X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสามีข้ากลายเป็นท่านอาเสียแล้ว

ทดลองอ่าน สามีข้ากลายเป็นท่านอาเสียแล้ว บทที่ 10-บทที่ 12

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่ 10 เตือนคนทั้งหลาย

เมิ่งอี๋เหนียงรู้แก่ใจดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงต้องการจะเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อสร้างบารมีในจวนป๋อแห่งนี้

แม้เมิ่งอี๋เหนียงจะสงสารเจียงชิงอวี้เพียงใด แต่ก็รู้ว่าถ้าออกหน้าพูดในยามนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีแต่จะลงโทษเจียงชิงอวี้หนักขึ้นกว่าเดิม เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ไม่ไว้หน้านางต่อหน้าคนทั้งหลายเช่นกัน ทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับเจียงเทียนโย่วแล้ว

นางจึงหันหน้าไปมองเจียงเทียนโย่ว ก็เห็นเขากำลังยิ้มปะเหลาะฮูหยินผู้เฒ่าเจียง “ท่านแม่ อวี้เจี่ยยังเด็ก ไม่รู้ความ ท่านอย่าไปถือสานางเลยนะขอรับ” ก่อนจะหันหน้าไปตะคอกเจียงชิงอวี้ “เจ้าไม่ได้ยินที่ท่านย่าเจ้าพูด? ยังไม่คุกเข่ารับผิดกับท่านย่าเจ้าอีก!”

เจียงเทียนโย่วใช้น้ำเสียงเข้มดุดันเช่นนี้พูดกับเจียงชิงอวี้อย่างน้อยครั้งนัก เจียงชิงอวี้จึงรู้สึกคับข้องใจขึ้นมาทันที ในดวงตาคลอไปด้วยน้ำตา และยิ่งดื้อรั้นกว่าเก่า เชิดหน้าไม่ยอมคุกเข่า

เจียงเทียนโย่วเห็นแล้วก็ไม่พอใจ เรื่องอื่นเขายอมเจียงชิงอวี้ได้ แต่เรื่องความกตัญญูนี้กลับไม่มีที่ให้ประนีประนอม เขารู้สึกว่าเป็นมนุษย์พึงต้องยึดความกตัญญูเป็นพื้นฐาน

ด้วยเหตุนี้เจียงเทียนโย่วจึงทำสีหน้าเข้มขึ้น พูดด้วยโทสะว่า “มานี่ คุกเข่าลง!”

จะอย่างไรเจียงเทียนโย่วก็เป็นคนที่เคยผ่านสนามรบ เคยเห็นเลือดมาก่อน ทันทีที่เขาทำหน้าเข้มบันดาลโทสะเยี่ยงนี้ เจียงชิงอวี้ก็นึกกลัวในใจเช่นกัน นางได้แต่คุกเข่าลงด้วยความคับข้องใจ แต่กลับเม้มปากอย่างดื้อรั้น ไม่ยอมเอ่ยคำขออภัยออกมา

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเจียงชิงอวี้อย่างเย็นชาปราดหนึ่งโดยไม่พูดอะไร เพียงแต่ทำเป็นมองไม่เห็นนาง จากนั้นก็ให้คนอื่นมาคารวะ

แม้เจียงเทียนโย่วจะเป็นถึงท่านป๋อ แต่เขามีอนุภรรยาในจวนไม่มาก นอกจากเมิ่งอี๋เหนียงก็มีซุนอี๋เหนียงผู้ให้กำเนิดเจียงชิงเซวียนบุตรสาวคนโต และโจวอี๋เหนียงผู้ให้กำเนิดเจียงชิงอวิ๋นผู้เป็นคุณหนูสี่

โจวอี๋เหนียงน่าจะเป็นอนุภรรยาที่เจียงเทียนโย่วรับเข้ามาหลังมาเมืองหลวง พวกเหยาซื่อเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก ทว่าพวกนางล้วนรู้จักซุนอี๋เหนียงผู้นี้ อีกฝ่ายเป็นอนุภรรยาที่เจียงเทียนโย่วรับเข้ามาตอนอยู่ที่กานโจว

ซ้ำยังได้ยินอีกว่าตอนที่ซุนอี๋เหนียงตั้งครรภ์นั้นเดิมทีเป็นแฝดชายหญิง แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น อายุครรภ์ได้ไม่ถึงเจ็ดเดือนก็คลอดก่อนกำหนด ขณะคลอดออกมาทารกทั้งสองล้วนใบหน้าคล้ำเขียว ท้ายที่สุดก็ช่วยทารกชายคนนั้นไว้ไม่ได้ เขาคลอดออกมาได้สามวันก็ตาย แม้เจียงชิงเซวียนจะรอดมาได้ แต่ก็ดูอ่อนแออย่างมาก ตอนนี้อายุได้สิบห้าปีแล้ว เอวยังบางจนแค่กำก็แทบหัก นางก้าวมาแสดงคารวะต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียงด้วยเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา

เจียงชิงหว่านยังรู้ด้วยว่าซุนอี๋เหนียงผู้นี้เดิมทีเป็นสาวใช้ของเมิ่งอี๋เหนียง มีหนหนึ่งเจียงเทียนโย่วเมาสุรา เห็นนางมีรูปโฉมพริ้มเพราก็ลากนางขึ้นเตียง เพียงครั้งเดียวก็ตั้งท้องแล้ว

ได้ยินว่าเวลานั้นเมิ่งอี๋เหนียงเพิ่งจะตั้งครรภ์เช่นกัน หลังรู้เรื่องนี้กลับมิได้โมโห ต่อมาพอซุนอี๋เหนียงคลอดลูก นางยังเป็นฝ่ายเปรยกับเจียงเทียนโย่วว่าต้องการยกซุนอี๋เหนียงขึ้นเป็นอนุภรรยา น่าเสียดายที่ภายหลังซุนอี๋เหนียงไม่เป็นที่โปรดปราน แต่ดีที่นางเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่เคยก่อความวุ่นวายอะไร

ทางด้านเจียงชิงอวิ๋นตอนนี้อายุราวเจ็ดแปดขวบ ยังพอจะดูสดใสร่าเริงอยู่บ้าง ส่วนโจวอี๋เหนียงก็ดูเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัว นางพาบุตรสาวของตนมาโขกศีรษะคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและเหยาซื่อ เอ่ยเรียกว่า ‘ฮูหยินผู้เฒ่า’ และ ‘นายหญิง’

เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีท่าทางชอบพวกซุนอี๋เหนียงและโจวอี๋เหนียงทั้งแม่ทั้งลูก แน่นอนว่าเป็นไปได้ที่จะจงใจแสดงให้เมิ่งอี๋เหนียงกับเจียงชิงอวี้ดู ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพูดกับพวกนางอย่างเมตตาอ่อนโยน ซ้ำยังบอกให้เถาเยี่ยนำของขวัญที่เตรียมไว้มามอบให้พวกนางด้วย

“เด็กดี” รอยยิ้มบนใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงดูเมตตาปรานียิ่ง “ดูก็รู้ว่าเป็นคนรู้มารยาทรู้การควรไม่ควร มิน่าย่าเห็นพวกเจ้าแล้วในใจจึงรู้สึกสนิทชิดเชื้อ”

เจียงชิงเซวียนกับเจียงชิงอวิ๋นยอบตัวคารวะ ต่างกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ใช้สองมือรับกล่องมา ก่อนถอยไปอยู่ข้างๆ

เจียงชิงหว่านเห็นเจียงชิงอวิ๋นมองมาที่ตนด้วยความอยากรู้อยากเห็นขณะถอยหลบไป แต่เจียงชิงเซวียนกลับหลุบตาสำรวมโดยตลอด

เจียงชิงหว่านไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เท่าไร ตอนนี้นางเพียงอยากใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบและมั่นคงปลอดภัย ไม่อยากไปมีเรื่องกับผู้ใดทั้งสิ้น และไม่ต้องการให้ผู้ใดมาหาเรื่องนางเช่นกัน

จากนั้นเมิ่งอี๋เหนียงก็พาเจียงฉางหนิงมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียง

เจียงฉางหนิงสวมเสื้อคลุมสั้นตัวเล็กสีแดงชาด หน้าตาเหมือนกับเมิ่งอี๋เหนียง ผิวขาวผ่อง ด้วยความที่เขากลัวคนแปลกหน้าจึงไม่กล้ามองฮูหยินผู้เฒ่าเจียง สองมือโอบคอเมิ่งอี๋เหนียง เอาแต่ขยับตัวหลบเข้าไปในอ้อมอกนาง เมิ่งอี๋เหนียงให้เขาเรียกท่านย่า เขาก็ไม่เรียก

เมิ่งอี๋เหนียงจึงยิ้มอย่างขอลุแก่โทษ “เด็กคนนี้ขี้ขลาด ปกติเขาอยู่บ้านก็พูดถึงท่านประจำ บอกว่าอยากพบท่านย่า วันนี้ได้พบเป็นครั้งแรกจึงกลัวอยู่บ้าง รอวันหน้าได้อยู่กับท่านนานขึ้น เขาจะต้องติดท่านมากแน่นอนเจ้าค่ะ”

แม้ปากจะพูดอย่างถ่อมตัว แต่ในใจนางกลับยังคงภาคภูมิใจ

ในรุ่นที่สามของสกุลเจียงนี้ เจียงฉางหนิงเป็นบุตรชายเพียงหนึ่งเดียว นี่คือที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของนาง

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีหรือจะไม่รู้ความคิดความอ่านเล็กๆ นี้ของเมิ่งอี๋เหนียง จึงมองนางปราดหนึ่งด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะมองเจียงฉางหนิง

ที่สุดแล้วเขาก็เป็นหลานชายของตน ซ้ำยังเป็นหลานชายเพียงคนเดียวในตอนนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงย่อมจะชอบเขา

นางบอกให้เถาเยี่ยหยิบแม่กุญแจอายุยืนทองแท้สลักลายดอกบัวมาให้ แล้วคล้องคอเจียงฉางหนิงด้วยตนเอง จากนั้นก็ลูบศีรษะเขาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “เด็กดี เจ้าจงมีอายุยืนร้อยปี”

เดิมทีขณะที่เหยาซื่อมองเห็นเมิ่งอี๋เหนียงอุ้มเจียงฉางหนิงเดินมาก็รู้สึกอึดอัดใจแล้ว ยามนี้มาได้ยินคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอีก นางก็นึกถึงบุตรชายของตนขึ้นมา ในใจจึงอดจะปวดแปลบไม่ได้

หากผิงเกอของข้ายังมีชีวิตอยู่ ยามนี้ก็น่าจะอายุสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว อีกทั้งเขาก็เป็นบุตรชายสายตรงคนโต ไหนเลยจะถึงคราวให้บุตรชายสายรองเช่นนี้ได้ลืมตาอ้าปาก

ในใจเหยาซื่อยิ่งไม่พอใจต่อเมิ่งอี๋เหนียงขึ้นกว่าเดิม

เหยาซื่อมองเมิ่งอี๋เหนียงปราดหนึ่งด้วยสายตาคับแค้น กลับเห็นอีกฝ่ายอุ้มเจียงฉางหนิงพลางคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงด้วยรอยยิ้มกว้าง กล่อมเสียงนุ่มให้เด็กคนนั้นเรียกท่านย่า เด็กคนนั้นก็ถึงกับเรียกจริงๆ แม้จะดูท่าทางไม่เต็มใจ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ดีใจมาก จึงเอื้อมมือไปอุ้มเขาเข้ามาในอ้อมแขนตน ซ้ำยังเอ่ยเรียกหลานชายคนดีไม่ขาดปาก

เหยาซื่อเบือนหน้าหนีด้วยความปวดร้าว ก็เห็นเจียงชิงหว่านกำลังมองนางอยู่พอดี

เจียงชิงหว่านรู้เช่นกันว่าที่พึ่งของเมิ่งอี๋เหนียงคืออะไร และก็รู้ว่าทางที่ดีเหยาซื่อต้องมีบุตรชายของตนเอง เช่นนี้ไม่เพียงแค่เหยาซื่อ แม้แต่นางเองก็สามารถยืดอกตรงได้มากขึ้นในจวนหย่งชางป๋อแห่งนี้

เหยาซื่อเองมิใช่ไม่สามารถมีลูกได้ เพียงแต่เมื่อก่อนแยกกันอยู่กับเจียงเทียนโย่วมาตลอด ไม่มีโอกาสก็เท่านั้น ตอนนี้โอกาสกลับมีมากนัก เพียงแต่อายุของเหยาซื่อจะอย่างไรก็สามสิบห้าสามสิบหกปีแล้ว เรื่องนี้มีความเสี่ยงเป็นอันมาก

เจียงชิงหว่านขมวดคิ้ว

บางทีอาจสามารถขึ้นทะเบียนบุตรชายสายรองสักคนไว้ในนามของเหยาซื่อ ทว่าตอนนี้ในจวนก็มีเพียงเจียงฉางหนิงเป็นบุตรชายสายรองคนเดียว…

ที่จริงหากกล่าวถึงอายุ ตอนนี้เจียงฉางหนิงเพิ่งจะสองขวบ หากขึ้นทะเบียนไว้ให้เหยาซื่อเลี้ยงดูจนโต วันหน้าจะต้องไม่สนิทสนมกับเมิ่งอี๋เหนียงและเจียงชิงอวี้อย่างแน่นอน นี่เป็นการดียิ่ง เพียงแต่เจียงฉางหนิงเป็นที่พึ่งพิงใหญ่ที่สุดของเมิ่งอี๋เหนียง หากเหยาซื่อเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา เมิ่งอี๋เหนียงต้องอาละวาดเป็นแน่ ดูท่าทางเจียงเทียนโย่วเองก็ปกป้องอีกฝ่ายอย่างมาก ถึงเวลานั้นจะไม่เป็นผลดีต่อเหยาซื่อ

เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเองก็คงไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน แม้ในใจนางจะไม่ชอบเมิ่งอี๋เหนียงเพียงใด แต่ที่สุดแล้วก็ยังจดจำเรื่องที่พี่ชายของเมิ่งอี๋เหนียงเคยช่วยเจียงเทียนโย่วไว้ได้อยู่ คงทำเรื่องอย่างแย่งบุตรชายอีกฝ่ายมาไว้ภายใต้นามของเหยาซื่อไม่ลง

แต่ก็ไม่เป็นอะไร เจียงชิงหว่านคิดในใจว่าถ้าเหยาซื่อให้กำเนิดบุตรชายสายตรงของตนเองออกมาไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นก็ให้คนอื่นช่วยคลอดให้ก็ได้ ซุนอี๋เหนียงเองก็อายุมากแล้ว โจวอี๋เหนียงก็ดูจะไม่เป็นที่โปรดปรานนัก หากแต่ในจวนก็มีสาวใช้รูปโฉมงดงามอายุน้อยอยู่ ซ้ำยังสามารถให้เจียงเทียนโย่วรับอนุภรรยาเพิ่มได้อีกด้วย

อย่างไรก็มีวิธี ไม่มีทางปล่อยให้เมิ่งอี๋เหนียงอาศัยบุตรชายปีนป่ายขึ้นมาบนหัวเหยาซื่อกับนางได้เด็ดขาด

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงคุยกับคนทั้งหลายอีกครู่หนึ่งก็บอกให้เถาเยี่ยนำกล่องใบหนึ่งไปให้เจียงชิงอวี้

เป็นกล่องแบบเดียวกับที่ให้เจียงชิงเซวียนและเจียงชิงอวิ๋น ด้านในเป็นของขวัญพบหน้าที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมอบให้หลานสาว

เจียงชิงอวี้ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น เมื่อครู่ยามที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงสนทนากับคนอื่น ราวกับได้ลืมเรื่องที่เจียงชิงอวี้ยังคุกเข่าอยู่ไปแล้ว เจียงชิงอวี้ย่อมไม่อาจลุกขึ้นมาได้

คนในห้องล้วนรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเจตนาทำเช่นนี้ จึงไม่มีใครกล้าเอ่ยปากขอความเมตตา

ทุกคนล้วนรู้แก่ใจว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงหาโอกาสดีๆ สำหรับสร้างบารมีไม่ได้ แต่เจียงชิงอวี้ผู้นี้ก็ทะเล่อทะล่าเอาตัวเข้ามาพอดิบพอดี ทำได้เพียงโทษว่านางโง่เขลาเองแล้ว

คุณหนูรองหยิ่งผยองวางอำนาจบาตรใหญ่มากเพียงไรเวลาอยู่ในจวน วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมาถึงวันแรกก็ลงโทษให้นางคุกเข่าเป็นนานเยี่ยงนี้ กระทั่งนายท่านยังไม่กล้าพูดอะไร ซ้ำยังบริภาษคุณหนูรองไปด้วย เช่นนั้นวันหน้าคนในจวนจะยังมีใครกล้านึกดูถูกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงว่านางมาจากชนบทอีก

อุบายเชือดไก่ให้ลิงดูนี้ปราดเปรื่องโดยแท้ และยังมีที่ปราดเปรื่องยิ่งกว่าคือตีด้วยกระบองไปทีหนึ่ง พอได้เวลาสมควรก็ให้พุทราหวาน*

ทุกคนต่างได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกล่าวว่า “เจ้ามิใช่เด็กเล็กๆ แล้ว กฎระเบียบที่พึงมีก็สมควรต้องรู้ วันนี้เจ้าเถียงข้าต่อหน้าธารกำนัล ถ้าข้าไม่ลงโทษเจ้า วันหน้าเจ้าออกไปทำกิริยาเช่นนี้ข้างนอก ผู้อื่นก็จะพูดว่าเจ้าไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ ไร้กฎระเบียบ จะมีตระกูลใหญ่ตระกูลโตที่ใดกล้าแต่งสะใภ้เยี่ยงนี้เข้าบ้าน หากข้าไม่ลงโทษเจ้า ก็จะเป็นการทำร้ายเจ้าแทน”

จากนั้นก็บอกให้เถาเยี่ยส่งกล่องให้อีกฝ่าย ก่อนกล่าวต่อด้วยเสียงอ่อนโยน “ในใจผู้เป็นย่าคนใดไม่มีหลานชายหลานสาวบ้าง ข้าไม่เคยพบเจ้าและไม่เคยอุ้มเจ้าเลยตั้งแต่เจ้าเกิดมา แต่ในวันเกิดของเจ้าทุกปีข้าก็ได้จัดเตรียมของขวัญเอาไว้ให้ ล้วนอยู่ในกล่องใบนี้ นี่คือความรู้สึกที่ย่าอย่างข้ามีต่อเจ้า”

เจียงชิงอวี้ไม่อยากรับ มีของดีชิ้นใดที่นางไม่มีบ้างเล่า ไม่ได้อยากได้ของที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมอบให้แม้แต่น้อย

เจียงเทียนโย่วได้ยินแล้วกลับซาบซึ้งใจยิ่ง

เนื่องจากเรื่องในตอนนั้น เดิมทีเขานึกว่ามารดาจะไม่ชอบเจียงชิงอวี้เสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่าวันเกิดของนาง มารดาจะยังจำได้ ซ้ำยังเตรียมของขวัญไว้ให้นางด้วย…

เขาจึงรีบหันหน้าไปบอกเจียงชิงอวี้ “ดูเถอะว่าท่านย่าเจ้ามีเจ้าในใจมากเพียงไร ยังไม่รีบขอบคุณท่านย่าอีก”

เมื่อครู่เจียงเทียนโย่วเพิ่งจะตวาดดุเจียงชิงอวี้ไป ตอนนี้เจียงชิงอวี้จึงไม่กล้าไม่เชื่อฟังเขา ทำได้เพียงยื่นมือไปรับกล่องที่เถาเยี่ยยื่นส่งมาให้ แล้วโขกศีรษะคำนับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก่อนเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านย่า”

ทว่าน้ำเสียงยังคงฟังออกถึงความไม่เต็มใจอยู่บ้าง

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีหรือจะไม่ทราบ นางจึงหยิบถ้วยชาบนโต๊ะเตี้ยข้างมือขึ้นมาจิบชาไปอึกหนึ่ง ก่อนจะสั่งเรียบๆ โดยไม่เงยหน้า “เรื่องในวันนี้ยังคงต้องทำให้เข็ดหลาบสักหน่อย กลับไปตั้งใจคัดจรรยาสตรีมายี่สิบจบ อีกสองวันนำมาส่งข้า”

นี่เท่ากับว่าหนึ่งวันต้องคัดสิบจบ สำหรับเจียงชิงอวี้ที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างตามใจแล้ว งานนี้หนักหนายิ่ง

นางได้แต่ตอบรับอย่างไม่เต็มใจ คิดว่ากลับไปจะให้สาวใช้คัดแทน

บทที่ 11 ความเคารพยำเกรง

จะอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็สูงอายุแล้ว ทั้งยังตรากตรำเดินทางติดต่อกันหลายวันจึงรู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ ตอนนี้บารมีที่ควรสร้างก็สร้างแล้ว หลานชายหลานสาวทั้งหลายก็ได้พบหมดแล้ว จึงอยากจะพักผ่อน

เมิ่งอี๋เหนียงเป็นคนช่างสังเกต เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีสีหน้าเหนื่อยอ่อนก็อุ้มเจียงฉางหนิงพลางเอ่ยปากขอตัว เชิญให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพักผ่อน และบอกด้วยว่าได้จัดสุราอาหารเลี้ยงต้อนรับไว้แล้ว รอฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพักผ่อนเต็มที่แล้วสามารถมาสำราญกับบรรดาหลานๆ ได้

ไม่อาจไม่กล่าวว่าเมิ่งอี๋เหนียงทำงานละเอียดถี่ถ้วนมากจริงๆ เจียงชิงหว่านรู้สึกว่าในจุดนี้เหยาซื่อคงจะเทียบไม่ติด

ครั้นออกพ้นประตูเรือนซงเฮ่อแล้ว เจียงเทียนโย่วก็พูดกับเหยาซื่ออีกไม่กี่คำ บอกให้นางพักผ่อนให้เต็มที่ จากนั้นก็เดินจากไป

แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ก็ไม่ได้พบกันหลายปี เจียงเทียนโย่วจึงรู้สึกอึดอัดเวลาอยู่กับนาง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรโดยสิ้นเชิง ฉะนั้นออกไปคุยเล่นกับแขกที่ด้านนอกจะดีกว่า

เหยาซื่อมองดูแผ่นหลังที่ค่อยๆ จากไปไกลของเขา รู้สึกเศร้าเสียใจยิ่ง

เดิมทีนึกว่าสามีภรรยาไม่ได้พบกันหลายปีจะต้องมีเรื่องให้คุยมากมาย แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเดินจากไป ทิ้งให้นางเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้

แม้คนเหล่านี้จะล้วนเป็นอนุภรรยาและบุตรสาวบุตรชายสายรอง ภายนอกเรียกนางว่า ‘นายหญิง’ ด้วยความเคารพนบนอบ แต่ใครจะรู้ว่าในใจอีกฝ่ายมองนางอย่างไร ไม่แน่อาจกำลังรอดูเรื่องขบขันของนางอยู่ก็เป็นได้ มิหนำซ้ำในอดีตนางก็ไม่เคยอยู่ร่วมกับอนุภรรยา จึงไม่รู้ว่าควรทำหรือควรพูดอย่างไร จึงอดที่จะทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาไม่ได้

เจียงชิงหว่านที่อยู่ด้านข้างมองเห็นแล้วก็ลอบถอนหายใจในใจ

เกรงว่ายามนี้คนเหล่านั้นคงกำลังคาดเดาอยู่ในใจว่าเหยาซื่อเป็นคนเช่นไร ดูว่าวันหน้าควรต้องให้ความเคารพยำเกรงต่อนางหรือไม่ และควรอยู่ร่วมกับนางอย่างไร

คนเราก็มักเป็นเช่นนี้ ค่อยๆ รุกคืบหยั่งเชิงดูท่าทีของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็ค่อยๆ กำเริบเสิบสานขึ้นมา

หากแต่ตอนนี้ตนกับเหยาซื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าในใจพวกนางดูถูกเหยาซื่อ มีหรือจะเคารพยำเกรงตน

ด้วยเหตุนี้เจียงชิงหว่านคิดแล้วก็เอ่ยปากเรียกเมิ่งอี๋เหนียง “เมิ่งอี๋เหนียง”

เมิ่งอี๋เหนียงกำลังคิดในใจว่าไม่ได้พบเหยาซื่อหลายปี ไม่รู้นางจะมีความก้าวหน้าอะไรบ้างหรือไม่ นิสัยใช่ยังอ่อนแอปวกเปียกเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่ จึงจงใจไม่พูดอะไร เพียงแต่อุ้มเจียงฉางหนิงไว้ในอ้อมแขน ทำเป็นก้มหน้ากล่อมเขา ทว่าหางตากลับคอยจับสังเกตเหยาซื่อตลอด ดูว่าอีกฝ่ายจะรับมือกับคนที่เหลืออย่างไร

เมื่อมองเห็นใบหน้าที่เห่อแดงและท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูกของเหยาซื่อ ในใจเมิ่งอี๋เหนียงก็มีความคิดดูถูกขึ้นมาหลายส่วน

ครองตำแหน่งนายหญิงอย่างเสียเปล่าแล้ว ท่าทางดูไม่มีอันใดให้ออกหน้าออกตาได้ เกรงว่าแม้แต่สาวใช้สักคนก็ยังคุมไม่อยู่ ไม่เป็นภัยเลยสักนิด ต่อไปหากคิดบงการอีกฝ่ายก็น่าจะมิใช่เรื่องยากอะไร

เวลานี้ก็พลันได้ยินคนเรียกนาง

ในใจเมิ่งอี๋เหนียงอึ้งไปเล็กน้อย เงยหน้ามองไปตามเสียงก็เห็นเจียงชิงหว่านกำลังเรียกนางอยู่

เด็กสาวอายุสิบสี่ ทำผมมวยห่วงคู่ ขณะนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อนแล้ว แต่ยังสวมเสื้อบุนวมสองชั้นสีชมพูปักลายดอกกล้วยไม้ ดูท่าทางจะเป็นคนขี้หนาว

ทั้งที่ดูเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง สีหน้ากลับดูสุขุมมั่นคงยิ่ง สายตาที่มองมาก็เด็ดเดี่ยวเช่นกัน

เมิ่งอี๋เหนียงใจหายน้อยๆ แล้วเอ่ยถามยิ้มๆ “คุณหนูสาม มีอันใดหรือเจ้าคะ”

มารดาเป็นคนที่ไม่มีอะไรให้อวดโอ่ชาวบ้านได้ บุตรสาวจะมีความรู้สักเท่าไรกันเชียว อีกอย่างคุณหนูสามผู้นี้ก็เติบโตที่กานโจว ได้ยินว่าทำตัวราวกับเด็กเร่ร่อน หนังสือไม่อ่าน งานฝีมือก็ไม่เรียน ทำสิ่งใดไม่เป็นทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญเกินไปนักหรอก

คิดได้เช่นนี้ ความประหลาดใจเล็กๆ ของเมิ่งอี๋เหนียงเมื่อครู่นี้ก็คลายลง เพียงมองเจียงชิงหว่านโดยไม่ละสายตา อยากดูว่าฝ่ายหลังจะพูดสิ่งใด

ผู้คนที่ด้านข้างก็ล้วนกำลังมองเจียงชิงหว่านเช่นกัน

เมื่อครู่อยู่ที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเจียง คุณหนูสามผู้นี้มิได้ปริปากเอ่ยวาจาโดยสิ้นเชิง เพียงนั่งอยู่เงียบๆ ประหนึ่งเป็นของตกแต่งภายในห้อง แต่บัดนี้นางถึงกับเป็นฝ่ายเอ่ยปากเรียกเมิ่งอี๋เหนียง มิหนำซ้ำเสียงยังฟังดูเคร่งขรึมยิ่ง

ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดเจียงชิงหว่านจึงเรียกเมิ่งอี๋เหนียง

ในใจคนทั้งหลายอดอยากรู้ขึ้นมาไม่ได้ แม้แต่เหยาซื่อก็ยังมองมาเช่นกัน

เหยาซื่อเห็นเจียงชิงหว่านพยักหน้าให้เมิ่งอี๋เหนียง ก่อนพูดด้วยเสียงไม่เร็วไม่ช้าว่า “เมื่อครู่ได้ยินท่านพ่อบอกว่าเรือนพักของท่านย่ากับพวกข้าล้วนเป็นเมิ่งอี๋เหนียงให้คนเก็บกวาดให้ ตอนนี้ข้ากับท่านแม่เพลียแล้ว อยากจะพักผ่อนสักครู่ เมิ่งอี๋เหนียงพาพวกข้าไปเดี๋ยวนี้เลยแล้วกัน”

คำพูดราบเรียบ สีหน้าถึงกับไม่มีแววขลาดกลัวสักนิด

คนทั้งหลายลอบประหลาดใจ เมิ่งอี๋เหนียงเองก็อดจะตกใจไม่ได้เช่นกัน

นี่ดูเหมือนเด็กบ้านป่าที่เพิ่งมาจากชนบทและไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งสิ้นเสียที่ใด บุคลิกท่าทางเห็นชัดว่าเหมือนกับธิดาตระกูลใหญ่ สง่าผ่าเผย ไร้ความตื่นกลัว

เมิ่งอี๋เหนียงยังไม่ทันตอบ เจียงชิงอวี้กลับไม่พอใจขึ้นมา

อันที่จริงตั้งแต่ได้รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะมา นางก็ไม่พอใจแล้ว ซ้ำเมื่อครู่ยังถูกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงทำโทษคุกเข่าต่อหน้าธารกำนัลครู่ใหญ่ ในใจนางจึงยิ่งไม่พอใจกว่าเดิม รู้สึกว่าขายหน้ายิ่ง

บัดนี้นางรีบร้อนอยากกู้หน้าตนเองคืน อีกทั้งในใจก็นึกดูถูกเจียงชิงหว่านมากจริงๆ จึงเชิดหน้าพูดด้วยสีหน้าไม่ดี “เจ้าเหนื่อยแล้ว? อยากไปพักผ่อนที่เรือนของเจ้าก็เรียกสาวใช้สักคนให้นำทางเจ้าไปไม่เป็นหรือไร กลับต้องมาเรียกให้อี๋เหนียงของข้านำทาง งานนางยุ่งยิ่ง ซ้ำยังต้องไปพบผู้ดูแลที่โถงปรึกษางานเพื่อฟังพวกนางรายงาน ไม่ได้มีเวลาว่าง”

เจียงชิงหว่านมองเจียงชิงอวี้ รู้สึกเพียงว่าน่าขบขัน

นางเป็นบุตรสาวสายตรง เรียกให้อนุภรรยาผู้หนึ่งนำทาง ฟังดูที่เจียงชิงอวี้พูดเหมือนว่านางไม่รู้กฎระเบียบอย่างไรอย่างนั้น ทว่าคนที่ไม่รู้กฎระเบียบคือคุณหนูรองผู้นี้ต่างหาก

เห็นทีก่อนที่นางกับเหยาซื่อจะมา เมิ่งอี๋เหนียงและเจียงชิงอวี้ผู้นี้คงเห็นว่าตนเองเป็นนายหญิงและคุณหนูที่เกิดจากภรรยาเอกของจวนแห่งนี้ไปแล้ว มิน่าเมื่อครู่ในตอนที่ซุนอี๋เหนียงและโจวอี๋เหนียงเผชิญหน้ากับเมิ่งอี๋เหนียงถึงมีท่าทีเคารพนบนอบ เจียงชิงอวี้เองก็มีท่าทีดูแคลนต่อเจียงชิงเซวียนและเจียงชิงอวิ๋นเป็นอย่างมากเช่นกัน

เหยาซื่อไม่อยากมีเรื่องวิวาทกับผู้อื่นตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ด้วยกลัวว่าคนจะซุบซิบนินทา จึงจับมือเจียงชิงหว่านพลางเรียกนางเสียงเบา “หว่านวาน”

เจียงชิงหว่านกลับไม่กลัว

ตอนอยู่ในวังนางเคยเห็นสนมชายาที่ไม่เป็นที่โปรดปรานจำนวนมากถูกนางกำนัลขันทีรังแก มีชีวิตสู้สุนัขยังไม่ได้ นางกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่าเดิมทีเจียงเทียนโย่วก็ไม่ได้รู้สึกรักใคร่ผูกพันกับพวกนางสองแม่ลูกเสียเท่าไร หากนางกับเหยาซื่อยังแสดงท่าทางอ่อนแอปวกเปียกออกมาอีก เช่นนั้นถึงพวกนางจะได้ชื่อว่าเป็นนายหญิงและคุณหนูที่เกิดจากภรรยาเอกเพียงคนเดียวในจวน แต่วันหน้าก็ไม่แน่ว่าจะมีชีวิตที่ดี

ในเมื่อสวรรค์มอบโอกาสมีชีวิตให้นางอีกครั้ง นางก็อยากจะมีชีวิตให้ดี อีกอย่างตลอดทางมานี้เหยาซื่อก็ดีต่อนางมาก นางเองก็อยากจะปกป้องเหยาซื่อจากใจจริง

ดังนั้นเจียงชิงหว่านจึงไม่ถือสาที่จะอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างชาติกำเนิดสายตรงและสายรองให้เจียงชิงอวี้ฟัง

เมื่อก่อนเมิ่งอี๋เหนียงไม่เคยสอนเรื่องเหล่านี้ให้เจียงชิงอวี้ก็ไม่เป็นไร บัดนี้นางสามารถช่วยสั่งสอนแทนเมิ่งอี๋เหนียงได้

ทว่าเมิ่งอี๋เหนียงเป็นคนฉลาด มองเห็นท่าไม่ดีก็รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นความเลินเล่อของผู้น้อย เห็นหนิงเกอร้องไห้ก็รีบแต่จะปลอบเขาจนลืมเรื่องที่นายหญิงและคุณหนูสามต้องพักผ่อนไป”

ตอนนี้พวกนางยังอยู่หน้าประตูเรือนซงเฮ่อ หากฮูหยินผู้เฒ่าเจียงรู้ถึงคำพูดของเจียงชิงอวี้เข้าคงมิแคล้วได้ต่อว่านางอีก

ในใจนายท่านให้ความสำคัญกับความกตัญญูอย่างมาก เมิ่งอี๋เหนียงไม่อาจปล่อยให้เจียงชิงอวี้ก่อเรื่องให้เจียงเทียนโย่วไม่พอใจได้อีก

นางจึงส่งเจียงฉางหนิงในอ้อมแขนให้แม่นมที่อยู่ข้างๆ อุ้ม ก่อนจะบอกให้รุ่ยเซียงลากตัวเจียงชิงอวี้กลับไป ส่วนตนก็ฉีกยิ้มกล่าวเชิญให้เหยาซื่อและเจียงชิงหว่านออกเดินด้วยเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา

ภายนอกดูนอบน้อมยอมตาม ทว่าในใจก็ลอบรู้สึกตกใจ

เหยาซื่อไม่มีอะไรให้เป็นกังวล แต่คุณหนูสามผู้นี้กลับฉลาดมากเล่ห์ วันหน้าคงต้องระวังให้มาก

จะอย่างไรเหยาซื่อก็เป็นนายหญิงที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เมื่อนางมิได้ออกปาก พวกซุนอี๋เหนียงและเจียงชิงเซวียนก็ไม่กล้ากลับไปในทันที ทุกคนจึงห้อมล้อมเหยาซื่อกับเจียงชิงหว่านเดินไปยังเรือนหลิวเซียงด้วยกัน

เดิมทีจวนหย่งชางป๋อเป็นที่พำนักของขุนนางผู้หนึ่งในราชวงศ์ก่อน ต่อมาถูกฮ่องเต้องค์ปัจจุบันพระราชทานให้เป็นที่อาศัยของเจียงเทียนโย่ว แม้สถานที่จะไม่ใหญ่นัก แต่ข้างในมีต้นไม้ใบหญ้างอกงามเขียวชอุ่ม ทิวทัศน์ไม่เลว ทุกก้าวที่เดินล้วนมีต้นไม้ดอกไม้ให้ชม

ครั้นมาถึงเรือนหลิวเซียงก็เห็นว่าเป็นเรือนคั่นสองด้านในย่อมเก็บกวาดไว้เรียบร้อยนานแล้ว

เหยาซื่อเดินเข้าห้องกลาง สายตามองไปรอบด้าน

ตอนนางกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอยู่ที่กานโจว แม้จะอาศัยในเรือนขนาดห้าหกห้อง คนในหมู่บ้านล้วนอิจฉา แต่จะเทียบกับเรือนที่โอ่อ่าตรงหน้านี้ได้อย่างไร แค่เห็นก็รู้สึกตาลายไปหมด ยิ่งทำอะไรไม่ถูกขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้แล้วว่าควรยืนหรือควรนั่งดี

เจียงชิงหว่านเห็นแล้วก็ประคองเหยาซื่อไปนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นที่อยู่ด้านหน้า

มันเป็นตั่งหลัวฮั่นทำจากไม้พะยูงสลักลายวั่นจื้อด้านบนปูเบาะรองนั่งผ้าต่วนสีเขียวคราม ตรงกลางมีโต๊ะเตี้ยทำจากไม้พะยูงวางอยู่หนึ่งตัว

เหยาซื่อเองก็ไม่รู้ว่าควรเรียกให้พวกเมิ่งอี๋เหนียงนั่งหรือไม่ สายตาถึงกับเลื่อนไปมองเจียงชิงหว่าน

ประหนึ่งว่าในใจรู้สึกพึ่งพานางอย่างมาก

เจียงชิงหว่านเห็นเช่นนี้ก็ไม่มีคำใดจะพูด เพียงคิดว่าจะอย่างไรที่ผ่านมาเหยาซื่อก็ไม่เคยประสบกับเรื่องเหล่านี้ การไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรไปชั่วขณะก็สามารถเข้าใจได้ เห็นทีคงต้องพูดเรื่องจัดการอนุภรรยากับเหยาซื่อเสียหน่อยแล้ว

เจียงชิงหว่านคุยสัพเพเหระกับพวกเมิ่งอี๋เหนียงได้ครู่หนึ่ง จากนั้นก็บอกว่าเพลียแล้ว อยากจะพักผ่อน แล้วบอกให้พวกนางกลับไปก่อน

พวกเมิ่งอี๋เหนียงต่างขอตัวออกไป ครั้นพวกนางออกไปแล้วเจียงชิงหว่านก็ให้จิ่นผิงไปเรียกหญิงรับใช้ในเรือนหลิวเซียงนี้เข้ามา

จิ่นผิงตอบรับก่อนออกไปเรียก คนทั้งหลายต่างเข้ามาคุกเข่าบนพื้นห้องกลาง โขกศีรษะคารวะนายหญิงและคุณหนูสาม

มีหัวหน้าสาวใช้สองนางนามว่าไฉ่สยาและไฉ่อวิ๋น นอกจากนี้ยังมีสาวใช้ระดับรองและบ่าวรับใช้สูงวัยที่ทำหน้าที่ทำความสะอาดอีกหลายคน

ตอนนี้ในมือเหยาซื่อไม่มีเงิน อยากจะตกรางวัลคนเหล่านี้ก็ไม่สามารถ แม้จะได้นำผลิตผลพิเศษของกานโจวอย่างพวกพุทราแดงมาด้วยจำนวนมาก แต่ถ้ามอบให้หญิงรับใช้เหล่านี้ก็เป็นไปได้ว่าจะทำให้พวกนางเอาไปพูดลับหลังว่านายหญิงตระหนี่ถี่เหนียว ดังนั้นจึงยังไม่ให้อะไร

เจียงชิงหว่านพูดกระตุ้นให้คนเหล่านี้จงรักภักดีต่อนายหญิง ทั้งให้เอาใจใส่และจงตั้งใจทำงาน นายหญิงย่อมไม่ปฏิบัติต่อพวกนางอย่างไม่เป็นธรรม หลังกล่าวเตือนเสร็จก็บอกให้พวกนางลุกขึ้น ออกไปทำงาน

ครั้นเห็นพวกนางออกไปหมดแล้วเจียงชิงหว่านก็บอกให้จิ่นผิงไปเฝ้าหน้าประตู ครานี้นางถึงค่อยนั่งคุยกับเหยาซื่ออยู่บนตั่งหลัวฮั่น

“หว่านวาน” เหยาซื่อเรียกนางเสียงแผ่วเบา ซ้ำบนใบหน้ายังมีรอยยิ้มเจื่อน “เจ้ารู้สึกว่าแม่ไม่เอาไหนมากใช่หรือไม่”

แม้เหยาซื่อจะมีนิสัยอ่อนแอปวกเปียก แต่ก็มิได้โง่เขลา เห็นพวกเมิ่งอี๋เหนียงล้วนแต่งกายด้วยผ้าแพรผ้าต่วน บนศีรษะเต็มไปด้วยเครื่องประดับไข่มุกอัญมณี ตัวนางเองเช้านี้ก็ตั้งอกตั้งใจสวมอาภรณ์ประทินโฉมมาเช่นกัน กระนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว กลับยังสง่างามสู้การแต่งกายของสาวใช้ข้างกายพวกนางไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

เหยาซื่อจึงอดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาไม่ได้

เจียงชิงหว่านยิ้มพลางปลอบใจนาง “มิใช่เจ้าค่ะ ท่านแม่ ท่านทำได้ดีมากแล้ว วันหน้าท่านจะทำได้ดีขึ้นแน่นอน”

บทที่ 12 เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่

 เจียงชิงหว่านกับเหยาซื่อมองดูรอบห้องไปพลางคุยกันไปพลาง

“ท่านแม่ ท่านเป็นนายหญิง พูดเช่นนี้ก็แล้วกัน ในจวนหย่งชางป๋อแห่งนี้นอกจากท่านย่ากับท่านพ่อแล้ว ท่านแม่ก็ถือเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด เป็นนายหญิงของจวนนี้ คนอื่นๆ รวมถึงเมิ่งอี๋เหนียงและพวกพี่น้องทั้งหลาย ยามพบท่านล้วนต้องทำความเคารพท่าน ยามพูดคุยกับท่านก็ต้องแสดงท่าทีเคารพนบนอบ หากพวกนางมีท่าทีไม่ดีก็เท่ากับลบหลู่ดูหมิ่นท่าน ท่านสามารถลงโทษพวกนางตามกฎสกุลได้ ไม่มีใครกล้าว่าอะไรท่านแม้แต่คำเดียว”

เรือนหลิวเซียงนี้ก็เหมือนกับเรือนซงเฮ่อ ตัวเรือนหลักมีห้าห้องและสองข้างก็มีเรือนปีก เพียงแต่พื้นที่ใหญ่ไม่เท่าเรือนซงเฮ่อ แต่ก็เพียงพอให้พักอาศัยแล้ว ด้านในก็เก็บกวาดได้สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยมากเช่นกัน

เจียงชิงหว่านเปิดกล่องเครื่องประดับไม่กี่ใบที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งตรงริมหน้าต่างออก เห็นว่าข้างในมีเครื่องประดับทั้งเงินและทองอยู่ค่อนข้างมาก มีเครื่องประดับที่ทำจากพวกโมราและไข่มุกอยู่ด้วยเช่นกัน เครื่องประดับศีรษะเองก็มีอยู่สองสามชุด

คิดว่าหลังจากของเหล่านี้ทำเสร็จ เมิ่งอี๋เหนียงคงตั้งใจส่งไปให้เจียงเทียนโย่วดูโดยเฉพาะแล้ว และเจียงเทียนโย่วเองต้องเคยชมเชยว่านางใจกว้าง ทำงานได้เรียบร้อยเป็นแน่ ไม่แน่ว่าในใจอาจจะยังรู้สึกละอายใจต่อนางเพิ่มขึ้นอีกด้วย

มุมปากเจียงชิงหว่านยกขึ้นเป็นรอยยิ้มถากถาง ก่อนจะปิดกล่องเครื่องประดับในมือลง

เมื่อก่อนเหยาซื่อไม่เคยเห็นเครื่องประดับล้ำค่าราคาแพงจำนวนมากปานนี้ จึงรู้สึกเพียงว่าถูกแสงที่ออกมาจากพวกมันทำเอาสองตาพร่ามัวแล้ว จึงถามขึ้นอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้างว่า “เครื่องประดับเหล่านี้ล้วนเป็นของแม่?”

เจียงชิงหว่านหันหน้าไปมองเหยาซื่อ ก่อนตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “แน่นอนเจ้าค่ะ ไม่เพียงแต่เครื่องประดับเหล่านี้ ของทุกอย่างในเรือนหลิวเซียงนี้ หรือกระทั่งของทุกอย่าง ตลอดจนหญิงรับใช้ทั้งหมดในจวนหย่งชางป๋อนี้ล้วนแต่เป็นของท่านทั้งสิ้น ท่านคือนายหญิงของจวนหย่งชางป๋อ อยากจะจัดการกับของสิ่งใดในจวนก็ย่อมได้ทั้งนั้น”

เมื่อก่อนเหยาซื่อใช้ชีวิตอยู่ที่กานโจว สิ่งที่เคยเห็นเคยได้ยินล้วนมีอยู่จำกัด หากกล่าวอย่างไม่น่าฟัง เกรงว่าสาวใช้ระดับล่างของจวนนี้ยังมีความรู้กว้างขวางกว่านางเสียอีก ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือต้องสร้างความมั่นใจในตนเองให้นาง มิเช่นนั้นคงได้ถูกคนรังแกเข้าจริงๆ

เหยาซื่อได้ยินที่เจียงชิงหว่านพูดแล้วก็มีสีหน้าตระหนกตกใจยิ่ง นางชะงักเล็กน้อยก่อนจะหยิบปิ่นหงส์อันหนึ่งขึ้นมาจากกล่องเครื่องประดับที่วางอยู่ข้างมือ

ปิ่นหงส์นี้ทำมาจากทองถัก มีหางเล็กบางห้าเส้นเลื้อยชี้ขึ้นด้านบน ตรงปากหงส์คาบระย้ามุกสามเส้น ซึ่งล้วนเป็นไข่มุกชั้นดี แต่ละเม็ดกลมกลึงมีประกายวาววาม ที่ห้อยอยู่ตรงปลายเป็นไข่มุกสีแดงเม็ดใหญ่รูปหยดน้ำ

แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านหน้าต่างฉลุลายตกกระทบลงบนปิ่นหงส์ทองแท้ในมือเหยาซื่อจนเกิดเป็นประกายเรืองรอง

ในใจเหยาซื่อพลันเกิดความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกขึ้นมา

เมื่อก่อนเครื่องประดับที่ดีที่สุดของนางมีเพียงที่ทำจากเงิน ซ้ำยังมีรวมกันไม่กี่แบบ ทว่าบัดนี้ปิ่นหงส์ทองแท้ประดับไข่มุกอันวิจิตรงดงามเช่นนี้ รวมถึงเครื่องประดับหลากหลายในกล่องใหญ่หลายกล่องเบื้องหน้านี้ถึงกับเป็นของนางทั้งหมด?

เวลานี้เองเจียงชิงหว่านก็หยิบปิ่นหงส์จากมือเหยาซื่อไปปักให้ข้างมวยผม ก่อนยิ้มพลางหยิบคันฉ่องบานหนึ่งมาให้นางส่องดู

เหยาซื่อมองดูตนเองในคันฉ่องอย่างอึ้งงัน มิได้พูดอะไร

แม้แต่ตระกูลคหบดีที่มีเงินมากที่สุดในหมู่บ้าน ฮูหยินของเขาก็ยังไม่เคยปักปิ่นหงส์ที่งดงามเพียงนี้

จากนั้นเจียงชิงหว่านก็จูงเหยาซื่อเดินไปหยุดหน้าตู้เสื้อผ้าสีแดงเขียนลายทอง แล้วเปิดประตูตู้ออกให้นางดูเสื้อผ้าแพรพรรณหลากสีสันข้างใน

เหยาซื่อยื่นมือไปลูบเสื้อฤดูร้อนสีเขียวอมฟ้าตัวหนึ่งพลางหันหน้ามาถามเจียงชิงหว่านด้วยความลังเล “ของเหล่านี้ก็ล้วนเป็นของแม่เช่นกัน?”

เจียงชิงหว่านยิ้มพลางพยักหน้า “เจ้าค่ะ ท่านแม่ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นของท่าน อีกทั้งวันหน้าหากท่านต้องการสิ่งใด ก็สั่งให้เมิ่งอี๋เหนียงจัดการนำมาให้ได้เลย”

ทั้งจวนหย่งชางป๋อมีคนร่วมร้อยชีวิต งานต่างๆ ทั้งซับซ้อนทั้งจุกจิก จะให้เหยาซื่อกุมอำนาจดูแลงานในตอนนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ ทำได้เพียงให้เมิ่งอี๋เหนียงดูแลแทนไปก่อน รอวันหน้าถึงเวลาแล้วก็ค่อยทวงอำนาจดูแลงานในจวนนี้กลับมาอย่างช้าๆ

ในใจเจียงชิงหว่านรู้สึกเสียดายและรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนเหยาซื่อ

เหยาซื่อจะดีจะชั่วก็เป็นบุตรสาวจากตระกูลซิ่วไฉ* เมิ่งอี๋เหนียงกลับเป็นเพียงบุตรสาวจากครอบครัวช่างฝีมือ หลังจากบิดามารดาเสียชีวิต พี่ชายถูกหนิงอ๋องเกณฑ์ไปนำกองทหาร นางไม่รู้หนังสือสักตัว แต่ต่อมานางติดตามอยู่ข้างกายเจียงเทียนโย่วโดยตลอด ได้มีชีวิตที่สุขสบาย ตอนนี้ยังได้กุมอำนาจดูแลงานในจวน พบปะกับผู้อื่นได้อย่างสง่าผ่าเผย ไม่มีอาการประหม่าแม้แต่นิดเดียว

ถ้ามิใช่เหยาซื่อต้องอยู่ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอยู่ที่กานโจวแทนเจียงเทียนโย่วมาตลอด นางที่รู้หนังสือ ฐานะก็เป็นถึงฮูหยินจวนป๋อ บัดนี้จะต้องเรียนรู้การดูแลงานในจวนเป็นแล้ว รวมถึงเรียนรู้การวางตัวให้เหมาะสมสง่าผ่าเผยเวลาพบปะกับสตรีจากตระกูลใหญ่อื่นๆ เป็นเช่นกัน มีหรือจะเป็นเช่นวันนี้ที่ปล่อยให้ตนเองขายหน้าต่อหน้าอนุภรรยาและบุตรสาวสายรองได้

เหยาซื่อยังคงมีสีหน้าเหมือนอยู่ในความฝัน ถูกเจียงชิงหว่านประคองเดินมานั่งลงบนเตียงเตาไม้ริมหน้าต่างทิศใต้ จากนั้นก็เรียกสาวใช้ให้ยกน้ำชาและของว่างมาให้

เป็นไฉ่สยาใช้ถาดน้ำชายกชาสองถ้วยเข้ามา ส่วนไฉ่อวิ๋นใช้ถาดสี่เหลี่ยมสีแดงยกขนมถั่วแขกม้วนหนึ่งจานและขนมถั่วเขียวอีกหนึ่งจานมาให้

ขนมล้วนวางอยู่ในจานกระเบื้องเคลือบขาวเขียนลายครามใบเล็ก ดูประณีตบรรจงยิ่ง

เจียงชิงหว่านมองพวกนางสองคน รูปโฉมนับว่างามหมดจด ท่าทางก็ดูมีไหวพริบปฏิภาณ แต่ที่สุดแล้วก็เป็นคนที่เมิ่งอี๋เหนียงส่งมาให้ ซ้ำยังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าสาวใช้ประจำตัว อย่างไรก็ต้องสังเกตดูสักพักก่อนว่าสามารถใช้งานได้หรือไม่ นางจึงบอกให้พวกนางทั้งสองออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนเปลี่ยนไปเรียกให้จิ่นผิงเข้ามาปรนนิบัติ

จิ่นผิงอาจจะไม่ได้มีไหวพริบเท่าไฉ่อวิ๋นไฉ่สยา แต่ก็เป็นคนที่พามาเอง รู้พื้นเพเดิม ใช้งานได้อย่างวางใจ

เที่ยงวันนี้อยู่ระหว่างเดินทางจึงไม่ได้กินอาหารอย่างเต็มที่ ยามนี้เหยาซื่อกับเจียงชิงหว่านรู้สึกหิวแล้วจริงๆ

เจียงชิงหว่านกินขนมถั่วแขกม้วนไปหนึ่งชิ้นกับขนมถั่วเขียวอีกสองชิ้นถึงค่อยรู้สึกอิ่ม จากนั้นก็ดื่มชาพลางคุยกับเหยาซื่อ

เหยาซื่อพูดกับเจียงชิงหว่านว่า “พวกเราไปดูเรือนของเจ้ากันตอนนี้เลย”

คนเป็นมารดาอย่างไรก็อยากเห็นที่พักของบุตรสาวด้วยตาตนเองถึงจะสบายใจได้

เจียงชิงหว่านกลับไม่มีท่าทางรีบร้อน เพียงยิ้มพลางโบกมือ “ไม่ต้องรีบไปดูหรอกเจ้าค่ะ ไว้ค่อยว่ากันก็ได้”

เหยาซื่อมีความรู้สึกชนิดหนึ่งอยู่ตลอดว่าหลังจากบุตรสาวผู้นี้ของนางฟื้นจากล้มป่วยในครั้งนั้น นิสัยก็เปลี่ยนเป็นนิ่งเงียบขึ้น ทั้งยังมีความคิดของตนเอง ไม่ได้ซุกซนเอาแต่ใจเหมือนที่แล้วมา

แต่เหยาซื่อก็มิได้คิดมาก รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ดียิ่ง จะอย่างไรเจียงชิงหว่านในอดีตก็ไม่ชวนให้คนชื่นชอบจริงๆ ทว่าตอนนี้สามารถมองออกได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงชอบนางมาก ตลอดทางมานี้มีบางครั้งยังเป็นฝ่ายเรียกเจียงชิงหว่านไปนั่งรถม้าของนางเพื่อคุยเป็นเพื่อนแก้เบื่อ ซ้ำยังสอนหนังสือให้เจียงชิงหว่านด้วยตนเองอีกด้วย

ในเมื่อตอนนี้เจียงชิงหว่านพูดเยี่ยงนี้แล้ว เหยาซื่อก็ไม่ได้ถามอีก สองแม่ลูกคุยสัพเพเหระกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ต่างเอนตัวพักผ่อนบนเตียงเตา เนื่องด้วยเหนื่อยอย่างที่สุด ไม่นานก็หลับไป

กว่าจิ่นผิงจะมาปลุกพวกนางก็เป็นกลางยามเซินแล้ว

มองออกได้ว่าจิ่นผิงอาบน้ำแต่งตัวมาใหม่ ร่องรอยเหงื่อไคลจากการเดินทางหายไปแล้ว เปลี่ยนมาสวมเสื้อกั๊กกุ๊นขอบผ้าต่วนสีคราม หน้าตายิ้มแย้มดูกระปรี้กระเปร่ายิ่ง

“นายหญิง คุณหนู บ่าวให้คนต้มน้ำอาบและยกเข้าไปในห้องกั้นแล้ว รออาบน้ำเสร็จพวกเราก็ไปกินอาหารเย็นที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าได้แล้วเจ้าค่ะ”

เร่งเดินทางมาเดือนกว่า อย่างไรก็ต้องอาบน้ำให้เต็มที่สักรอบถึงจะรู้สึกสบายตัว มิหนำซ้ำนี่ก็เป็นการบอกลาสิ่งเก่าต้อนรับสิ่งใหม่

เหยาซื่อกับเจียงชิงหว่านจึงลุกขึ้นจากเตียงเตาแล้วเข้าไปอาบน้ำโดยที่ด้านข้างมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ เหยาซื่อดูเหมือนจะไม่คุ้นชินกับเรื่องเช่นนี้ แม้จะมีฉากบังลมกั้นอยู่ก็ยังได้ยินเสียงที่เจือแววเก้อเขินขณะนางพูดได้

ครั้นอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย จิ่นผิงก็นำเสื้อผ้ามาให้

แม้ว่าจะนำเสื้อผ้าติดตัวมาจากกานโจวด้วยจำนวนหนึ่ง แต่เนื้อผ้าล้วนธรรมดายิ่ง ถึงขนาดว่าเทียบกับเสื้อผ้าที่หัวหน้าสาวใช้ในจวนนี้สวมไม่ได้ด้วยซ้ำ ย่อมจะต้องเปลี่ยนใหม่

กว่าคนทั้งสองจะแต่งตัวประทินโฉมเสร็จก็ใกล้จะยามโหย่วแล้ว จึงพาสาวใช้เดินไปเรือนซงเฮ่อ

เจียงชิงเซวียนและซุนอี๋เหนียงมาถึงแล้ว ตอนนี้กำลังสนทนาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าเจียง

พอเหยาซื่อและเจียงชิงหว่านเข้ามา คนในห้องต่างหันหน้ามามอง แล้วก็รู้สึกว่าตรงหน้าสว่างวาบในพริบตา

คำกล่าวที่ว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งนั้นหาได้ผิดไม่ ตอนเห็นเหยาซื่อก่อนหน้านี้ มองออกได้ว่าแม้นางจะตั้งใจแต่งตัวมาอย่างดี แต่ที่สุดแล้วเสื้อผ้าบนร่างก็มีคุณภาพไม่ดี บนศีรษะก็ไม่มีเครื่องประดับล้ำค่าราคาแพงใดๆ จึงดูค่อนข้างซอมซ่อ

ทว่ายามนี้เหยาซื่อสวมเสื้อผ่าหน้าที่ทำจากผ้าไหมหางโจวสีถั่วเขียวปักลายใบไผ่และดอกกล้วยไม้ตรงคอเสื้อ คู่กับกระโปรงจีบเล็กผ้าไหมสีฟ้าอ่อน ปิ่นหงส์ห้าหางที่ปักอยู่บนมวยผมดูระยิบระยับวับวาวท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามสายัณห์ ทำให้มีลักษณะของนายหญิงผู้สูงศักดิ์ขึ้นมาในบัดดล

เจียงชิงเซวียนและซุนอี๋เหนียงตระหนกตกใจได้ครู่หนึ่ง พวกนางทั้งสองก็ลุกขึ้นยืนคารวะเหยาซื่อ เอ่ยเรียกนางว่า “นายหญิง”

ในใจเหยาซื่อยังไม่ชินกับการมีผู้อื่นคารวะตนเองเช่นนี้ ทว่าก็นึกถึงคำพูดของเจียงชิงหว่านเมื่อบ่ายขึ้นได้จึงรับการคารวะ พยักหน้าให้พวกนางสองคนด้วยความเมตตาอ่อนโยน จากนั้นก็พาเจียงชิงหว่านก้าวไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียง

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเห็นเหยาซื่อมีท่าทางเช่นนี้ก็ตกใจอยู่บ้าง คล้ายรู้สึกว่าที่ผ่านมาอีกฝ่ายเป็นเพียงลูกตาของปลาที่ตายแล้ว ยามนี้เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าหรูหรา บนหน้าผัดแป้งแต้มชาดบางๆ ก็ถึงกับกลายเป็นไข่มุกขึ้นมา ซ้ำยังเป็นไข่มุกที่มีระดับความมันวาวดียิ่งอีกด้วย

ทว่าจะอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็เห็นโลกมามาก ตกตะลึงไปพริบตาเดียวก็บอกให้เหยาซื่อกับเจียงชิงหว่านนั่งลงด้วยสีหน้าเป็นปกติทันที จากนั้นก็ถามพวกนางว่าที่พักเป็นอย่างไร คุ้นชินหรือไม่

เหยาซื่อกล่าวตอบอย่างนอบน้อมเสร็จก็ถึงคราวของเจียงชิงหว่าน นางตอบว่า “ท่านย่า ข้าไม่อยากอยู่ที่เรือนปี้อู๋เจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงถามนาง “ไฉนถึงไม่อยากอยู่ ที่นั่นไม่ดีหรือไร”

หัวคิ้วของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเริ่มขมวดอยู่บ้าง รู้สึกว่าเมิ่งอี๋เหนียงเป็นคนทำงานไม่เป็น จะต้องไม่ได้เก็บกวาดเรือนปี้อู๋ให้เรียบร้อยเป็นแน่ เจียงชิงหว่านถึงได้ไม่อยากอยู่ที่นั่น

กลับได้ยินเจียงชิงหว่านตอบว่า “ที่นั่นมิได้มีอะไรไม่ดี เพียงแต่ข้ายังอยากอยู่กับท่านย่า ท่านย่าเคยบอกว่าจะสอนหนังสือข้า จะไม่รักษาคำพูดไม่ได้นะเจ้าคะ”

ก่อนหน้านี้เจียงชิงหว่านได้ถามสาวใช้มาแล้ว รู้ว่าเรือนปี้อู๋อยู่ห่างจากเรือนซงเฮ่อไกลพอสมควร แค่คิดว่าวันหน้าต้องมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงทุกเช้าเย็น อาหารสามมื้อก็ล้วนต้องมากินที่เรือนอีกฝ่าย นางไม่อยากยุ่งยากปานนั้น มิสู้พักอยู่ที่เรือนซงเฮ่อเสียเลยจะดีกว่า

ที่สำคัญที่สุดคือเจียงชิงหว่านคิดมาอย่างละเอียดแล้วว่านางกับเหยาซื่อเพิ่งจะมาถึงจวนหย่งชางป๋อแห่งนี้ ยังยืนหยัดได้ไม่มั่นคง เจียงชิงอวี้ดูท่าทางเป็นคนหยิ่งผยองกำเริบเสิบสาน เมิ่งอี๋เหนียงก็เป็นคนน้ำนิ่งไหลลึกนัก เจียงเทียนโย่วก็ยืนอยู่ฝ่ายพวกนาง นางกับเหยาซื่อต้องหวังพึ่งพาเขาไม่ได้แน่นอน เหลือแค่เพียงหวังพึ่งต้นไม้ใหญ่อย่างฮูหยินผู้เฒ่าเจียงผู้นี้แล้ว

จะอย่างไรก็เคยใช้ชีวิตด้วยกันมาหลายปี นางตั้งใจเอาใจฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอีกสักหน่อย ไม่เชื่อหรอกว่านางกับเหยาซื่อจะมีชีวิตที่ไม่ดีในจวนหย่งชางป๋อแห่งนี้

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: