14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน สาวใช้ประพันธ์รัก
เสวียนจีเคยนึกคิดว่าเมื่อได้พบเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่ทำให้นางชื่นชมเลื่อมใสมาหลายปี ในใจนางจะรู้สึกอย่างไร จะดีใจหรือเสียใจ จะประหม่าหรือทำอะไรไม่ถูก เคยคาดการณ์ความรู้สึกสารพัดสารเพมาแล้ว แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่านางจะโมโห
ทั้งโมโห…ทั้งผิดหวัง!
บุรุษเช่นนี้ควรค่าให้นางชื่นชมเลื่อมใสได้อย่างไรกัน
“ดูสิว่าข้าเห็นอะไร หนังสือวางกระจัดกระจายเต็มห้อง” น้ำเสียงเขานุ่มนวลแผ่วเบาเกินคาด แม้จะอมยิ้ม แต่กลับทำให้คนรู้สึกถึงความเยียบเย็นอึมครึมอันน่าขนลุกขนพอง “แลกเปลี่ยนคำหวานกับนายน้อยสิบสองสนุกมากอย่างนั้นหรือ”
นางกัดฟัน ในใจบิดเป็นเกลียว “เสวียนจีมิกล้า”
“มิกล้า? เจ้ากำลังปากว่าตาขยิบ มือเจ้ากำหมัด โมโหจนตัวสั่นแล้ว ข้ามองไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้ามีอะไรไม่กล้า” เขากำลังยั่วยุ และนางก็หลงกลแล้ว
เสวียนจีเห็นหมัดของตนกำแน่นอยู่จริงๆ ในใจก็มีความเดือดดาลโถมขึ้นมา นางควรอดทน ควรใช้ชีวิตให้ผ่านสามปีของสัญญาขายตัวอย่างสงบเงียบเหมือนสาวใช้ที่เจียมตัวผู้หนึ่ง ที่แล้วมานางมิใช่ทำตัวเช่นนี้หรือ เห็นอะไรก็ทำเป็นไม่เห็น ได้ยินก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ทำสมองหัวใจตนเองให้ด้านชา ขอเพียงก้มหน้าก้มตาอยู่ในกองหนังสือก็สามารถหาความสุขจากในหนังสือได้ แต่ตอนนี้…
เสียงตะคอกด้วยโทสะรุนแรงพลันเรียกสตินางกลับมา นางมองตามสายตาเนี่ยเฟิงอวิ๋นไปก็เห็นคันฉ่องส่องบาปที่ก่อนหน้านี้ถูกเนี่ยหยวนเฉี่ยวเหยียบจนสกปรก
“เจ้าทำงานได้ดีนัก!” เขาแผดเสียงคำราม แทบจะทำหลังคาสะเทือนจนราวกับกำลังจะถล่มลงมา
“นั่นมิใช่ข้าทำเจ้าค่ะ” หูนางยังคงชา
“มิใช่เจ้า? ในห้องนี้ยังมีใครอีก!” เขาตวาด รับหนังสือคันฉ่องส่องบาปที่เย็บสันด้วยด้ายเล่มนั้นมาจากมือหยวนเจาเซิง หัวใจเขากำลังปวด หนังสือแต่ละเล่มในห้องหนังสือจี๋กู่เขาล้วนรู้สึกผูกพันอย่างลึกซึ้งทั้งสิ้น นับประสาอะไรกับคันฉ่องส่องบาปฉบับสะสมเล่มนี้ สาวใช้ที่สมควรตายนี่!
“นายน้อยสามควรทราบว่าเมื่อครู่ภายในห้องนี้หาได้มีข้าเพียงคนเดียวไม่” นางเองก็เดือดก็โมโหแล้วเช่นกัน
“เจ้าคิดจะโยนความผิดให้หยวนเฉี่ยว? ช่างขวัญกล้ายิ่งนัก!”
“นายน้อยสิบสองมิใช่คนรักหนังสือเจ้าค่ะ” นางพูดโพล่งออกมา
“หมายความว่าเจ้ารักหนังสือ?” เนี่ยเฟิงอวิ๋นยังทำหน้านิ่วเช่นเดิม แต่ร่างที่เดิมโมโหจนสั่นเทิ้มได้ค่อยๆ สงบลงแล้ว คำพูดนางแทงทะลุความคิดที่หลงทางไปเพราะอารมณ์โกรธ ทำให้เขามองเห็นเรื่องจริงที่อยู่ตรงหน้า
นางพูดมิผิด หยวนเฉี่ยวเห็นหนังสือเป็นดั่งมูลดินไร้ค่า หากว่าจากพฤติกรรมของเขาแล้วก็เป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องทำนองนี้จริงๆ
นางถอนหายใจ “หากนายน้อยสามไม่เชื่อก็นำรอยเท้าบนหนังสือมาเทียบดูได้เจ้าค่ะ เช่นนี้ก็สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเสวียนจีได้แล้ว”
เนี่ยเฟิงอวิ๋นหรี่ตา “เจ้าฉลาดนักนะ” ไม่ตกใจไม่ลนลานไม่หวาดกลัว ไม่มีท่าทีท้อถอย มีเพียงสมองที่แจ่มชัด แต่นางกลับเป็นสตรี
สตรีนางหนึ่งมีสิ่งเหล่านี้ก็เกินพอแล้ว และยังจะถูกคนริษยาเอาด้วย
เขาหลุบขนตาหนาลง ลูบไล้หนังสือคันฉ่องส่องบาปที่เขาตีพิมพ์เบาๆ กระดาษห่อปกเป็นกระดาษเซวียนเต๋อ* ที่เรียบหรูราคาแพง ชื่อหนังสือเขาเป็นคนเขียน ทั่วทั้งใต้หล้านี้มีเพียงชื่อของหนังสือเล่มนี้ที่เขาจรดพู่กันเขียนด้วยตนเอง
ไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่าในหนังสือสอดกระดาษบันทึกข้อความที่ทำด้วยกระดาษเกาลี่** ไว้แผ่นหนึ่ง บนนั้นเขียนไว้ว่าผู้แต่งคือผู้ใด เป็นนามพู่กัน และก็เป็นกระดาษแผ่นเดียวที่แนบมาในต้นฉบับที่หลิ่วหมินนำมาให้ในตอนแรก
กระดาษที่ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นทำออกจำหน่ายโดยเพิ่มความประณีตเข้าไปมีกระดาษเซวียเทาและกระดาษเซวียนเต๋อที่มีกลิ่นหอม ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นผลิตกระดาษที่งามหรูหราและมีกลิ่นหอมออกมาหลากหลายแบบ แต่มิมีแบบใดที่เหมือนกระดาษนี้ จึงยากที่จะอาศัยกระดาษตามหาผู้แต่งเรื่องคันฉ่องส่องบาป…
“เจ้าเคยอ่านหนังสือเรื่องนี้?” เนี่ยเฟิงอวิ๋นพลันเปลี่ยนเรื่องพูด
“เสวียนจีเคยอ่านรอบหนึ่ง จำเนื้อหาไม่ค่อยได้แล้วเจ้าค่ะ” นางตอบคลุมเครือ
“เจ้าว่ามันเป็นหนังสือลามกหรือ”
นางมองเขาแวบหนึ่ง ดูท่าทางเขาไม่ได้ดุร้ายเช่นเมื่อครู่แล้ว จึงพึมพำลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนกล่าวอย่างระมัดระวัง “อันที่จริงบอกว่าเป็นหนังสือลามกก็มิมีอันใดไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ ในสายตาข้า ข้อคิดเพียงหนึ่งเดียวของมันก็แค่ใช้เรื่องกงเกวียนกำเกวียนมาเตือนสติผู้คนว่าอย่ากระทำความชั่ว”
“อ้อ?” เขาตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ “ข้านึกว่าในยุคนี้ขอเพียงเป็นผู้รู้หนังสือก็ล้วนเห็นว่าเรื่องคันฉ่องส่องบาปเป็นนิยายที่ดีที่สุดเสียอีก ในเมื่อเจ้ามีข้อติเตียนต่อมัน ข้าก็อยากฟังดูว่าหนังสือที่ดีในความคิดเห็นของเจ้าเป็นหนังสือเช่นไร”
กลิ่นอายดุร้ายเหี้ยมเกรียมของเขาหายไปแล้ว แม้ใบหน้าจะยังเย็นชาแข็งขึงอยู่บ้าง แต่ก็คล้ายว่ากลับมามีท่าทางเหมือนตอนที่นางเคยได้เห็นตัวจริงของเขาเมื่อนานมาแล้ว
นางแย้มยิ้มออกมา “ข้าชอบอ่านนิยายแนวความรักบริสุทธิ์เช่นเรื่องบุพเพอลวนสองคนงามและเรื่องตำนานคู่สร้างคู่สม นิยายคาวโลกีย์ข้าอ่านน้อยนักเจ้าค่ะ”
“ความชมชอบของเจ้ากลับแตกต่างจากคนอื่นๆ” ดูเหมือนนางเคยอ่านหนังสือมาไม่น้อยทีเดียว ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยหาคนที่สามารถคุยเรื่องหนังสือด้วยได้น้อยมากแล้ว เจาเซิงซื่อสัตย์ภักดี แต่เป็นคนพูดน้อย ในหมู่พี่น้องไม่กี่คนที่ยังอยู่ในคฤหาสน์ก็มีเพียงมี่หยางที่มีความรู้ค่อนข้างมาก ทว่านับตั้งแต่อีกฝ่ายรับหน้าที่ดูแลร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นแทนตน แม้จะพอมีโอกาสได้พูดคุย แต่ส่วนใหญ่ล้วนคุยกันเรื่องดูแลจัดการร้านหนังสือ
สาวใช้นางนี้…