เขาหรี่ตา “เจ้าชื่อว่าอะไรนะ”
“ฉินเสวียนจีเจ้าค่ะ”
“ฉินเสวียนจี?” ชื่อนี้ไม่เหมือนชื่อที่ครอบครัวชนบททั่วไปจะตั้งได้
“เจ้าค่ะ ชื่อของเสวียนจีมาจากภาพกลอนเสวียนจีที่กวีหญิงซูฮุ่ยแห่งแคว้นเฉียนฉินในสมัยจิ้นตะวันออกปักขึ้น”
ในภาพกลอนเสวียนจีมีอักษรทั้งหมดแปดร้อยสี่สิบเอ็ดตัว สามารถอ่านเป็นกลอนได้ทั้งแนวตั้ง แนวนอน แนวทแยง และแม้แต่กลับหัวกลับหาง ‘กลับไปกลับมาย่อมเป็นถ้อยความ มิใช่ผู้รู้ใจมิมีใครสามารถเข้าใจ’ ซูฮุ่ยเคยยิ้มพลางกล่าวไว้เช่นนี้
ตัวของฉินเสวียนจีเองก็เหมือนเป็นปริศนาเช่นเดียวกับภาพกลอนเสวียนจี รู้หนังสือรู้อักษร ทั้งยังไม่กลัวคน ครู่ก่อนยังมีท่าทางห่อเหี่ยว ครู่ถัดมากลับใจกล้าด่าว่าเรื่องคันฉ่องส่องบาปเป็นหนังสือลามกแล้ว เช่นนั้นอาการกลับไปกลับมาเอาแน่เอานอนไม่ได้ของนางก็คือปริศนาข้อหนึ่ง
“ชื่อของเจ้าใครเป็นคนตั้งให้”
“บิดาที่ล่วงลับไปเจ้าค่ะ เขาเคยเป็นอาจารย์ในชนบท เคยสอนหนังสืออยู่หลายปี”
เสวียนจีถูกมองจนอกสั่นขวัญผวาอยู่บ้าง นางจึงหลุบตาลงจ้องหนังสือที่ระเกะระกะอยู่บนพื้น นี่นางพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ พอเห็นเขามีสีหน้าอ่อนโยนก็มักอดใจคุยเรื่องหนังสือขึ้นมาไม่ได้ จริงๆ ปลอมๆ ปลอมๆ จริงๆ ตั้งแต่เล็กก็เรียนรู้การผสมเรื่องจริงเข้าในคำโกหกแล้ว มีเพียงคำโกหกเช่นนี้ที่ฟังเหมือนเรื่องจริง นี่เขา…มองออกแล้วหรือ
แขนเสื้อนางม้วนพับถึงข้อศอก ลำแขนที่เผยออกมามีรอยช้ำจางๆ เกิดจากที่เจาเซิงจับนางเมื่อเช้า มือนางไม่เหมือนเคยทำงานหนัก ร่างกายนางผอมบางอ่อนแอทั้งยังอรชรอ้อนแอ้น เขาเม้มปาก พลันเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าพูดว่าอะไร จัดหนังสือไม่ครบสองตู้ไม่อนุญาตให้กินข้าวใช่หรือไม่”
“นายน้อยกล่าวไว้ตามนี้เจ้าค่ะ”
“มาขอร้องข้าสิ ขอร้องแค่คำเดียวข้าจะอนุญาตให้เจ้าไม่ต้องจัดหนังสือต่ออีก จะกินข้าวก็กิน จะนอนก็นอน” เขาจ้องนาง แต่กลับเจอนางตวัดมองมาด้วยสายตาแปลกๆ
“จะได้กินหรือไม่ก็ไม่เป็นไร หากสามารถอยู่ที่ห้องหนังสือได้ตลอดไป สำหรับเสวียนจีถือเป็นบุญวาสนาแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดอย่างไม่อินังขังขอบนัก
เนี่ยเฟิงอวิ๋นแค่นเสียงเบาๆ นางช่างหยิ่งเสียจริง “ถ้าเจ้าอยากหิวตายก็ไม่มีใครจะมาแยแสเจ้าอีก เจาเซิง ไปกันเถอะ” รถเข็นถูกหยวนเจาเซิงหมุนเปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะเข็นออกไปข้างนอก
เสวียนจีมองส่ง ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ สองขาอ่อนยวบ นั่งคุกเข่าลงกลางทะเลหนังสืออย่างห้ามตนเองไม่ได้ เมื่อครู่ราวกับผ่านพายุมา สติที่เครียดขมึงยังคงไม่คลายลง ในอกนางยังเหลือความโกรธเคืองจากการฟาดฟันกับเขาอยู่…วุ่นวายไปหมดแล้ว…นางมาคฤหาสน์สกุลเนี่ยมิใช่เพื่อจะดึงดูดความสนใจใครเสียหน่อย…
“น่าชังนัก” นางพึมพำ เป็นเพราะเนี่ยเฟิงอวิ๋นคนเดียว ถ้าไม่มีเขา นางก็สามารถใช้ชีวิตผ่านไปได้อย่างสงบสุข ถ้าไม่มีเขา ความชื่นชมเลื่อมใสของนางก็จะคงอยู่ตลอดไป
แต่ตอนนี้ความชื่นชมเลื่อมใสของนางสลายหายไปสิ้นแล้วจริงๆ…
บัดนี้ในสายตานางเขาเป็นแค่เพียงเจ้านายที่น่าชิงน่าชังผู้หนึ่งเท่านั้น
“แปลก…แปลกยิ่งนัก…” เนี่ยหยวนเฉี่ยวหลบอยู่หลังพงหญ้าไกลออกไป
“มีเรื่องน่าแปลกอะไร ไหนเล่าให้ข้าฟังแก้เบื่อที” เงาร่างสีขาวพลันนั่งยองลงข้างเขา
“เจ้ามองไม่เห็นหรือไร หน้าของพี่สามดูแปลกยิ่งนัก”
“อ้อ?” มองจากในพงหญ้าไปสามารถเห็นสีหน้าของเนี่ยเฟิงอวิ๋นได้ชัดเจน “เป็นอย่างนั้นหรือ ก็มีสองตา หนึ่งจมูก หนึ่งปากเหมือนกันนี่”
“เจ้าโง่! เจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือ สีหน้าพี่สามดูดีอย่างหาได้ยากเชียว ปกติข้าเห็นเขาทำหน้าดุร้ายเหมือนกับสิงโตกินคนอย่างไรอย่างนั้น ยังดีที่เขาเคลื่อนไหวไม่สะดวก มิเช่นนั้นก็ยากจะรับรองว่าข้าจะไม่ถูกเขาตีตาย”
“นั่นเป็นเพราะเจ้าใช้ชีวิตเที่ยวเตร่เสเพล ไม่รู้จักทำตัวดีๆ หลุนอวี่หนึ่งเล่มยังใช้เวลาอ่านเป็นเดือน”
“ใครว่าข้าใช้ชีวิตเที่ยวเตร่เสเพล…” เนี่ยหยวนเฉี่ยวตกใจ หยุดพูดได้ทันเวลา
“เหตุใดไม่พูดต่อเล่า ข้าเห็นเจ้ากำลังพูดเพลินอยู่เลย”
ยามนี้เนี่ยหยวนเฉี่ยวพลันรู้สึกหนังศีรษะชาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ หันหน้าไปทางด้านซ้ายอย่างเชื่องช้า มองใบหน้าที่มีรอยยิ้มนั้น “พี่…พี่สี่…”
เนี่ยมี่หยางกางพัดออกก่อนกล่าวยิ้มๆ “ทำไม ทำเรื่องไม่ดีอะไรมาอีกแล้ว พอเห็นข้าก็ทำอย่างกับเห็นพญายม”