บทที่ 3
หมอกขาวเลือนรางดูเหมือนม่านมุ้งบาง พัดขึ้นพัดลง เสียงหอบหายใจจากการสังวาสของชายหญิงดังสลับกันอยู่ระหว่างฟ้าดิน
‘เจ้าเดาดูซิว่าตาเฒ่าจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไร’ เสียงพูดฉอเลาะดังขึ้น
‘เขายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเท่าไรเชียว อย่างมากอีกปีสองปีเขาต้องได้ไปพบพญายมแน่ ทำไม ท่านกลัวแล้วหรือ กลัวว่าจะถูกตาเฒ่าจับได้ว่าเจ้าคบชู้กับคนหนุ่มมากเรี่ยวแรงอย่างข้า?’
‘เชอะ ข้าหรือจะกลัว มีหนึ่งชีวิตเหมือนกัน เขายังจะทำอะไรข้าได้ เขาแย่งลูกเมียผู้อื่นได้ ข้าจะมีสัมพันธ์กับชายอื่นบ้างไม่ได้หรือ ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่ข้ากลัว ข้าก็กลัวแต่คนที่ใช้ดวงตาเย็นเยียบมองคนผู้นั้น…’
ท้ายประโยคหายไป หมอกขาวกระจายตัวไปตามลม คนที่นอนอยู่บนเตียงคือเดรัจฉานที่คุ้นตาคู่นั้น
“พี่เสวียนจี”
เสวียนจีพลันได้ตื่นจากความฝัน ลืมตาขึ้นก็เห็นดวงตางามที่มีแววห่วงใยของหลินอัน
“ท่านฝันร้ายหรือ”
“อา…” เสวียนจีหอบหายใจเฮือกเล็กๆ มองสภาพแวดล้อมอันไม่คุ้นเคยอย่างอึ้งงัน
“เป็นอะไรไป ใช่ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ หน้าท่านซีดจนน่าตกใจ”
อา นึกออกแล้ว ที่นี่คือห้องบ่าวรับใช้ใกล้กับหอซั่งกู่ในสวนซั่งกู่ มิน่าถึงไม่คุ้น นางเพิ่งย้ายออกจากห้องพักรวมห้องใหญ่มาอยู่ที่ห้องบ่าวรับใช้ห้องเล็กร่วมกับหลินอัน
เมื่อคืนหลังจุดตะเกียง พ่อบ้านหยวนได้รีบร้อนมาถึงห้องหนังสือ สีหน้าท่าทางเขาประหม่ากระสับกระส่าย ถามนางไม่หยุดว่าพูดอะไรกับเนี่ยเฟิงอวิ๋นกันแน่ อีกฝ่ายถึงได้ต้องการให้นางไปเป็นสาวใช้คอยปรนนิบัติ…
เขาบ้าไปแล้วหรือ การสัมผัสคลุกคลีเป็นเวลาสั้นๆ นั้นมิได้สร้างความรู้สึกที่ดีให้เขาเลยชัดๆ แต่จู่ๆ กลับต้องการนางไปเป็นสาวใช้ประจำตัว…
“ต้องเป็นเพราะเมื่อคืนท่านถูกนายน้อยสามทำให้หิวจนแย่แล้วใช่หรือไม่ เขาเป็นเจ้านายที่โหดร้ายทารุณไม่มีความเป็นคนแท้ๆ เชียว” สีหน้าหลินอันดูซีดเซียวไม่น้อย ในบรรดาสาวใช้ที่ถูกซื้อเข้ามาชุดเดียวกัน นางเป็นคนที่มีราศีสะดุดตาที่สุด แต่ตอนนี้กลับถูกเนี่ยเฟิงอวิ๋นกลั่นแกล้งจนเป็นเช่นนี้…
“อา?” หรือว่าที่จู่ๆ เขารั้งตัวนางไว้ข้างกายก็เพื่อจะทรมานนางเช่นกัน นางไม่ได้ตั้งใจเอาน้ำใจคนทรามไปวัดน้ำใจเขา เพียงแต่ด้วยนิสัยเลวร้ายเช่นนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะทำเรื่องพรรค์นี้จริงๆ
“พี่เสวียนจี?”
“ข้าได้กินแล้ว” นางคลี่ยิ้ม “เมื่อคืนหรูหมิ่นแอบเอาหมั่นโถวมาให้ข้า” ก่อนจากไปหรูหมิ่นยังร้องห่มร้องไห้ว่าไม่อยากแยกจากนาง แม้จะอยู่ร่วมขอบรั้ว แต่ต่างคนต่างมีหน้าที่ เกรงว่าคงได้พบหน้ากันแค่นานๆ ทีแล้ว เพียงแต่พอไม่มีหรูหมิ่น ทุกเรื่องก็ต้องลงมือจัดการเอง
เสวียนจียันตัวขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือ เปลี่ยนเสื้อผ้าลวกๆ เสร็จก็ประคองน้ำล้างหน้าเดินตามหลินอันไปทางสวนซั่งกู่ หลังอ้อมไปมาหลายรอบนางก็หรี่ตากลั้นหาว “หลินอัน เจ้าจะไปไหน สวนซั่งกู่ควรอยู่ทางขวามือ”
“ข้าเดินผิดทางอีกแล้วหรือ” หลินอันรีบเดินกลับมา หน้าแดงด้วยความเขินอาย “ข้านึกว่าเป็นทางซ้ายเสียอีก โชคดีที่ได้ท่านเตือน ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเศรษฐีเหล่านี้จะสร้างบ้านให้ใหญ่ขนาดนี้ทำไม แค่เดินยังหลงทาง…เอ๊ะ พี่เสวียนจี ท่านมิใช่เพิ่งมาครั้งแรกหรือ ไฉนจึงรู้ว่าต้องไปทางขวาเล่า”
“ข้า…พ่อข้าเคยสอนหนังสือที่บ้านเศรษฐีระยะหนึ่ง ข้าเคยไปเยี่ยมเขาหลายครั้ง บ้านเศรษฐีเหล่านี้เว้นแต่ว่าจะออกแบบเป็นพิเศษ นอกนั้นโครงสร้างก็คล้ายๆ กันหมด” นางยิ้มอย่างสุขุมมั่นคง ทำให้หลินอันอุ่นใจ ไม่รู้เพราะเหตุใดพออยู่ใกล้เสวียนจี ในใจก็ผ่อนคลายไม่น้อย อาจเป็นเพราะเสวียนจีอายุค่อนข้างมาก ดูแล้วก็เหมือนเป็นพี่สาว ต่อให้นายน้อยสามจะด่าคน…ก็ยังมีคนช่วยแบกรับ ช่างดีโดยแท้!
เมื่อเดินมาใกล้หอซั่งกู่แล้ว นางก็ร้องเรียกเบาๆ “พี่เสวียนจี ท่านเดาถูกด้วย” นางรีบร้อนผลักประตูเปิดด้วยความตื่นเต้นดีใจ เสวียนจียังไม่ทันเรียกนางไว้ก็ได้ยินนางส่งเสียงลั่น
“นายน้อยสาม บ่าวมาส่งน้ำล้างหน้าแล้วเจ้าค่ะ…ว้าย!” แย่แล้ว มาเห็นภาพหยวนเจาเซิงอุ้มเนี่ยเฟิงอวิ๋นขึ้นจากเตียงเข้าพอดี
“ใครให้เจ้าทะเล่อทะล่าเข้ามา” เขาหน้าเปลี่ยนสีทันควัน
“บ่าว…หลินอัน…หลินอันกลัวว่าถ้ามาช้า นายน้อยจะโมโห…มิได้ตั้งใจ…” สองขานางเริ่มอ่อนยวบแล้ว ท่าทางยามโมโหของนายน้อยสามแทบจะทำนางตกใจจนขวัญกระเจิง
หยวนเจาเซิงไม่ได้ช้อนตาขึ้นมอง จัดแจงวางเนี่ยเฟิงอวิ๋นลงบนรถเข็น