X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสามีข้ากลายเป็นท่านอาเสียแล้ว

ทดลองอ่าน สามีข้ากลายเป็นท่านอาเสียแล้ว บทที่ 7-บทที่ 9

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่ 7 พ่อลูกพบหน้า

 ในขณะที่เมิ่งอี๋เหนียงกับเจียงเทียนโย่วกำลังคุยกัน เจียงชิงอวี้กลับมองดูจานหยกประดับใบนั้นรวมถึงสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะ

กระถางหยกบรรจุดอกไห่ถัง ฐานปักดอกไม้แก้วผลึกรูปใบบัว เตากำยานลงยาสามขา ทั้งหมดล้วนบรรจุอยู่ในกล่องไม้พะยูง แต่ละอย่างล้วนเป็นของดี

เหล่านี้เป็นของที่จะวางประดับในเรือนปี้อู๋

แม้ว่าในเรือนจิ่นอวิ๋นของเจียงชิงอวี้จะมีของดีอยู่เช่นกัน ทว่ามองเห็นของเหล่านี้แล้ว นางก็ยังคงรู้สึกตาร้อน

เจียงชิงหว่านเป็นแค่เด็กจากชนบทผู้หนึ่ง ได้ยินว่าซุกซนราวเด็กชาย นางจะรู้จักชื่นชมของเหล่านี้หรือ มอบของเหล่านี้ให้นางนับเป็นการเสียของโดยแท้

เจียงชิงอวี้กลอกลูกตาเล็กน้อย แล้วนางก็วิ่งไปดึงแขนเสื้อเจียงเทียนโย่วพลางออดอ้อน “ท่านพ่อ ท่านดูสิเจ้าคะว่าอี๋เหนียงไม่รักข้าเลยสักนิด”

เจียงเทียนโย่วกำลังฟังเมิ่งอี๋เหนียงเล่าว่านางเรียกช่างตัดเสื้อมาตัดชุดใหม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียง นายหญิง และคุณหนูสามหลายชุด อีกประเดี๋ยวจะเรียกให้เขาไปดู จู่ๆ ได้ยินเสียงคับข้องใจของเจียงชิงอวี้ เขาก็ถามยิ้มๆ “อี๋เหนียงของเจ้ามิใช่รักเจ้าที่สุดหรือ ไยเจ้าจึงพูดเช่นนี้”

เจียงชิงอวี้จึงชี้ของบนโต๊ะพลางว่า “ท่านพ่อดูสิเจ้าคะ ของดีเหล่านี้อี๋เหนียงไม่เคยให้ข้ามาก่อนเลย ล้วนแต่จะให้น้องหญิงสามทั้งหมด อี๋เหนียงรักแต่นาง ไม่รักข้า”

คำพูดกระเง้ากระงอดเหมือนเด็กๆ ทำเอาเจียงเทียนโย่วได้ยินแล้วหัวเราะลั่นขึ้นมา

เมิ่งอี๋เหนียงรู้สึกว่าคราวนี้บุตรสาวของตนมีการเรียนรู้ในที่สุด ในใจนึกปลาบปลื้มแต่ภายนอกกลับดุอีกฝ่าย “เด็กคนนี้พูดเหลวไหลอะไรกัน ทำให้ท่านพ่อเจ้าเห็นเรื่องขายหน้าแล้ว น้องหญิงสามของเจ้าเพิ่งจะมาที่นี่ ข้าย่อมต้องจัดเตรียมเรื่องทุกสิ่งให้นางอย่างเรียบร้อย” ทั้งยังอบรมอีกว่า “เจ้าเป็นพี่สาวก็ควรยอมน้องหญิงสามของเจ้าสิ จะมาอิจฉานางได้อย่างไรกัน”

เจียงชิงอวี้ฟังแล้วก็เบะปากทันใด

เจียงเทียนโย่วจึงโบกมือ ก่อนกล่าวกับเมิ่งอี๋เหนียง “ข้าไม่ชอบได้ยินคำพูดเยี่ยงนี้ หากอยากได้สิ่งใดก็ควรหามาด้วยตนเอง จะรอผู้อื่นยกให้ได้อย่างไร อีกอย่างอวี้เจี่ยก็อายุมากกว่านางแค่ปีเดียว ไม่จำเป็นต้องยอมให้นางทุกเรื่อง” จากนั้นก็มองไปยังเจียงชิงอวี้ “ของพวกนี้ เจ้าชอบชิ้นใด”

“ข้าชอบทั้งหมดเลยเจ้าค่ะ” เจียงชิงอวี้ได้ยินดังนี้ก็ดีใจ “พวกของบนชั้นวางวัตถุโบราณในเรือนข้าล้วนวางมาหลายปีแล้ว เห็นทุกวันก็เบื่อแทบตาย ของเหล่านี้ไปเปลี่ยนได้พอดี”

“เหล่านี้เป็นของที่ข้าตั้งใจเลือกออกมาวางไว้ที่นี่ เจ้าเอาไปหมด ในเรือนคุณหนูสามจะวางอะไรเล่า” เมิ่งอี๋เหนียงรีบวางท่าเป็นคนดี “เลือกไปชิ้นเดียวพอ”

เจียงชิงอวี้กลับไม่ยอม ดึงแขนเสื้อเจียงเทียนโย่วพลางแกว่งไปมาไม่หยุด ร้องเรียกด้วยท่าทางกระเง้ากระงอดออดอ้อน “ท่านพ่อเจ้าคะ”

เจียงเทียนโย่วรักบุตรสาวผู้นี้ปานดวงใจ นางร้องขอเสียงอ่อยเช่นนี้ เขาก็โบกมือในทันที “ในเมื่ออวี้เจี่ยชอบก็ให้นางไปหมดนั่นเถอะ ส่วนที่นี่เลือกของในห้องเก็บของมาวางสักสองสามชิ้นก็หมดเรื่องแล้ว”

เขาพูดถึงขั้นนี้แล้ว เมิ่งอี๋เหนียงจึงตอบรับไปอย่างคล้อยตาม ทว่ายังคงกล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านไม่ควรตามใจอวี้เจี่ยเยี่ยงนี้ไปตลอดนะเจ้าคะ ถ้าปล่อยให้นางกระทำตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวกฎระเบียบ วันหน้าเจอคนที่ไม่ตามใจนางขึ้นมา นางจะทำอย่างไร เกรงว่าคงจะทนไม่ไหว”

นี่คือเท่ากับฟ้องเจียงเทียนโย่วไว้ล่วงหน้าแล้ว อย่างไรเมิ่งอี๋เหนียงก็ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะชอบเจียงชิงอวี้ที่เป็นหลานสาวหรือไม่

ทว่าเจียงเทียนโย่วไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเมิ่งอี๋เหนียงโดยสิ้นเชิง จึงพูดอย่างเปิดเผยไม่คิดมาก “บุตรสาวของข้า ข้ายินดีจะตามใจเยี่ยงนี้ไปตลอด วันหน้ายังจะหาสามีดีๆ ให้นางด้วย ใครกล้าไม่ตามใจนาง ข้าก็จะหยิบแส้ไปเยือนถึงที่”

ฟังดูเป็นบิดาที่ดีจริงๆ

เมิ่งอี๋เหนียงยิ้มน้อยๆ ก่อนเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นกับเขา

“วันนี้ผู้น้อยได้ยินคนที่หัวหน้าองครักษ์ส่งมารายงานว่าพวกฮูหยินผู้เฒ่าจะมาถึงเมืองหลวงในอีกสองวัน ผู้น้อยนับวันดูแล้ว วันนั้นตรงกับวันหยุดของนายท่านพอดี ฮูหยินผู้เฒ่ามาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ท่านเองก็ไม่ได้พบนางนานหลายปี ตามความเห็นของผู้น้อย พอถึงวันนั้นท่านออกไปต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่าที่นอกเมืองด้วยตนเองเป็นอย่างไรเจ้าคะ ส่วนผู้น้อยจะพาหญิงรับใช้ทั้งเด็กทั้งชราในจวนไปรอต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่า นายหญิง และคุณหนูสามอยู่ตรงกำแพงกั้นที่เรือนส่วนหน้า”

พูดถึงตรงนี้ นางก็พลันทำท่าทางไม่สบายใจออกมา “ผู้น้อยทราบว่าในใจฮูหยินผู้เฒ่านึกตำหนิผู้น้อยมาตลอด ไม่รู้ว่าจะยินดีเห็นผู้น้อยอีกครั้งหรือไม่ ตอนที่ผิงเกอสิ้นใจ อย่างไรผู้น้อยก็ไม่ควรตามนายท่านกลับไปด้วยเลย กลายเป็นว่าทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับนายหญิงคิดว่าผู้น้อยหมายปองฐานะภรรยาอีกคน อันที่จริงขอเพียงได้อยู่ด้วยกันกับนายท่าน ไม่ว่าในฐานะใดผู้น้อยก็ไม่ถือสา แม้เป็นเพียงสาวใช้ ผู้น้อยก็จะไม่ตัดพ้อสักครึ่งคำ”

เดิมทีเจียงเทียนโย่วก็เป็นนักรบ ในใจไม่มีความคิดลดเลี้ยวมากมายเพียงนั้น อีกทั้งเนื่องจากพี่ชายของเมิ่งอี๋เหนียงตายเพราะช่วยเขาไว้ ในใจเขาจึงรู้สึกละอายต่อนางตลอดมา รู้สึกว่าติดค้างนางมากมายนัก ตอนนี้ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เขาก็กุมมือนางไว้พลางพูดเสียงอ่อนโยน “เรื่องในตอนนั้นจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร เรื่องของผิงเกอพูดได้เพียงว่าเป็นชะตาของเขา เจ้าไม่ต้องโทษตนเองหรอก”

ในตอนนั้นเมิ่งอี๋เหนียงตั้งครรภ์ เจียงเทียนโย่วอยากมอบฐานะให้แก่นาง จึงพานางกลับไปบ้านเกิดเพื่อเรียนเรื่องนี้ต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียง เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าเจียงรับเมิ่งอี๋เหนียงเป็นบุตรสาวบุญธรรมอยู่ก่อนแล้ว เจียงเทียนโย่วจึงนับเป็นพี่ชายบุญธรรมของนาง ดังนั้นเมื่อทั้งสองคบหากันกะทันหัน ซ้ำเมิ่งอี๋เหนียงก็มีครรภ์แล้ว นี่นับว่ามีความสัมพันธ์ทางกายกันแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงโมโหมาก บริภาษเจียงเทียนโย่วที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าตนอย่างหนัก ถึงขั้นปาถ้วยชาแตกไปใบหนึ่ง ทำให้เจียงฉางผิงที่หลับอยู่ในห้องติดกันสะดุ้งตื่น

เด็กอายุไม่กี่ขวบรู้สึกกลัวจึงร้องไห้จ้าพลางวิ่งเท้าเปล่าออกมาข้างนอก กว่าจะหาตัวเจอก็พบว่าไปนอนอยู่ในน้ำเย็นเฉียบที่หลังเรือนแล้ว แม้จะช่วยกลับมาได้แต่วันถัดมาก็ไข้ขึ้นสูงอยู่ดี ถึงเชิญหมอมาตรวจก็ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยิ่งโมโหหนักกว่าเก่า

หลานชายคนโต ทั้งยังเป็นหลานที่ตนเลี้ยงมากับมือ จู่ๆ ก็ตายไปเช่นนี้จะไม่โมโหได้อย่างไร นางจึงไล่เจียงเทียนโย่วกับเมิ่งอี๋เหนียงไปทันทีและไม่ให้กลับมาอีก

ทว่าที่สุดแล้วก็เป็นบุตรชายในอุทรของตนเอง ภายหลังเจียงเทียนโย่วกลับไปขอขมาหลายหนเข้า ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็หายโมโหแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงไม่อยากพบหน้าเมิ่งอี๋เหนียงอีก

เมิ่งอี๋เหนียงเองก็รู้ว่าในใจฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะต้องไม่ชอบนางอย่างแน่นอน ที่แล้วมาต่างฝ่ายต่างอยู่ห่างกันไกลจึงไม่มีเรื่องอะไร แต่ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะมาเยือน นางเองก็ห้ามปรามไม่ได้ ทำได้เพียงแสดงความอ่อนแอและโทษตนเองให้เจียงเทียนโย่วดูเท่านั้น

อย่างน้อยก็ต้องทำให้เจียงเทียนโย่วคิดว่านางละอายใจต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมากมาตลอด วันหน้าเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าเขา เขาจะได้ปกป้องนาง

 

คณะของเจียงชิงหว่านเดินทางมาได้เดือนกว่า ในที่สุดพรุ่งนี้ก็จะได้เข้าเมืองหลวงแล้ว

เหยาซื่อปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกินอาหารเย็นเสร็จ และสนทนาสัพเพเหระกับนางอีกครู่หนึ่งถึงได้กลับห้องของตนเอง เจียงชิงหว่านเองก็ตามกลับห้องด้วย

เนื่องจากวันนี้ในโรงเตี๊ยมนี้เหลือห้องเพียงสองห้อง ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงพักในห้องหนึ่ง ส่วนเหยาซื่อกับเจียงชิงหว่านก็พักด้วยกันอีกห้อง

ในห้องจุดเทียนไว้เล่มหนึ่ง เหยาซื่อเห็นว่าสว่างไม่พอจึงใช้จิ่นผิงไปขอเทียนจากผู้ดูแลโรงเตี๊ยมมาเพิ่มอีกหลายเล่ม แล้วจุดให้สว่างทั้งหมด

แม้จะเพิ่งยามหนึ่งแต่ตอนกลางวันเร่งเดินทางมาทั้งวัน ใครจะไม่เหนื่อยบ้าง ล้วนแต่อยากขึ้นเตียงพักผ่อนกันเร็วๆ ทั้งนั้น แต่เห็นเหยาซื่อไม่มีท่าทีจะพัก กลับใช้ให้จิ่นผิงเปิดหีบเสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าแต่ละตัวออกมาทาบบนร่างพลางถามจิ่นผิงว่านางสวมตัวใดแล้วดูดี

เจียงชิงหว่านมองดูเหยาซื่อ

คนอายุสามสิบหกสามสิบเจ็ดปีเช่นนี้ ในใจย่อมมีเรื่องมากมาย หน้าตาก็ดูค่อยๆ อมทุกข์มากขึ้น สองคิ้วตกลง หางตาและมุมปากก็มีรอยตีนกา

เจียงชิงหว่านรู้สึกทรมานใจอยู่บ้าง

ตลอดทางมานี้เหยาซื่อพูดเรื่องที่ว่าเจียงเทียนโย่วทรยศนางอย่างไรให้ตนฟังไม่น้อยครั้ง ในใจจึงพลอยมีความแค้นใจต่อเขาไปด้วย ทว่าวันพรุ่งนี้ต้องพบกับบุรุษผู้นั้นแล้ว เหยาซื่อกลับยังมัวเลือกเสื้อผ้าด้วยความตื่นเต้นเป็นกังวลอยู่ตรงนี้เสียได้

“เจ้าดูซิ ตัวนี้เป็นอย่างไร”

มือเหยาซื่อถือเสื้อผ่าหน้าสีชมพูปักลายดอกเหมยและดอกไห่ถัง มองออกได้ว่าเสื้อผ่าหน้าตัวนี้ใช้มาพอสมควรแล้ว ซ้ำยังมิใช่ผ้าไหมที่ดีมากนัก

พอถามดูก็ได้คำตอบว่ามันถูกตัดมาตั้งแต่สมัยที่เหยาซื่อกับเจียงเทียนโย่วแต่งงานกันใหม่ๆ อย่างที่คิดไว้ นับดูก็เกือบจะยี่สิบปีแล้ว แต่ยังเก็บรักษาไว้ได้ดีเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าในใจเหยาซื่อเห็นคุณค่าของเสื้อผ่าหน้าตัวนี้มากเพียงใด

จิ่นผิงรู้ความเป็นมาของเสื้อผ่าหน้าตัวนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงชมว่าดีไม่หยุดปาก ซ้ำยังบอกอีกว่า “รอวันพรุ่งนี้นายท่านได้เห็นนายหญิงสวมมัน จะต้องนึกถึงภาพเหตุการณ์ความรักใคร่ตอนที่แต่งงานกับนายหญิงได้ในทันทีเจ้าค่ะ”

เหยาซื่อได้ยินก็ยินดียิ่ง แม้จะดุจิ่นผิงว่าพูดเหลวไหล แต่บนใบหน้านางก็เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม ซ้ำยังสวมเสื้อผ่าหน้าตัวนั้นลงบนร่างทันที

ทว่าจะอย่างไรก็เป็นคนอายุสามสิบห้าสามสิบหกปีแล้ว อีกทั้งดูแลตนเองได้ไม่ดีนัก การสวมชุดสีชมพูที่ดูอ่อนเยาว์บอบบางเช่นนี้อย่างไรก็ไม่ค่อยเหมาะ

หากปัจจุบันเจียงเทียนโย่วกับเหยาซื่อมีความสัมพันธ์สนิทแนบแน่นอยู่ คงไม่เป็นไรหากเหยาซื่อจะสวมเสื้อผ่าหน้าตัวนี้ เพราะถึงอย่างไรในใจเจียงเทียนโย่วก็จะเห็นว่าไม่ว่านางสวมใส่ชุดใดก็ล้วนเป็นคนที่น่ามองที่สุดในโลก แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าปัจจุบันในใจเจียงเทียนโย่วหาได้มีเหยาซื่ออยู่

สามีภรรยาแยกจากกันหลายปี ยามปกติในจดหมายก็ไม่เคยเอ่ยถึงนาง จะไปมีความรักความผูกพันต่อนางได้สักกี่ส่วน ถึงเวลานั้นต่อให้เหยาซื่อสวมเสื้อผ่าหน้าตัวนี้ด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม กลับเป็นไปได้มากว่าจะต้องพบกับความเสียใจ

สำหรับเรื่องที่จดจำไว้ในใจมิลืมเลือนโดยคิดว่าอีกฝ่ายก็จะเป็นเช่นเดียวกัน แต่ในความจริงอีกฝ่ายได้หลงลืมไปนานแล้ว นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าโดยแท้

เจียงชิงหว่านคิดแล้วก็ยกนิ้วชี้อกเสื้อพลางกล่าว “ท่านแม่ ตรงนี้มีคราบน้ำมันเจ้าค่ะ”

มีคราบน้ำมันอยู่จุดหนึ่งจริงๆ อันที่จริงหากไม่ดูดีๆ ก็มองเห็นไม่ชัดนัก แต่ตอนนี้เจียงชิงหว่านไม่อยากให้เหยาซื่อสวมเสื้อตัวนี้จึงจงใจชี้ออกมา

เหยาซื่อได้ยินก็ก้มหน้าลงมอง จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าทำท่าจะเช็ด คิดไม่ถึงว่าตรงอกเสื้อจะเกิดรอยยับขึ้นมา

เหยาซื่อขมวดคิ้ว พึมพำอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง “ทำอย่างไรดี ถ้าไม่สวมเสื้อตัวนี้ พรุ่งนี้แม่จะสวมอะไร”

เจียงชิงหว่านไปดูเสื้อผ้าในหีบ จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบเสื้อผ่าหน้าสีน้ำเงินแกมม่วงปักลายดอกอิ๋งชุนและกระโปรงจีบเล็กสีฟ้าจางออกมา ก่อนกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าเสื้อผ้าชุดนี้ดียิ่ง”

เหยาซื่อมีรูปโฉมงามหมดจด ผิวก็ขาวสะอาด เหมาะกับสีเรียบๆ ที่ดูนุ่มนวลเช่นนี้

ยามนี้เหยาซื่อกำลังไม่แน่ใจ ครั้นได้ยินที่เจียงชิงหว่านพูดก็ลองสวมดูตามคำแนะนำ

ก่อนพบว่าชุดนี้เหมาะกับนางมากจริงๆ

เหยาซื่อส่องคันฉ่องดูตนเองแล้วรู้สึกพอใจมาก หลังจากลองชุดอื่นอีกสองสามครั้งก็ยังคงรู้สึกว่าชุดนี้ดีที่สุด

 

เช้าวันรุ่งขึ้นเหยาซื่อก็ตื่นมาสวมเสื้อผ่าหน้าสีน้ำเงินแกมม่วงปักลายดอกอิ๋งชุนและกระโปรงจีบเล็กสีฟ้าจาง เสร็จแล้วก็ใช้ให้จิ่นผิงเกล้าผมทรงดอกท้อตูม ก่อนปักปิ่นเงินประดับโมราแดงที่เจียงชิงหว่านเป็นคนเลือกให้ ผัดแป้งแต้มชาดบางๆ แล้วถึงออกไปที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพร้อมกับเจียงชิงหว่าน

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเพิ่งจะล้างหน้าหวีผมเสร็จ พอเห็นเหยาซื่อ บนใบหน้าก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

เมื่อก่อนเหยาซื่อใช้เครื่องประทินโฉมน้อยครั้งนัก เสื้อผ้าก็เพียงสวมตามสะดวก พอวันนี้ตั้งใจแต่งตัวประทินโฉมขึ้นมากลับดูอ่อนหวานเรียบร้อยมากจริงๆ

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่เคยเอ่ยชมเหยาซื่อมาแต่ไหนแต่ไร จึงมิได้พูดอันใด เพียงพยักหน้าแล้วบอกให้เถาเยี่ยกับจิ่นผิงไปยกอาหารเช้ามาจากข้างล่าง

กินอาหารเช้าและดื่มชากันเสร็จแล้ว ทุกคนก็ลงไปขึ้นรถม้า

ครั้นสายมากแล้ว ยังอยู่ห่างจากเมืองหลวงอีกราวสิบหลี่ หัวหน้าองครักษ์ก็บอกให้หยุดรถ แล้วมาเรียนฮูหยินผู้เฒ่าเจียงด้วยความเคารพนบนอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านออกจากเมืองมาต้อนรับท่านด้วยตนเองแล้วขอรับ”

บทที่ 8 มาถึงจวนป๋อ

ครั้งล่าสุดที่เจียงเทียนโย่วกลับไปกานโจวคือเมื่อสามปีก่อน ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงไม่ได้พบเขามาสามปีแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีบุตรชายและบุตรสาวอย่างละคน ในใจจึงห่วงหาบุตรชายเพียงคนเดียวผู้นี้ เมื่อได้ยินหัวหน้าองครักษ์บอกว่าเจียงเทียนโย่วอยู่ข้างนอก จึงรีบบอกให้เถาเยี่ยประคองนางลงรถม้า

ชั่วขณะนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็เห็นเจียงเทียนโย่วเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากศาลาที่คนสัญจรใช้พักเหนื่อยทางด้านข้าง ก่อนจะคุกสองเข่าลงตรงเบื้องหน้านาง

“ท่านแม่!” เจียงเทียนโย่วร้องเรียก จากนั้นก็หมอบลงโขกศีรษะอย่างแรง “ลูกอกตัญญู หลายปีมานี้ไม่สามารถอยู่ปรนนิบัติท่านได้!”

เจียงเทียนโย่วแม้จะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่ยังคงกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นอย่างมาก

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเริ่มแสบจมูก นางก้มตัวลงก่อนยื่นมือไปประคองให้เจียงเทียนโย่วลุกขึ้น กล่าวทั้งน้ำตาคลอว่า “ไม่ได้พบเจ้าหลายปีแล้ว รีบมาให้แม่ดูเจ้าที” นางมองดูเขาอย่างละเอียด ซ้ำยังยกมือลูบหน้าอีกฝ่าย จากนั้นก็เอ่ยว่า “ดูเหมือนจะผอมลงกว่าครั้งก่อนที่แม่พบเจ้า”

ขณะที่เจียงชิงหว่านกำลังถูกจิ่นผิงประคองลงรถม้า นางกวาดสายตามองไปก็เห็นเจียงเทียนโย่วที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ล่ำสันราวกับโคถึก…ถึงเพียงนี้แล้วฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยังบอกว่าเขาผอมอีกหรือ

นางหันกลับไปประคองเหยาซื่ออย่างหมดคำจะพูด

เมื่อครู่ขณะรู้ว่าเจียงเทียนโย่วอยู่ข้างนอก เหยาซื่อก็นั่งตัวตรงขึ้นมาทันที ถามเจียงชิงหว่านกับจิ่นผิงไม่หยุดว่าผมนางยุ่งหรือไม่ เครื่องประทินโฉมบนหน้าหลุดหรือไม่ ซ้ำยังก้มหน้าลงดึงสาบเสื้อหลายหนด้วยกลัวจะมีรอยยับ มองออกได้ว่านางประหม่ายิ่ง

เจียงชิงหว่านและจิ่นผิงปลอบเหยาซื่อไปหลายรอบ นางถึงได้ค่อยๆ คลายความประหม่าลง ทว่าที่สุดแล้วก็ยังคงบอกให้จิ่นผิงประคองเจียงชิงหว่านลงรถม้าไปก่อน

ยามนี้เจียงชิงหว่านกำลังกุมมือของเหยาซื่อ รู้สึกได้ว่าร่างนางกำลังสั่นเทา

เจียงชิงหว่านถอนหายใจในใจ

ไม่รู้เหมือนกันว่าเมิ่งอี๋เหนียงผู้นั้นเป็นคนเช่นไร ทว่าในเมื่อสามารถทำให้เจียงเทียนโย่วโปรดปรานนางเพียงผู้เดียวมาได้นานหลายปี เป็นเพียงอนุภรรยาผู้หนึ่งยังสามารถกุมอำนาจดูแลงานในจวนได้ เกรงว่าฝีมือคงไม่ธรรมดา คนอย่างเหยาซื่อจะต้องมิใช่คู่ต่อสู้ของนางแน่นอน

เกรงว่าชีวิตที่จวนหย่งชางป๋อในภายหน้าของพวกข้าสองแม่ลูกคงไม่ดีนัก

ในใจคิดเช่นนี้ แต่เจียงชิงหว่านยังคงกุมมือของเหยาซื่อไว้พลางเดินหน้าไปด้วยกัน

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเจียงเทียนโย่วสองแม่ลูกยังจับมือคุยกันอยู่ ในดวงตาของแต่ละฝ่ายต่างดูเหมือนจะมีน้ำตา

เหยาซื่อมองสามีที่ไม่ได้พบกันหลายปี อยากจะเข้าไปคุยเสียเดี๋ยวนี้ แต่กลับถูกเจียงชิงหว่านดึงตัวไว้

ดูจากท่าทางพวกเขาสองแม่ลูกแล้ว เกรงว่าผู้อื่นยากจะเข้าไปแทรกได้ อีกทั้งฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็เป็นคนแข็งกร้าว ย่อมไม่ชอบให้มีใครไปขัดจังหวะการพบกันของแม่ลูกที่ต่างฝ่ายต่างกำลังตื่นเต้นพลุ่งพล่านเช่นยามนี้อย่างแน่นอน

รอจนฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเจียงเทียนโย่วบอกเล่าเรื่องราวระหว่างที่จากกันได้พอสมควรแล้ว เจียงชิงหว่านถึงได้เดินไปคารวะพร้อมกับเหยาซื่อ

ฟังอยู่ด้านข้างได้ครู่หนึ่ง เจียงชิงหว่านก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าเจียงเทียนโย่วเป็นคนเช่นไร

จิ่นผิงอุ้มเบาะกกยืนอยู่ข้างๆ โดยตลอด บัดนี้เห็นเจียงชิงหว่านหันหน้ามามอง นางก็รีบก้าวไปวางเบาะกกลงบนพื้น

เจียงชิงหว่านก็คุกเข่าลงบนเบาะ โขกศีรษะให้เจียงเทียนโย่วสามครั้ง จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาว่า “ชิงหว่านคารวะท่านพ่อ ขอให้ท่านพ่อมีสวัสดิมงคลเจ้าค่ะ”

เด็กสาวฟุบหมอบอยู่ จึงมองไม่เห็นหน้าตาท่าทาง เห็นเพียงเรือนผมสีดำสนิทและแผ่นหลังอันบอบบาง

เจียงเทียนโย่วตระหนกตกใจยิ่ง

เขาจำได้ว่าตอนไปกานโจวเพื่อเชิญมารดามาเมืองหลวงเมื่อสามปีก่อน เขากำลังนั่งคุยกับมารดาอยู่ที่เรือนหลัก เจียงชิงหว่านก็หิ้วปลาสองตัวที่ใช้กิ่งหลิวเสียบร้อยไว้ในมือ ขากางเกงถกขึ้นถึงน่อง ที่เท้าไม่สวมรองเท้า ล้วนมีแต่โคลน

เวลานั้นมารดาบอกให้นางเรียกเขาว่า ‘ท่านพ่อ’ เด็กหญิงกลับมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็เบือนหน้าหนีไปอีกด้าน ปากเชิดขึ้น พูดอย่างดื้อดึงว่า ‘คนผู้นี้มิใช่พ่อของข้า ข้าไม่มีพ่อ!’

พูดจบก็หันหลังวิ่งปรู๊ดออกไป ช่วงระหว่างที่เขาอยู่ที่นั่นนางก็ไม่เคยเอ่ยปากเรียกเขาว่า ‘ท่านพ่อ’ สักครั้ง

ในความทรงจำเขา เจียงชิงหว่านยังคงเป็นแม่นางน้อยที่ดื้อรั้นไม่รู้จักมารยาทผู้นั้น แต่ตอนนี้นางถึงกับดูอ่อนหวานรู้มารยาทเพียงนี้

บุคลิกท่าทางถึงขั้นธิดาตระกูลใหญ่เลยทีเดียว

เจียงเทียนโย่วจึงหันหน้าไปถามฮูหยินผู้เฒ่าเจียง “ท่านแม่ นี่…นี่คือหว่านเจี่ย?”

สีหน้าเขาตกตะลึงยิ่ง ด้วยไม่อยากเชื่อว่าเด็กสาวผู้นี้จะเป็นเจียงชิงหว่าน

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเจียงชิงหว่านปราดหนึ่งด้วยแววตายิ้มๆ จากนั้นก็ตอบเจียงเทียนโย่ว “เป็นหว่านเจี่ยมิผิดหรอก” ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางให้เขาฟังว่า “ระหว่างทางที่มาหว่านเจี่ยเกิดตกน้ำ หลังฟื้นแล้วนางก็บอกแม่ว่าได้เดินผ่านประตูยมโลกมา คิดตกได้หลายเรื่อง วันหน้าจะไม่ซนไม่เอาแต่ใจอีกแล้ว ตอนแรกแม่ยังไม่เชื่อ นึกว่านางกำลังหลอกแม่ แม่จึงเฝ้ามองนางตลอดทาง เห็นนางมีนิสัยนิ่งเงียบขรึมแล้วจริงๆ ซ้ำยังขอให้แม่สอนหนังสือให้ ตอนนี้เจ้าดูสิ กิริยาวาจาของนางเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่หรือไม่”

เจียงชิงหว่านมองออกว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพอใจในตัวนางยิ่ง แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับการที่เจียงชิงหว่านจงใจทำตัวใกล้ชิดอีกฝ่ายมาตลอดทาง มิเช่นนั้นคงไม่ถึงกับขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงสอนหนังสือนางทั้งๆ ที่นางก็รู้หนังสืออยู่แล้ว นี่ก็เพราะอยากจะให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงรู้ว่านางต้องการปรับปรุงตัวใหม่ ทำตัวเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายจริงๆ

ดูจากยามนี้แล้ว บรรดาเรื่องที่นางทำลงไปล้วนไม่เสียเปล่า ระยะนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองนางเปลี่ยนไป เห็นชัดว่ามีท่าทางสนิทชิดเชื้อกว่าตอนที่นางฟื้นขึ้นมามาก

ครานี้เจียงเทียนโย่วถึงค่อยเชื่อว่าคนตรงหน้านี้คือบุตรสาวของเขาจริงๆ จึงบอกให้เจียงชิงหว่านลุกขึ้นแล้วมองดูใบหน้านางอย่างละเอียด เครื่องหน้าล้วนวิจิตรบรรจง ผิวพรรณก็ขาวสะอาด คางเรียวงาม เห็นแล้วชวนให้คนนึกเอ็นดู

เจียงชิงหว่านคนเก่าวิ่งเล่นอยู่ข้างนอกทุกวัน ผิวจึงตากแดดจนคล้ำ แต่ช่วงก่อนหน้านี้เร่งเดินทางมาตลอดทาง ล้วนอยู่แต่ภายในรถม้า ไม่ได้ตากแดด ผิวจึงค่อยๆ ขาวผ่องขึ้น

ก่อนหน้านี้ก็แยกกันอยู่ตลอดทั้งปี และเจียงเทียนโย่วก็เคยพบบุตรสาวคนนี้เพียงไม่กี่ครั้ง ทว่าไม่กี่ครั้งนั้นเขาก็มีภาพจำต่อนางไม่ดีทั้งสิ้น ยามนี้เจียงชิงหว่านยืนอยู่เบื้องหน้าเขา เจียงเทียนโย่วที่เป็นคนแข็งกระด้างถึงกับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับนางดี จึงทำเพียงพยักหน้า เอ่ยเรียกแล้วถือเป็นอันจบ “หว่านเจี่ย”

จากนั้นสายตาเขาก็มองเห็นเหยาซื่อที่ยืนอยู่ข้างเจียงชิงหว่าน พลันเกิดอาการชะงักอึ้งไปชั่วขณะ

ครั้งล่าสุดที่เขาได้พบเหยาซื่อคือเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นนางร่ำไห้ตัดพ้อต่อว่าเขาถึงเรื่องการตายของผิงเกอเหมือนเช่นทุกครั้ง ซ้ำยังมีเรื่องของเมิ่งอี๋เหนียงอีก เขารำคาญยิ่ง ไม่กี่ปีมานี้นึกถึงนางขึ้นมาทีไรก็รู้สึกว่านางเป็นหญิงร้างสามี หน้าตามีแต่แววโศกเศร้าเจ็บแค้นใจ

แต่ครั้นได้เห็นในยามนี้ เสื้อผ่าหน้าสีน้ำเงินแกมม่วง บนหน้าผัดแป้งแต้มชาดบางๆ ดูอ่อนหวานยิ่งนัก

เดิมทีนางก็เป็นคนที่อ่อนหวานงดงามผู้หนึ่งอยู่แล้ว มิเช่นนั้นเขาคงไม่ถูกตาต้องใจนางตั้งแต่แรกเห็นจนทำหน้าหนาไปหานางอยู่ตลอดหรอก…

ช่างชวนให้นึกถึงช่วงเวลางดงามยามสมัครสมานรักใคร่ของคนทั้งสองขึ้นมา อีกทั้งคิดว่าหลายปีที่ผ่านมาเป็นเหยาซื่อคอยดูแลแสดงความกตัญญูต่อมารดาแทนเขาจริงๆ ด้วยเหตุนี้ความรำคาญใจที่เคยมีต่อเหยาซื่อจึงคลายลงบ้าง สีหน้าของเจียงเทียนโย่วดูอ่อนโยนขึ้น เขาพยักหน้าก่อนว่า “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว” เขาชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยเรียกว่า “อาเหลียน”

เหยาซื่อมีนามตัวเดียวว่า ‘เหลียน’ เมื่อก่อนตอนที่เพิ่งแต่งงาน เจียงเทียนโย่วก็จะเรียกนางว่า ‘อาเหลียน’ มาตลอด ต่อมาคนทั้งสองทะเลาะเบาะแว้งกันหลายหนด้วยเรื่องของเมิ่งอี๋เหนียง เจียงเทียนโย่วก็ค่อยๆ รำคาญนางขึ้นมา และไม่เคยเรียกนางว่าอาเหลียนอีก

เหยาซื่อพลันแสบจมูก รู้สึกว่าแค่เขาพูดเพียงเท่านี้ ความลำบากมากมายเหล่านั้นก็ไม่นับเป็นกระไรแล้ว

ด้วยเกรงว่าผู้อื่นจะเห็นตนขอบตาแดง เหยาซื่อจึงรีบก้มหน้า ซ้ำยังทำท่าทางเหมือนหัวเราะก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่ลำบากเลย เดิมทีการปรนนิบัติท่านแม่ก็ถือเป็นหน้าที่ของข้า เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

ต่างฝ่ายต่างคุยกันได้ไม่กี่ประโยค เจียงเทียนโย่วก็ประคองฮูหยินผู้เฒ่าเจียงขึ้นรถม้า แล้วสั่งให้สารถีบังคับรถม้าเข้าเมืองหลวง

เหยาซื่อไม่เคยมาเมืองหลวง ในใจนึกอยากรู้อยากเห็นอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงแง้มม่านหน้าต่างออกเล็กน้อย มองดูผู้คนที่สัญจรไปมาและทิวทัศน์ถนนหนทางด้านนอก

เมื่อก่อนนางอาศัยอยู่ชนบท จะเข้าเขตเมืองของกานโจวครั้งหนึ่งก็นานทีปีหน ยามนี้ได้เห็นเมืองหลวงก็รู้สึกว่าข้างทางมีแต่ร้านรวงเรียงรายแน่นขนัด ผู้คนบนถนนก็เดินอกผายไหล่ผึ่งกว่าคนในชนบท

เหยาซื่อเห็นว่าน่าอัศจรรย์ดียิ่ง จึงเรียกเจียงชิงหว่านมาดูด้วย แต่ฝ่ายหลังก็ไม่ได้มาดู

ชาติก่อนเจียงชิงหว่านก็เดินทางมาเมืองหลวงโดยนั่งรถม้าเยี่ยงนี้ ทว่ามาด้วยฐานะของสตรีบรรณาการ ด้านนอกมีคนขี่ม้าตามประกบอยู่หลายคนเพราะกลัวว่านางจะหนี

ยามนั้นนางถูกพวกเขาบังคับให้ดื่มยาขับเลือด ร่างกายนางยังไม่หายดี ในใจก็เสียใจอย่างมาก จึงอ่อนเปลี้ยเพลียแรงทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่มีกำลังจะสนใจต่อสิ่งใดทั้งสิ้น สตรีบรรณาการอีกคนที่ร่วมทางมาแง้มม่านหน้าต่างมองออกไปข้างนอก รู้สึกว่าคึกคักยิ่งจึงเรียกให้นางดู แต่นางก็มิได้ดูแม้แต่แวบเดียวเช่นกัน

คิดไม่ถึงว่าตอนนี้นางจะได้มาเมืองหลวงอีกครั้ง ยังดีที่เรื่องในชาติก่อนได้ผ่านไปแล้ว นางตายไปแล้วได้กลับมาเกิดใหม่ บัดนี้นางคือบุตรสาวสายตรงของจวนหย่งชางป๋อ เรื่องและคนในอดีตเหล่านั้นก็ถือเสียว่าเป็นความฝัน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับนางอีกต่อไป

เจียงเทียนโย่วนำทางอยู่ข้างหน้า ผ่านถนนใหญ่ปูพื้นด้วยศิลาเขียว เมื่อเลี้ยวเข้าในตรอกหนึ่งก็มองเห็นประตูบานใหญ่สีแดงชาดประดับห่วงประตูหัวสัตว์ หน้าประตูมีสิงโตหินตัวใหญ่อยู่สองตัว ด้านบนมีแผ่นป้ายขนาดใหญ่พื้นน้ำเงินขอบทองอยู่แผ่นหนึ่ง บนนั้นเขียนอักษรสีทองตัวใหญ่ไว้ว่า ‘จวนหย่งชางป๋อ’

ดูโอ่อ่าภูมิฐานยิ่งนัก

เจียงเทียนโย่วบอกให้สารถีหยุดรถ เขาพลิกตัวลงจากม้าก่อนมาประคองฮูหยินผู้เฒ่าเจียงลงรถม้าด้วยตนเอง พวกเจียงชิงหว่านกับเหยาซื่อเองก็ลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าประตูใหญ่เช่นกัน

มีคนเข้าไปรายงานก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้พอก้าวพ้นประตูรองไปก็มองเห็นสตรีกลุ่มหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้ากำแพงกั้นเรือนส่วนหน้าและเรือนส่วนใน

เมิ่งอี๋เหนียงพาบรรดาอี๋เหนียงและบุตรสาวสายรองรวมถึงหญิงรับใช้มาต้อนรับพวกนาง

บทที่ 9 เชือดไก่ให้ลิงดู

เจียงชิงหว่านเพิ่งได้พบเมิ่งอี๋เหนียงเป็นครั้งแรก อีกทั้งระหว่างทางก็เคยได้ยินเหยาซื่อพูดถึงหลายครั้ง ในใจจึงมิแคล้วมีความสงสัยใคร่รู้ ดังนั้นยามนี้สายตาจึงพินิจมองอีกฝ่ายอย่างละเอียด

ใบหน้ารูปไข่ รูปโฉมงามยิ่ง โดยเฉพาะดวงตารูปเมล็ดซิ่งทั้งสองข้างที่ดูราวกับมีละอองน้ำหลบซ่อนอยู่ เห็นแล้วก็ชวนให้คนนึกสงสารเห็นใจ

ทว่าจะอย่างไรก็เป็นคนอายุสามสิบกว่าแล้ว คิดว่าคงจะมีเรื่องกลัดกลุ้มใจเช่นกัน ตรงหางตาจึงมีริ้วรอยอยู่สองสามเส้น

เมื่อเมิ่งอี๋เหนียงมองเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเหยาซื่อ นางก็รีบก้าวมายอบตัวคารวะ ก่อนกล่าวเสียงอ่อน “ผู้น้อยคารวะฮูหยินผู้เฒ่าและนายหญิงเจ้าค่ะ”

เหยาซื่อมองเมิ่งอี๋เหนียงปราดหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกลับยังคำนึงว่าอย่างไรก็อยู่ต่อหน้าผู้อื่น จึงบอกให้นางลุกขึ้น

เมิ่งอี๋เหนียงกล่าวขอบคุณ ก่อนสายตาจะมองเจียงชิงหว่านพลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ท่านนี้คือคุณหนูสามกระมัง ได้ยินนายท่านเอ่ยถึงท่านมาตลอด วันนี้เพิ่งได้พบท่านครั้งแรก รูปโฉมราวกับรูปหยกสลักจริงๆ” จากนั้นก็หยิบกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าจากมือรุ่ยเซียงมายื่นให้ ยิ้มพลางกล่าวว่า “นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ จากอี๋เหนียง”

เป็นกล่องที่ประณีตงดงามยิ่ง บนผิวไม้มีภาพฝังมุกลายผีเสื้อและดอกกล้วยไม้ ของในกล่องก็จะต้องล้ำค่ามากแน่นอน

เจียงชิงหว่านไม่คิดว่าเมิ่งอี๋เหนียงจะชอบนางจริงๆ ถึงได้มอบของขวัญนี้ให้นาง บางทีอาจจะต้องการทำให้เจียงเทียนโย่วเห็น และหยั่งเชิงท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและเหยาซื่อ พร้อมกันนั้นก็ต้องการบอกคนอื่นๆ ในจวนว่า ‘ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับนายหญิงมาแล้ว ข้าก็ยังเป็นเจ้านายของจวนนี้เช่นเดิม’

ไม่ว่าในใจเมิ่งอี๋เหนียงมีจุดประสงค์ใด แต่นางก็สำคัญตัวมากเกินไปจริงๆ

แค่อนุภรรยาผู้หนึ่งเท่านั้น แม้จะเป็นอนุภรรยาศักดิ์สูงก็ตามที ต้องมีความมั่นใจในตนเองมากเพียงไรกันแน่ถึงได้กล้ามอบของขวัญพบหน้าให้กับบุตรสาวสายตรง

หากนี่เป็นเจียงชิงหว่านในอดีต เกรงว่าคงปัดกล่องในมืออีกฝ่ายคว่ำทันที ถึงเวลานั้นเจียงเทียนโย่วต้องเป็นคนแรกที่ไม่ยอมและกระโดดออกมาบริภาษนางแน่นอน ทว่าบัดนี้เจียงชิงหว่านเพียงแต่ยิ้มไม่พูดอะไร ทั้งไม่ยื่นมือไปรับมาเช่นกัน

หากเหยาซื่อเป็นคนแข็งกร้าว ยามนี้ย่อมเป็นเวลาที่จะสร้างบารมีให้ตนเองต่อหน้าหญิงรับใช้ทั้งหมดในจวน แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าเหยาซื่อมิใช่คนเช่นนั้น

เจียงชิงหว่านมองออกว่าเหยาซื่อเองก็เพิ่งเคยเผชิญหน้ากับคนมากถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก สีหน้าจึงซีดอยู่บ้าง ฉะนั้นจึงทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงแล้ว

ดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนั้นยอดเยี่ยมยิ่ง แค่นหัวเราะถากถางเสียงหนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างหนักแน่นมั่นคงว่า “ท่านยายของหว่านเจี่ยมีแม่ของนางเป็นบุตรสาวคนเดียว นางจะไปเอาน้าสาวมาจากที่ใด หนำซ้ำตอนนี้หว่านเจี่ยก็กลับมาบ้านตนเอง นางเป็นเจ้านายที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มีเพียงนางตกรางวัลแก่บ่าวไพร่ บ่าวไพร่มาตกรางวัลแก่นางได้เสียที่ใด”

วาจานี้ทำเอาเมิ่งอี๋เหนียงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

เป็นอย่างที่เจียงชิงหว่านเดาไว้ สาเหตุที่เมิ่งอี๋เหนียงมอบของขวัญให้เป็นเพราะมีเจตนาแอบแฝงจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะไม่ไว้หน้านางเพียงนี้ ตบหน้านางดังฉาดต่อหน้าหญิงรับใช้ทั้งหลาย บอกว่านางเป็นเพียง ‘บ่าว’ ผู้หนึ่ง

แม้ว่าอนุภรรยาจะไม่นับเป็นเจ้านายก็จริง แต่บอกว่าเป็นบ่าวก็ออกจะเกินไปสักหน่อย ยิ่งกว่านั้นหลายปีมานี้นางก็กุมอำนาจดูแลงานในจวน คนในจวนล้วนปฏิบัติต่อนางราวกับนางเป็นนายหญิง

นางจึงรีบทำท่าทางยำเกรงออกมา กล่าวอย่างขอลุแก่โทษว่า “ผู้น้อยมิได้มีเจตนาเช่นนั้น ผู้น้อยเพียงแค่ยินดีที่ได้เห็นคุณหนูสาม จึงได้…เป็นผู้น้อยคิดไม่รอบคอบเอง ขอฮูหยินผู้เฒ่าโปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”

พูดพลางยอบตัวคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและเจียงชิงหว่านประหนึ่งได้รับความตื่นตกใจและความไม่เป็นธรรม ทว่าในใจกำลังคิดอย่างเย็นเยียบว่า…ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงไม่ชอบข้าเหมือนเมื่อก่อนอย่างที่คิดจริงๆ

แต่ไม่เป็นไร นางมีเจียงเทียนโย่วเป็นที่พึ่งได้ อีกทั้งบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของจวนหย่งชางป๋อในตอนนี้ก็เป็นนางให้กำเนิด จะอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็อายุหกสิบกว่าปีแล้ว ยังจะมีชีวิตได้อีกกี่ปี ไม่ช้าก็เร็วจวนป๋อแห่งนี้ก็จะอยู่ในมือของนาง

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงแค่นเสียงเย็นออกจมูก

เมื่อก่อนนางเป็นบุตรสาวสายรองของตระกูล เบื้องบนมีท่านแม่ใหญ่ที่ร้ายกาจอยู่ผู้หนึ่ง ดังนั้นไม่ว่าอะไรก็ต้องไปแย่งชิงด้วยตนเอง การแสดงปาหี่ของเมิ่งอี๋เหนียง พูดได้เพียงว่านางเล่นมาจนเบื่อแล้ว

ทว่าบุตรชายของตนชอบอีกฝ่าย หนำซ้ำตอนนั้นพี่ชายของเมิ่งอี๋เหนียงก็ตายเพราะช่วยเจียงเทียนโย่วจริงๆ บุญคุณนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยังจดจำอยู่ในใจ ดังนั้นขอเพียงเมิ่งอี๋เหนียงไม่ทำเกินไป นางย่อมจะไม่สนใจ

ทว่าหากจำเป็นต้องสะกิดเตือนก็ยังต้องทำ มิเช่นนั้นคงจะถือตนเองเป็นนายหญิงของจวนนี้เข้าจริงๆ จนไม่เห็นแม้แต่นางอยู่ในสายตา

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงมองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งอึดใจหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวไม่ช้าไม่เร็วว่า “คนเราน่ะ ไม่ว่าเมื่อไรก็ต้องจำให้ดีว่าตนอยู่ในฐานะใด เช่นนี้ถึงจะรักษาหน้าที่ของตนได้ เข้าใจว่าเรื่องใดสมควรกระทำ เรื่องใดไม่สมควรกระทำ”

เมิ่งอี๋เหนียงรู้สึกราวกับถูกตบหน้าอย่างแรง เจ็บแสบเหลือกำลัง

แม้จะมีโทสะจุกอก แต่ภายนอกกลับยังคงพูดอย่างโอนอ่อนผ่อนตามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งสอนได้ถูกต้อง ผู้น้อยน้อมรับคำสั่งสอนเจ้าค่ะ”

พูดจบ สายตานางก็มองไปทางเจียงเทียนโย่วปราดหนึ่ง ท่าทางดูอ่อนแอทำอะไรไม่ถูก

เจียงเทียนโย่วเห็นแล้วก็ใจอ่อน จึงคิดจะเอ่ยปากพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงแทนนาง แต่ยังไม่ทันอ้าปากก็ได้ยินเจียงชิงอวี้พูดขึ้นด้วยความเดือดดาลเสียก่อน “อี๋เหนียงของข้าแค่มอบของให้นางด้วยความหวังดี นางไม่ต้องการก็ช่างเถิด แต่เหตุใดต้องทำเหมือนว่าอี๋เหนียงของข้าคิดทำร้ายนาง ถึงขั้นต้องมาว่าอี๋เหนียงของข้ารุนแรงเช่นนี้ ช่างไม่เข้าใจความหวังดีของผู้อื่นโดยแท้!”

เจียงชิงหว่านมองเห็นเจียงชิงอวี้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

ตลอดทางมานี้นางตะล่อมถามจิ่นผิงและเหยาซื่อจนรู้ว่าบัดนี้เจียงเทียนโย่วมีบุตรสาวสี่คนและบุตรชายหนึ่งคน ในจำนวนนั้นมีเจียงชิงอวี้ที่เกิดจากเมิ่งอี๋เหนียง และถือเป็นบุตรสาวที่เจียงเทียนโย่วชอบที่สุด

เจียงชิงอวี้สวมเสื้อผ่าหน้าสีแดงทับทิมลายดอกเยวี่ยจี้บนคอเสื้อถึงกับปักด้วยดิ้นทอง ปิ่นที่ปักอยู่บนศีรษะก็ล้วนเป็นปิ่นทองแท้ฝังอัญมณีหลากสี ดูหรูหราราคาแพงยิ่ง

ดูเหมือนอยากจะประโคมของดีทั้งหมดที่มีไว้บนตัวใจแทบขาด เพื่อบอกให้ผู้อื่นรู้ว่านางมีฐานะสูงศักดิ์อย่างไรอย่างนั้น

เจียงชิงหว่านเลื่อนสายตาไปทางอื่น

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงรักหน้าตาออกปานนั้น อีกทั้งยังเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับลำดับศักดิ์อย่างมาก แต่บัดนี้กลับถูกหลานสาวสายรองนางหนึ่งโต้เถียงต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้…

เกรงว่าวันนี้เจียงชิงอวี้ผู้นี้คงได้เจอดีเป็นแน่

เวลานี้เมิ่งอี๋เหนียงชักจะร้อนใจแล้ว คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวของตนจะสะกดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ถึงเพียงนี้ นี่มิใช่เท่ากับยื่นด้ามมีดใส่มือฮูหยินผู้เฒ่าเจียง รอให้อีกฝ่ายจับเชือดหรือไร

เก่งแต่ทำให้เสียเรื่องโดยแท้

เมิ่งอี๋เหนียงจึงหันไปตวาดเจียงชิงอวี้ “เจ้าพูดเยี่ยงนี้กับท่านย่าของเจ้าได้อย่างไรกัน รีบคุกเข่าขออภัยท่านย่าเดี๋ยวนี้ ขอให้ท่านย่าเจ้ายกโทษให้เสีย!”

ในใจเจียงชิงอวี้นึกดูถูกฮูหยินผู้เฒ่าเจียง รู้สึกอยู่ตลอดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหญิงชราจากชนบท นางจึงไม่ยอมคุกเข่า ซ้ำยังสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น สีหน้าดูถูกดูแคลนยิ่ง

เจียงเทียนโย่วร้อนใจ ในใจก็เริ่มมีโทสะบ้างแล้วเช่นกัน

แม้เขาจะชอบเจียงชิงอวี้มาก แต่อย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็เป็นมารดาของเขา ไม่ได้พบกันหลายปี วันนี้เพิ่งจะมาเยือน เจียงชิงอวี้ก็เถียงนางเช่นนี้ต่อหน้าบ่าวไพร่กลุ่มใหญ่…

เจียงเทียนโย่วรู้ว่ามารดาเป็นคนรักหน้าตา จะต้องรับเรื่องที่ถูกหลานสาวเถียงต่อหน้าธารกำนัลเยี่ยงนี้ไม่ได้แน่นอน

เขาจึงมองเจียงชิงอวี้ปราดหนึ่งอย่างมีโทสะและเริ่มเป็นห่วงนางขึ้นมา ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวมารดาจะทำโทษนางเช่นไร จึงคิดจะเอ่ยปากพูดขอร้องแทนนาง

ทว่ายังไม่ทันได้ปริปากก็เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงทำมือบอกให้เขาไม่ต้องพูด จากนั้นนางก็มองเจียงชิงอวี้อย่างเย็นชาปราดหนึ่งก่อนเอ่ย “คนมากเพียงนี้มัวยืนอยู่หน้าประตูไปไย เรื่องขายหน้าในบ้านไม่มีให้คนนอกดูหรอกนะ ข้ายังเสียหน้าแก่ๆ นี้ไม่ลง”

เจียงเทียนโย่วรีบกล่าว “ท่านแม่ หลันซินบอกให้คนทำความสะอาดเรือนใหญ่ รวมถึงเตรียมทุกอย่างไว้ให้ท่านเรียบร้อยตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ท่านเดินทางเหน็ดเหนื่อยติดต่อกันหลายวัน ลูกจะประคองท่านไปพักผ่อนเดี๋ยวนี้”

‘หลันซิน’ คือนามของเมิ่งอี๋เหนียง เจียงเทียนโย่วพูดเช่นนี้เพราะต้องการจะเอาใจฮูหยินผู้เฒ่าเจียงแทนเมิ่งอี๋เหนียง แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่รับน้ำใจนี้ ไม่แม้แต่จะมองเมิ่งอี๋เหนียงสักแวบหนึ่ง และไม่ยอมให้เจียงเทียนโย่วประคอง กลับเรียกเจียงชิงหว่านแทน “หว่านเจี่ย เจ้ามาประคองย่า”

นี่เท่ากับบอกผู้อื่นว่าเจียงชิงหว่านมีความสำคัญยิ่งในใจนาง โอกาสเยี่ยงนี้เจียงชิงหว่านย่อมไม่มีทางพลาด จึงรับคำแล้วก้าวไปประคองฮูหยินผู้เฒ่าเจียง

เจียงเทียนโย่วเดินพลางทำสัญญาณมือให้เมิ่งอี๋เหนียง บอกให้นางเรียกเจียงชิงอวี้กลับไป เขาไม่อยากให้เจียงชิงอวี้ทำฮูหยินผู้เฒ่าเจียงโมโหอีก และก็ไม่อยากให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงลงโทษนาง ดังนั้นการบอกให้นางไปตอนนี้จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด รออีกวันสองวันฮูหยินผู้เฒ่าเจียงหายโมโหแล้วค่อยเรียกนางมาโขกศีรษะขออภัย

คาดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะเห็น นางกล่าวเสียงเย็นว่า “ต่อให้ข้าเป็นยายแก่จากชนบทจนมีคนนึกดูถูกข้า แต่อย่างไรข้าก็มีฐานะเป็นย่า วันนี้มาถึงเมืองหลวงวันแรก ผู้เป็นหลานสาวไม่สมควรมาโขกศีรษะให้ข้าหรือไร หรือต้องรอให้ข้าโขกศีรษะให้นางก่อน”

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเอ่ยวาจาดุดันไม่ยอมลงให้ใครมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งกว่านั้นเมื่อครู่ก็ถูกเจียงชิงอวี้เถียงต่อหน้าคนมากปานนั้น เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็หลับตาปล่อยผ่านไปไม่ได้

เจียงเทียนโย่วไม่กล้าขัดขวาง ซ้ำยังยิ้มปะเหลาะ “ท่านแม่กล่าวอะไรเยี่ยงนี้ นางเป็นเด็กที่ยังไม่รู้ความ ทำให้ท่านโมโหแล้ว ประเดี๋ยวลูกจะเรียกนางมาโขกศีรษะรับผิดกับท่านขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเขาปราดหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้เจียงชิงหว่านประคองเดินหน้าต่อไป

เมิ่งอี๋เหนียงรู้ว่าในใจเจียงเทียนโย่วนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีฐานะใด ดังนั้นสถานที่ที่ให้นางพำนักย่อมจะเป็นเรือนที่ดีที่สุดในจวนป๋อ เรือนนั้นมีชื่อว่า ‘ซงเฮ่อ’ มีโถงทางเดิน มีห้องโถง สองข้างของลานหลักมีเรือนปีกที่เชื่อมกันด้วยระเบียงคด ทางด้านหน้าเป็นเรือนหลักที่มีห้าห้อง มุมซ้ายขวามีห้องฝั่งละสองห้อง ในลานมีต้นแปะก๊วยอยู่สองต้น ขณะนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อน จึงมีใบสีเขียวอยู่เต็มยอดไม้

ด้านหน้ามีสาวใช้กำลังนำทางอยู่ เจียงชิงหว่านประคองฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเดินเข้าห้องกลาง นั่งลงบนตั่งหลัวฮั่น จากนั้นก็ยืนมือแนบลำตัวอยู่ข้างอีกฝ่าย ท่าทางดูน่ารักว่าง่ายยิ่ง

พวกเจียงเทียนโย่ว เหยาซื่อ และเมิ่งอี๋เหนียงต่างเดินเข้ามากันแล้ว ส่วนหญิงรับใช้ล้วนยืนอยู่ในลาน

ยามนี้เป็นเวลาเหมาะสำหรับการเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อสร้างบารมีให้ตนเอง การถูกหลานสาวสายรองคนหนึ่งเถียงต่อหน้าแล้วยังไม่พูดไม่ทำอะไร คงทำให้คนอื่นๆ ได้เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นยายเฒ่ามาจากชนบทกันหมด วันหน้านางอยู่ในจวนป๋อนี้ยังจะมีบารมีอะไร เกรงว่าแม้แต่บ่าวไพร่ก็ยังจะดูถูกนางในใจ

ด้วยเหตุนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงทำหน้าเข้มมองเจียงชิงอวี้พลางพูดเสียงเย็น “คุกเข่าลง”

เจียงชิงอวี้ได้รับความโปรดปรานตามใจมาตั้งแต่เล็ก แม้จะเป็นบุตรสาวสายรอง แต่ล้วนได้รับการปฏิบัติทุกอย่างเทียบได้กับบุตรสาวสายตรง และในใจก็เห็นว่าตนเป็นบุตรสาวสายตรงเช่นกัน ถึงขั้นไปดูถูกเจียงชิงเซวียนและเจียงชิงอวิ๋นที่เกิดจากอนุภรรยาเหมือนกันแทน ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงสั่งให้นางคุกเข่า นางจะยอมได้อย่างไร สายตาเอาแต่มองเจียงเทียนโย่วและเมิ่งอี๋เหนียง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: