผู้นี้ ลูกเห็นเขาแล้วรู้สึกขัดหูขัดตายิ่ง คิดว่าท่านคงได้พบเขาแล้วกระมัง รูปโฉมดูขาวสะอาดสะอ้าน ทั้งยังผอมโซ มีลักษณะของทหารเสียที่ใดกัน ก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงที่ปรึกษาในจวนหนิงอ๋องแท้ๆ มิต่างอันใดกับการเป็นพ่อบ้านของจวนหนิงอ๋อง เป็นบัณฑิตผอมโซที่วันๆ จับแต่ด้ามพู่กัน ช่วยจัดการงานจุกจิกจำนวนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักแทนหนิงอ๋องก็เท่านั้น น้องสาวของเขาคืออนุภรรยาของโอรสองค์ที่สามของหนิงอ๋อง”
พูดถึงตรงนี้เจียงเทียนโย่วก็ลดเสียงลง “ท่านเองก็ทราบว่าฝ่าบาทองค์ปัจจุบันเดิมทีเป็นทายาทสายรอง ซ้ำยังไม่เป็นที่ชมชอบของท่านอ๋อง ต่อมาไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ชุยจี้หลิงผู้นั้นถึงได้ทิ้งพู่กันเข้าร่วมกองทัพ ยามนำทัพออกรบล้วนนำหน้าพลทหารทุกครั้งราวกับว่าไม่ต้องการชีวิตแล้วอย่างไรอย่างนั้น ซ้ำยังได้รับชัยชนะใหญ่หลายครั้งด้วย ภายหลังท่านอ๋องสิ้น เขาถึงกับใช้อุบายสังหารซื่อจื่อแล้วสนับสนุนฝ่าบาทองค์ปัจจุบันขึ้นเป็นหนิงอ๋องแทน เรื่องหลังจากนั้นคิดว่าท่านน่าจะทราบหมดแล้ว ฝ่าบาทองค์นี้บุกยึดเมืองหลวง ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ หลังภรรยาร่วมผูกผมสิ้นใจก็ยกน้องสาวของชุยจี้หลิงขึ้นเป็นฮองเฮา ส่วนชุยจี้หลิงก็ถึงกับได้เป็นผู้บัญชาการมณฑลทหาร ซ้ำยังได้รับบรรดาศักดิ์จิ้งหนิงโหว แต่อันที่จริงในใจทหารอย่างลูกและคนอื่นๆ ล้วนดูถูกเขา รู้สึกว่าเขาเป็นเพียงบัณฑิตธรรมดาผู้หนึ่ง มีเพียงฝ่าบาทที่ทรงเชื่อถือเขา ถึงได้ให้เขาเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหาร มิเช่นนั้นเขาจะนับเป็นอันใดได้ ไม่แน่ว่าจะสู้ลูกไม่ได้ด้วยซ้ำไป”
บทที่ 15 คุยกันกลางดึก
เจียงชิงหว่านและเหยาซื่อกำลังนั่งคุยกันบนเตียงเตาไม้ริมหน้าต่างในเรือนปีกตะวันออก
ก่อนหน้านี้หลังเจียงชิงหว่านกับเหยาซื่อกล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและเดินออกมานอกประตูแล้ว เหยาซื่อเดิมทีจะกลับไปเรือนหลิวเซียง แต่ถูกเจียงชิงหว่านลากมานั่งในเรือนปีกตะวันออก ซ้ำยังบอกให้สาวใช้ไปเฝ้าหน้าประตู พอนายท่านออกมาก็ให้มาเรียกพวกตน
สาวใช้ผู้นั้นรับคำ ก่อนไปยืนเฝ้าหน้าประตูอย่างตั้งใจเต็มที่
เหยาซื่อจึงถามเจียงชิงหว่าน “หว่านวาน เจ้ามีเรื่องอะไรอยากพูดกับแม่หรือ”
มิเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ปล่อยให้นางจากไป จะต้องลากนางมาที่นี่ให้ได้
เจียงชิงหว่านเพียงแต่ยิ้มโดยไม่ตอบ จูงมือเหยาซื่อเดินดูรอบเรือนปีกตะวันออก
ก่อนหน้านี้เจียงชิงหว่านบอกกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงว่าอยากพักอยู่กับอีกฝ่าย จะได้อยู่เป็นเพื่อนได้ทั้งเช้าเย็น ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยินดียิ่ง จึงบอกให้หญิงรับใช้สองสามคนเก็บกวาดเรือนปีกตะวันออกทันที ทั้งยังบอกให้พวกนางไปขนเสื้อผ้าเครื่องประดับและเครื่องนอนที่เมิ่งอี๋เหนียงเตรียมไว้ให้เจียงชิงหว่านมาจากเรือนปี้อู๋ทั้งหมด
หญิงรับใช้เหล่านี้มือเท้าว่องไวยิ่ง ล้วนจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว
ห้องสามห้องไม่ได้ใช้ประตูกั้นแบ่ง ตรงกลางเป็นห้องกลางขนาดกะทัดรัด ด้านซ้ายมือทำเป็นห้องหนังสือ ใช้ฉากวงกบฉลุลายองุ่นกั้นแทน ด้านบนแขวนม่านมุ้งสีขาวอมเหลืองนวล ด้านขวามือมีฉากบังลมปักลายนกและกิ่งอวี้หลันซึ่งฐานทำจากไม้ประดู่อยู่ฉากหนึ่ง เมื่อเดินอ้อมฉากบังลมไปก็จะเห็นเตียงลงรักหลังเล็ก ด้านบนแขวนด้วยม่านไหมสีชมพู
แม้ขนาดห้องจะไม่ใหญ่ เทียบกับห้องของนางในชาติก่อนไม่ติด แต่จะดีจะชั่วก็ดีกว่าห้องพักขณะนางอยู่ที่โรงซักล้างมาก
ตอนที่อยู่โรงซักล้างนางไม่มีห้องส่วนตัว ห้องแคบๆ หนึ่งห้อง เตียงใหญ่หนึ่งแถบใช้นอนด้วยกันหลายคน พอฤดูร้อนมาถึงในห้องก็มีกลิ่นเหม็นอีกด้วย
ดังนั้นสภาพห้องในยามนี้ถือว่าดีมากแล้ว
สาวใช้ใช้ถาดน้ำชาลงรักยกชามาให้ เจียงชิงหว่านจึงนั่งดื่มชาพูดคุยกับเหยาซื่อ บางคราก็จะหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง
ในลานเรือนมีต้นอวี้หลันอยู่หนึ่งต้น ดอกจะบานในต้นฤดูใบไม้ผลิ ดอกสีขาวสะอาดราวหิมะบานอยู่บนยอดไม้ กลิ่นหอมเย็นพัดโชยเป็นระลอก ครั้นดอกโรยแล้วใบถึงจะงอกออกมา เหมือนกับดอกปี่อั้นในตำนานที่ดอกและใบไม่มีวันได้พบกัน
ตอนนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อน ผ่านช่วงที่ดอกอวี้หลันผลิบานไปแล้ว ยอดไม้ล้วนมีแต่ใบสีเขียวขจี ยามสายลมราตรีที่เย็นน้อยๆ พัดผ่านสามารถมองเห็นใบไม้สั่นไหวเบาๆ อยู่บนกิ่งได้
ประตูฉลุลายของเรือนหลักยังคงปิดอยู่ ทว่ามองผ่านกระดาษเกาลี่ที่ติดอยู่บนบานประตูเข้าไปจะเห็นได้ว่าข้างในมีแสงไฟสว่างไสวเจิดจ้ายิ่งยวด
ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขากำลังคุยอะไรอยู่กัน ผ่านไปนานเพียงนี้แล้วก็ยังคงคุยกันไม่จบ
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยังกำลังคุยเรื่องชุยจี้หลิงอยู่กับเจียงเทียนโย่ว “ตอนแม่อยู่ที่กานโจวก็เคยได้ยินคนพูดว่าในกองทัพหนิงอ๋องมีคนผู้หนึ่งเป็นทั้งที่ปรึกษาและแม่ทัพใหญ่ ไม่เคยพ่ายศึกมาก่อน คงเป็นท่านโหวชุยท่านนี้กระมัง หากกล่าวด้วยความไม่เคารพ ถ้าไม่มีท่านโหวชุยผู้นี้ ไม่แน่ว่าตำแหน่งฮ่องเต้ในยามนี้จะตกมาถึงฝ่าบาทได้ นับแต่โบราณมาเจ้าเคยได้ยินว่ามีท่านอ๋องยกทัพบุกถึงเมืองหลวงจนได้เป็นฮ่องเต้หรือไม่เล่า นี่เป็นครั้งแรกเลยทีเดียว จากที่แม่ดูท่านโหวชุยผู้นี้มีความสามารถครบครัน เจ้าไม่อาจคิดดูถูกเขาในใจเช่นนี้ได้ พึงรู้ว่าตอนนี้เขามีบรรดาศักดิ์สูงกว่าเจ้า ซ้ำยังเป็นถึงผู้บัญชาการมณฑลทหาร เจ้าเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชา หากทำให้เขาโมโหเข้าจริงๆ วันหน้ามีหรือจะไม่ลำบาก ต่อไปห้ามเป็นเช่นนี้อีก”
น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเข้มงวดยิ่ง เจียงเทียนโย่วได้แต่ตอบรับ
สองแม่ลูกคุยสัพเพเหระกันต่ออีกครู่หนึ่ง เห็นว่าถึงยามสองแล้ว เจียงเทียนโย่วจึงลุกขึ้นขอตัว
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงรู้ว่าพรุ่งนี้เขายังต้องไปเข้าเวรที่กองกำลังรักษาเมืองหลวงอีกจึงไม่รั้งไว้ เพียงบอกให้เถาเยี่ยเปิดประตูออกไปส่งเขา
เถาเยี่ยรับคำเสร็จก็เดินไปเปิดประตูฉลุลาย กำลังจะหันไปเชิญเจียงเทียนโย่วก็มองเห็นเจียงชิงหว่านกับเหยาซื่อเดินออกมาจากเรือนปีกตะวันออก
“ท่านพ่อ” เจียงชิงหว่านยอบตัวคารวะเจียงเทียนโย่ว บนหน้ามีรอยยิ้มพอเหมาะ “ท่านจะกลับแล้วหรือเจ้าคะ”
ครั้นแล้วก็บอกให้สาวใช้ไปจุดโคมมาเพื่อพาเจียงเทียนโย่วไปส่ง “คืนนี้ไม่มีแสงจันทร์ ทางมืดมิด ข้าจะให้คนถือโคมนำทางให้ท่านเองนะเจ้าคะ”
วันนี้พระจันทร์ข้างขึ้น เวลานี้ได้ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว แม้จะมีดาว แต่แสงดาวก็ไม่เพียงพอจะส่องสว่างทางเดิน
เจียงเทียนโย่วเห็นเจียงชิงหว่านเรียกให้สาวใช้ถือโคมนำทางให้เขาอย่างเอาใจใส่เพียงนี้ ก็คิดว่าเมื่อก่อนตนเองนึกถึงบุตรสาวคนนี้น้อยครั้งนัก สายตาที่มองนางจึงอดไม่ได้ที่จะมีแววละอายใจปรากฏขึ้นหลายส่วน
ขณะกำลังจะเอ่ยปากพูด เถาเยี่ยก็ประคองฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเดินมา ครั้นมองเห็นเหยาซื่อยังอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ถามนางว่า “เจ้ายังไม่กลับไปอีกหรือ”
เหยาซื่อเป็นคนพูดไม่เก่ง เจียงชิงหว่านจึงยิ้มพลางตอบ “เมื่อครู่ข้าพาท่านแม่มาคุยด้วย คิดไม่ถึงว่าคุยไปคุยมาเวลาก็ล่วงมาป่านนี้ พอสาวใช้มาบอกข้าว่านายท่านจะกลับแล้ว ข้ามองออกมาข้างนอกถึงได้รู้ว่าเป็นเวลายามสองแล้ว ท้องฟ้ามืดมิด จึงบอกให้สาวใช้จุดโคมมาพาท่านพ่อไปส่งเจ้าค่ะ”
นางชี้แจงเรื่องราวเสร็จในไม่กี่ประโยค
เวลานี้สาวใช้จุดโคมไฟดวงหนึ่งมาแล้ว เจียงชิงหว่านเห็นก็กล่าวว่า “นายหญิงก็จะกลับเหมือนกัน ไฉนไม่จุดมาให้นายหญิงอีกดวงเล่า”
ว่าแล้วก็บอกให้สาวใช้ไปจุดมาเพิ่มอีกดวง
สาวใช้รับคำ ก่อนหันหลังทำท่าจะเดินไป แต่ก็ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเอ่ยปากพูดว่า “ไม่ต้องไป” ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับเจียงเทียนโย่วว่า “หลายปีมานี้เจ้ากับแม่ของหว่านเจี่ยแยกกันอยู่คนละที่มาตลอด จะต้องมีเรื่องให้คุยกันมากมายเป็นแน่ คืนนี้เจ้าไปที่เรือนหลิวเซียงแล้วกัน พวกเจ้าสองคนไปด้วยกัน โคมไฟดวงเดียวก็พอแล้ว”
จะอย่างไรก็เป็นสามีของตน ซ้ำยังอยู่แยกกันคนละที่มาตลอดหลายปี อันที่จริงในใจเหยาซื่อก็อยากให้เจียงเทียนโย่วไปที่เรือนนาง แต่นางหน้าบาง มักกระดากที่จะเอ่ยปาก คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะถึงกับเป็นฝ่ายเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา
ทั้งหัวใจเหยาซื่อเต็มไปด้วยความปีติยินดีในทันที ซ้ำยังมีความเขินอายอยู่ด้วย นางจึงก้มหน้าลง
เจียงเทียนโย่วกลับอึ้งไปเล็กน้อย
ในใจเขาคิดว่าแม้เหยาซื่อจะเป็นภรรยา แต่เขาไม่เคยคิดจะไปค้างที่เรือนของนางมาก่อน
คนเขาอายุตั้งสามสิบห้าสามสิบหกเข้าไปแล้ว จะสู้หญิงสาวอายุน้อยได้อย่างไร แม้แต่เมิ่งอี๋เหนียงเองเวลาอยู่บนเตียงเขาก็ยังมีเบื่อหน่ายบ้างเป็นบางครั้ง รู้สึกว่าไร้ความแปลกใหม่ ทว่าเมิ่งอี๋เหนียงมีฝีมือแพรวพราว มักจะเอาอกเอาใจอย่างระมัดระวัง ในใจเขาเองก็ละอายต่อนาง ดังนั้นถึงจะไปหาสาวใช้อุ่นเตียงอายุน้อยเป็นครั้งคราว แต่สุดท้ายในใจเขาก็ยังคงเห็นนางสำคัญที่สุด
แต่ในเมื่อมารดาเอ่ยปากเช่นนี้แล้ว เจียงเทียนโย่วก็ได้แต่ตอบตกลง
เห็นพวกเขาสองคนเดินออกจากเรือนซงเฮ่อและสาวใช้ปิดประตูเรือนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงถึงได้หันหน้ามามองเจียงชิงหว่านปราดหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าตั้งใจดึงมารดาเจ้าให้อยู่คุยกับเจ้าก็เพราะอยากให้บิดาเจ้าไปที่เรือนหลิวเซียงในคืนนี้กระมัง”
ถูกมองออกเสียแล้ว
เจียงชิงหว่านรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นคนฉลาดหลักแหลม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องปิดบัง จึงกล่าวว่า “แม้ว่าเมื่อก่อนท่านแม่จะตัดพ้อต่อว่าท่านพ่อต่อหน้าข้าเป็นบางครั้ง แต่ข้ารู้ว่าที่จริงในใจนางคิดถึงท่านพ่อมาก ทว่านางหน้าบาง กระดากที่จะเอ่ยปากบอก ข้าจึงอยากช่วยท่านแม่สักครั้งเจ้าค่ะ” พูดถึงตรงนี้เจียงชิงหว่านก็ยิ้มพลางคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียง “เรื่องในคืนนี้ยังคงต้องขอบคุณที่ท่านย่าที่ช่วยเหลือ มิเช่นนั้นจะต้องไม่สำเร็จเป็นแน่”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงใช้นิ้วดีดหน้าผากเจียงชิงหว่านหนึ่งที ก่อนต่อว่ายิ้มๆ “ข้ารู้อยู่แล้ว อุบายเล็กๆ เหล่านี้ของเจ้าปิดบังข้าได้เสียที่ใด”
น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอ่อนโยน หาได้มีแววโมโหไม่
อีกอย่างนางก็ชอบเด็กฉลาด ยอมรับที่เจียงชิงหว่านเล่นลูกไม้เล็กๆ ต่อหน้านางได้ แต่ก็ต้องยอมสารภาพกับนางตามจริง ห้ามหลอกนางเหมือนนางเป็นคนโง่เด็ดขาด
เจียงชิงหว่านยิ้มพลางเยินยอนางสองสามคำ จากนั้นคนทั้งสองก็คุยกันอีกเล็กน้อยแล้วแยกย้ายกลับเข้าห้องไปพักผ่อน
แม้จะเป็นวันแรกที่เข้าเมืองหลวง แต่ก็กระจ่างใจดีว่าชีวิตในจวนหย่งชางป๋อของนางกับเหยาซื่อในวันหน้าเกรงว่าจะไม่ดีนัก ทว่าในใจเจียงชิงหว่านกลับสงบนิ่ง ฟังเสียงลมราตรีพัดใบไม้ที่ด้านนอกพลางค่อยๆ เคลิ้มหลับไป
กระนั้นกลับมีคนนอนไม่หลับ
เมิ่งอี๋เหนียงนั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่น ถามสาวใช้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า “เจ้าบอกว่านายท่านไปเรือนหลิวเซียง?”
สาวใช้ผู้นี้มีอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี สวมเสื้อกั๊กกุ๊นขอบสีฟ้า รูปหน้าเหลี่ยมยาว ดูงามพริ้มเพราเช่นกัน
นางมีนามว่าฝูหรง เป็นหัวหน้าสาวใช้ที่เมิ่งอี๋เหนียงส่งไปเรือนซงเฮ่อโดยเฉพาะเพื่อทำงานให้นาง หากในเรือนฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีความเคลื่อนไหวใดก็ต้องมาบอกนาง
ฝูหรงพยักหน้า เล่าว่าเจียงเทียนโย่วกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงปิดประตูคุยกันพักใหญ่ จากนั้นขณะออกมานายหญิงกับคุณหนูสามก็ออกมาจากเรือนปีกตะวันออกที่อยู่ด้านข้างพอดี ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงบอกให้นายท่านไปที่เรือนหลิวเซียงในคืนนี้
เมิ่งอี๋เหนียงฟังก็ยิ้มเย็น
เจียงชิงหว่านดึงตัวเหยาซื่อไปคุยด้วยเสียที่ใดกัน ชัดเจนว่าตั้งใจรั้งตัวเหยาซื่อให้รอนายท่าน สุดท้ายจะได้ให้นายท่านไปค้างที่เรือนของเหยาซื่อ
เป็นแค่แม่นางน้อยอายุสิบสี่ปีผู้หนึ่ง ถึงกับมีสติปัญญาและออกอุบายระดับนี้ได้ วันหน้าไม่อาจดูถูกคุณหนูสามผู้นี้ได้จริงๆ
ทว่าเจียงชิงอวี้กลับเก็บซ่อนคำพูดไม่อยู่ ร้องขึ้นมาทันทีว่า “เจียงชิงหว่านผู้นี้หน้าไม่อาย นางทำเยี่ยงนี้ต่างอะไรกับแม่เล้าเหล่านั้น นาง…”
“เงียบ!” เจียงชิงอวี้ยังพูดไม่ทันจบกลับถูกเมิ่งอี๋เหนียงตัดบทอย่างรุนแรง “คำพูดหยาบคายเหล่านี้เจ้าไปหัดมาจากใด นี่เป็นคำพูดที่คุณหนูจวนป๋อสมควรพูดหรือไร”
เจียงชิงอวี้ไม่เคยเห็นเมิ่งอี๋เหนียงมีสีหน้าเกรี้ยวกราดเพียงนี้มาก่อน ในใจจึงนึกกลัว ทว่ายังคงแก้ตัว “เจียงชิงหว่านผู้นั้นหน้าไม่อายจริงๆ นาง…”
“เจ้ายังจะพูดต่ออีก?” เมิ่งอี๋เหนียงมองเจียงชิงอวี้ด้วยสายตาไม่ได้ดั่งใจ ก่อนตะคอกนางอีกว่า “เห็นทีวันหน้าเจ้าคงต้องอ่านจรรยาสตรีดีๆ สักทีแล้วจริงๆ ถ้าให้คนนอกรู้ว่าคุณหนูจวนป๋ออย่างเจ้าพูดถ้อยคำหยาบคายเหล่านี้ออกมา เจ้าจะยังรักษาหน้าไว้ได้หรือไม่”
เดิมทียังมีภาระคัดจรรยาสตรียี่สิบจบที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงสั่งมาอยู่เลย เจียงชิงอวี้กลัวจริงๆ ว่าเมิ่งอี๋เหนียงจะบอกให้นางคัดมัน จึงหดคอไม่กล้าพูดอะไรอีกในทันที
เมิ่งอี๋เหนียงถลึงตาใส่นาง จากนั้นก็หันหน้าไปถามฝูหรง “ฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านคุยอะไรกันในห้อง”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 ส.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.