14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน สาวใช้ประพันธ์รัก
บทที่ 2
จุดจบของการออกหน้าลองดีเพื่อหนังสือเล่มหนึ่งคือต้องแลกมาด้วยท้องที่ว่างเปล่า
หน้าต่างของห้องหนังสือจี๋กู่เปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง สายลมเย็นยามบ่ายโชยเข้ามาเบาๆ พัดเปิดหน้าหนังสือบนโต๊ะไปสองสามหน้า นางนั่งอยู่กลางทะเลหนังสือ จัดขึ้นตู้หนังสือทีละเล่ม บางครั้งขณะแยกประเภทก็อ่านไปหลายบรรทัดจนเพลิน นั่งพลิกอ่านไปทีละหน้าอยู่ตรงนั้น ด้วยเหตุนี้งานจึงคืบหน้าไปไม่มาก ตลอดทั้งเช้าเพิ่งจัดเก็บหนังสือประเภทเดียวกันไปได้ราวสิบเล่ม ทำงานช้าเป็นเต่า แต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้มพึงพอใจอย่างหาได้ยาก
นางม้วนแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นเรียวแขนขาวครึ่งหนึ่ง หลังวางหนังสือเข้าตู้ได้อีกเล่มก็หยุดงานลง “การแพทย์ การเกษตร พงศาวดาร นิยาย บทละคร…” นางยกมือขึ้นลูบไล้หนังสือที่วางอยู่รอบๆ อย่างห้ามตนเองไม่ได้
ขอเพียงได้จับได้คลำ ในใจก็เปี่ยมด้วยความรู้สึกตื้นตัน อารมณ์อันสงบราบเรียบในใจก็เริ่มหลุดการควบคุม เกิดคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก ยากนักที่จะมีสภาพอารมณ์เช่นนี้ รู้สึกเหมือนว่าได้เกิดใหม่อีกชาติเลยทีเดียว “บันทึกหอตะวันตก ตู้สือเหนียงโมโหโยนหีบสมบัติลงน้ำ บันทึกกระต่ายขาว…” นางหรี่ตายิ้มปริ่มพลางประคองหนังสือขึ้นมาเปิดดู จึงได้สังเกตเห็นว่าข้างใต้มีหนังสือที่งามประณีตหรูหราถูกทับอยู่ รอยยิ้มนางหายไปอย่างรวดเร็ว ชื่อหนังสือที่พิมพ์อยู่ด้านบนดูคุ้นเคยจนชวนหงุดหงิด นางเบนสายตาออก เก็บบันทึกกระต่ายขาวขึ้นตู้
“มีคนหรือ น่าแปลกนัก เจ้าเป็นใคร” เสียงใสกังวานดังลอยมาจากหน้าต่าง คนตรงหน้ารออยู่ครู่หนึ่งยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะแล่นมาหน้าประตูและใช้เท้าหนึ่งถีบเปิด
เสียงถีบประตูดังกังวานเรียกความสนใจของเสวียนจี นางเงยหน้าขึ้นมองเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเดินอาดๆ เข้ามา
“ข้าถามเจ้าอยู่นะ เจ้าหูหนวกหรือเป็นใบ้ จึงไม่รู้จักแม้แต่จะขานรับสักเสียง” เด็กหนุ่มผู้นั้นพูดอย่างไม่พอใจ
“บ่าว…เสวียนจี…” นางไม่ใคร่พอใจอยู่บ้างที่มีคนรบกวนเวลาแสนสุขนี้ แต่ยังคงยืนขึ้นมายอบตัวคารวะ
“อ้าว! เจ้าก็ไม่ได้เป็นใบ้นี่” เพลิงโทสะของเด็กหนุ่มดับลงอย่างรวดเร็ว อารมณ์เขาเรียบง่ายไม่ซับซ้อนมาแต่ไหนแต่ไร เจอเรื่องน่าโมโหก็มักลืมได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป* เสมอ
เขาก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ครั้นเตะถูกหนังสือเต็มพื้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีก “หนังสือเหล่านี้ควรต้องจัดนานแล้ว พ่อบ้านหยวนมัวไปตายอยู่ที่ใด”
“พ่อบ้านหยวนสั่งให้บ่าวมาจัดหนังสือในห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
“หืม?” ใบหน้าหล่อเหลาเกินเหตุของเขาแสดงความประหลาดใจเกินจริง “เขาบอกให้เจ้ามาทำหรือ เจ้ารู้จักหนังสือพวกนี้ด้วยหรือไร” เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนพลันเกิดความสงสัยขึ้นมา “บรรดาสาวใช้ทั่วทั้งคฤหาสน์ ข้าล้วนเคยเห็นมาหมดแล้ว แต่ไฉนจึงไม่เคยเห็นเจ้าเลย”
“บ่าวเป็นสาวใช้มาใหม่ นายน้อยย่อมมิเคยเห็นเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง…” ดวงตาเขามองขึ้นมองลง พลันแสยะยิ้มชั่วร้าย ก้าวข้ามไปข้ามมาในทะเลหนังสือ ยื่นมือผลักหนังสือลงจากโต๊ะก่อนกระโดดขึ้นไปนั่งตรงที่ว่าง “เจ้ามองออกได้อย่างไรว่าข้าเป็นนายน้อย”
เสวียนจีหลุบสายตาลง จ้องมองหนังสือที่ถูกเขาปัดหล่นเหล่านี้อย่างปวดใจอยู่บ้าง เมื่อครู่ที่ออกหน้าลองดีในสวนซั่งกู่ก็นึกเสียใจอยู่แล้ว ยามนี้จึงไม่กล้าออกหน้าทำอะไรเพื่อหนังสือเหล่านี้อีก
“นายน้อยมีลักษณะของคนตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่งโดยธรรมชาติ ไม่ว่าใครก็สามารถมองออกได้ว่าท่านเป็นนายน้อยของคฤหาสน์เจ้าค่ะ”
ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยมีคนเพียงสองประเภท หนึ่งคือเจ้านาย อีกหนึ่งคือบ่าวรับใช้ แล้วเสื้อผ้าเขาก็ดูหรูหรางดงาม งานปักประณีตบรรจง วัสดุคุณภาพชั้นเลิศ ผู้ที่สวมใส่เช่นนี้ได้อีกทั้งยังกล้าปัดหนังสือลงพื้นในห้องหนังสือเกรงว่าจะมีเพียงเจ้านายในคฤหาสน์แล้ว
“เจ้าช่างรู้จักพูดนัก” เขายกมือคลำตรงเอวตนเอง กลับพบว่าขณะออกมาลืมพกพัดมาด้วย จึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาพัดเอาลม “เจ้าทายดูซิว่าข้าคือนายน้อยคนใด ทายถูกมีรางวัล”
นางช้อนตาขึ้นมองอย่างรวดเร็วก่อนยอบตัว “เช่นนั้นเสวียนจีต้องขอบคุณนายน้อยสิบสองแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนี้ หนังสือก็พลันตกจากมือของเนี่ยหยวนเฉี่ยวทันที ก่อนที่เขาจะถลึงมองนางด้วยสีหน้าตะลึงงัน “เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าเคยเห็นข้า?”
นางส่ายหน้า “ไม่เคยเจ้าค่ะ แต่เคยได้ยินสาวใช้คนอื่นในคฤหาสน์พูดกันว่าเจ้านายของพวกเรามีทั้งหมดสิบสองท่าน ท่านที่อายุน้อยที่สุดเพิ่งจะสิบหกสิบเจ็ดปี และก็เป็นท่านที่หล่อเหลาร่าเริงที่สุดด้วย”
“เจ้าเคยเห็นพี่ชายคนอื่นของข้าแล้วหรือ” เขาถามด้วยความสงสัย
“เคยเห็นเพียงสองท่านเจ้าค่ะ”
“ฮึ เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือคนที่รูปโฉมน่ามองที่สุด” เขากระโดดลงจากโต๊ะ เหยียบลงบนหนังสือที่ถูกเขาทำร่วงเล่มนั้น ปกหนังสืองามประณีตหรูหราดูคุ้นตายิ่ง เป็น ‘คันฉ่องส่องบาป’ ที่ก่อนหน้านี้ถูกทับอยู่ใต้บันทึกกระต่ายขาว
“ไฉนพ่อบ้านหยวนถึงส่งเจ้ามาจัดหนังสือได้ ช่างน่าสนใจนัก” ลูกตาเนี่ยหยวนเฉี่ยวกลอกไปมาเล็กน้อยก่อนกระโดดมาถึงข้างนาง อายุเขายังน้อย ส่วนสูงกลับเท่ากับนาง เขาประเมินมองนางขึ้นลงรอบหนึ่งถึงค่อยว่า “เท่าที่ข้ารู้ ในห้องหนังสือของพี่สามมีหนังสืออยู่อย่างน้อยเป็นเจ็ดแปดหมื่นเล่ม แค่มองก็ทำเจ้าเหนื่อยตายแล้ว กว่าจะจัดพวกมันเสร็จเกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายปี ว่าแต่เจ้าชื่อว่าเสวียนจี?”
“เจ้าค่ะ”
“ไพเราะยิ่งนัก” เขาโน้มตัวลงน้อยๆ มองดูใบหน้าแสนธรรมดาของนาง “เจ้าเงยหน้าขึ้นมามองข้าซิ”
นางเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง ดวงตาหลุบอยู่ครึ่งๆ ไม่อาจปะทะกับใบหน้าหล่อเหลาของเขาได้
เขาขยิบตาให้นางอย่างหยอกเย้า นางมองเขา ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร
“เจ้าไม่หน้าแดง?!” ในใจเขาให้ยินดีนัก ในคฤหาสน์เหล่าสาวใช้พอได้เห็นเขามักเอาแต่หน้าแดง ทำท่าบิดไปบิดมา พูดจาก็อิดๆ เอื้อนๆ ทำเอาเขารำคาญเหลือกำลัง แต่สาวใช้นางนี้ดูคล้ายจะแตกต่างออกไป
“ดี!” เขาพลันจับมือนาง ยิ้มพลางพูดอย่างคึกคัก “ข้าถูกใจเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้ามาปรนนิบัติข้าคนเดียว ไม่ต้องยุ่งกับหนังสือเหล่านี้แล้ว เดี๋ยวข้าจะให้พ่อบ้านหยวนมาจัดการเอง”
คิ้วเรียวงามดุจใบหลิวของเสวียนจีเริ่มขมวดมุ่น ที่เขาจับอยู่คือข้อมือขวาที่ครู่ก่อนหยวนเจาเซิงออกแรงสะบัด นางเจ็บยิ่งและก็ไม่ชอบใจยิ่ง ทว่าก็ฝืนใจอดทน ดึงดันชักมือของตนกลับมา “นายน้อยสิบสอง เสวียนจีทำงานตามคำสั่งของพ่อบ้านหยวน หากท่านต้องการให้บ่าวไปรับใช้ก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากพ่อบ้านหยวนก่อนเจ้าค่ะ”
“เอ๊ะ? ตั้งแต่เมื่อไรที่ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยกลายเป็นเขาใหญ่ที่สุด” เนี่ยหยวนเฉี่ยวหรี่ดวงตางาม โตมาจนป่านนี้เพิ่งเคยได้เจอสตรีที่ไม่ใจเต้นหน้าแดงเพราะเขาเป็นครั้งแรก ชักดึงดูดความสนใจของเขาขึ้นมาแล้ว แต่ก็ทำศักดิ์ศรีของเขาเสียหายอยู่เล็กๆ เช่นกัน
“สาวใช้เสวียนจี ถ้าเจ้าตามข้ากลับไปแล้วปรนนิบัติรับใช้จนข้าพอใจได้ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะรับเจ้าเป็นอนุ เจ้าว่าข้อแลกเปลี่ยนนี้ดียิ่งใช่หรือไม่” เขากล่าวถ้อยคำใหญ่โตอย่างปราศจากข้อกริ่งเกรง ไม่เชื่อหรอกว่าสาวใช้นางนี้จะไม่หวั่นไหว
นางกลัดกลุ้มหงุดหงิดจนออกมาทางสีหน้า กำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธก็พลันมีเสียงที่คุ้นหูทั้งยังชวนให้ปวดใจดังมาจากนอกประตู
“คิดจะรับอนุ สู้สร้างเนื้อสร้างตัวก่อนจะดีกว่ากระมัง เจ้าบอกมาซิว่าเมื่อไรเจ้าถึงจะทำงานทำการให้ข้าดู” เสียงทุ้มต่ำที่เปลี่ยนจากมีโทสะคุกรุ่นกลายเป็นเย็นเยียบดังมาจากหน้าประตู ไม่ต้องหันกลับไปมอง หนังศีรษะเนี่ยหยวนเฉี่ยวก็ชาขึ้นมาเองแล้ว
แย่แล้ว!