สายลมพัดเหล่าดอกไม้ไหว พัดผิวทะเลสาบในคฤหาสน์จนเกิดระลอกคลื่น พัดเข้าศาลารับลม พัดความง่วงงุนมาครอบงำเสวียนจี
หลินอันเบิกตาโต กลืนน้ำลาย ยามบ่ายที่เงียบสงบอย่างหาได้ยาก นายน้อยเฟิงอวิ๋นนึกครึ้มอยากออกมาอ่านหนังสือในศาลา นางกับเสวียนจีต้องคอยติดตามรับใช้อยู่ข้างหลัง เดิมที…เดิมทีคิดว่าวันนี้จะผ่านไปอย่างราบรื่นปลอดภัย ด้วยอย่างน้อยอารมณ์ของนายน้อยเฟิงอวิ๋นก็ดีเป็นประวัติการณ์…ทว่า…ทว่าพี่เสวียนจีถึงกับกำลังสัปหงก!
สวรรค์! ให้นางตายไปให้จบๆ เสียเดี๋ยวนี้ตอนนี้เลยเถิด!
ฉินเสวียนจีผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่ ต่อให้เป็นลูกหลานของอาจารย์สอนหนังสือในชนบทก็ไม่ควรไม่รู้จักขอบเขตของสาวใช้ถึงเพียงนี้กระมัง
“ชายเก่งหญิงงาม ฟ้าประทานมาเป็นคู่กัน เฮอะ” เนี่ยเฟิงอวิ๋นพูดรำพึงกับตนเอง ปิดหนังสือเรื่องวสันต์ในหอหยก พลันได้ยินเสียงอุทานดังแว่วๆ อยู่ข้างหลัง เขาขมวดคิ้ว “เจ้าร้องหาอะไร”
“นายน้อยมิใช่กำลังเรียกข้าหรือเจ้าคะ” เมื่อครู่ได้ยินเขาเปิดปากพูดทำให้สตินางถูกเรียกกลับมา เพิ่งจะมองเห็นสถานที่ที่อยู่ชัด มิใช่กำลังเรียกนางหรอกหรือ
เสียงพูดของอีกฝ่ายฟังไม่ชัดเหมือนว่าเพิ่งตื่นนอน คิ้วดาบของเนี่ยเฟิงอวิ๋นจึงยกขึ้นสูงทันที “เจ้ามายืนข้างหน้าข้า!” เขาสั่งอย่างไม่สบอารมณ์ ร่างนางเคลื่อนมาถึงเบื้องหน้าเขาอย่างเชื่องช้า
ทั้งๆ ที่นางมีขนาดตัวปานกลาง แต่เพราะผอมเกินไปทำให้เขามักรู้สึกว่าสาวใช้นางนี้เคลื่อนไหวอืดอาดเป็นลิงขี้เกียจ
“ทำไม คฤหาสน์สกุลเนี่ยปฏิบัติต่อเจ้าอย่างทารุณหรือไร ถึงได้เห็นเจ้าเอาแต่นอนมันทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ” น้ำเสียงของเขายังนับว่าไม่เลวร้าย เพียงแต่งุนงงว่าไฉนสาวใช้นางหนึ่งถึงสามารถหลับจนเป็นเช่นนี้ได้
“เสวียนจีไม่มีงานทำ…ย่อมจะอยากนอนเจ้าค่ะ” นางตอบตามจริง “ถ้านายน้อยอนุญาต บ่าวขอไปจัดหนังสือที่ห้องหนังสือจี๋กู่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
พูดอีกอย่างคือนางยอมจัดหนังสือกองเท่าภูเขาดีกว่าจะแอบอู้อยู่ข้างกายเขา เนี่ยเฟิงอวิ๋นถลึงตาจ้องนาง คำว่า ‘บ่าว’ นั้นเขาฟังแล้วขัดหูทั้งชักเริ่มมีน้ำโห นางอาจจะยังไม่ค้นพบ แต่เขาสังเกตเห็นว่ามีเพียงเวลามีเรื่องขอร้องเขา นางถึงจะลดตัวลงเรียกแทนตนเองว่า ‘บ่าว’
“ไฉนข้าถึงมีความรู้สึกว่าเจ้ายินดีจะอยู่กับหนังสือดีกว่าจะตามรับใช้เจ้านายอย่างข้า”
นางกำลังจะพูด กลับมองเห็นหลินอันส่ายหน้าดิกอยู่ด้านหลังเขา ดวงตาโตฉ่ำน้ำวิงวอนขอนางว่าอย่ายั่วโทสะเนี่ยเฟิงอวิ๋นอีก
“บ่าว…มิกล้า” นางถอนหายใจและหลุบตาลง
“เอาอีกแล้วหรือ” สภาพห่อเหี่ยวหมดอาลัยตายอยากของนางเห็นแล้วก็ชวนให้คนนึกรำคาญ ท่าทางดื้อดึงต่อสู้เพื่อหนังสือเช่นเมื่อวานไปไหนเสียแล้ว เขาโยนหนังสือด้วยความเดือดดาล หนังสือตกลงบนพื้น
นางอึ้งงันไปเล็กน้อยก่อนก้มตัวหยิบขึ้นมา
“อย่าเอามือสกปรกของเจ้ามาแตะต้องมัน!” นางเห็นหนังสือสำคัญกว่าเจ้านาย ถ้าวันนี้เป็นเขาล้มอยู่ที่พื้น เกรงว่านางคงไม่แม้แต่จะเหลือบแลเลยกระมัง
“หากนายน้อยสามไม่ต้องการแล้วก็โปรดมอบให้บ่าวเถิดเจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดว่าตัวเองมีอาชีพเก็บขยะหรือไร เจ้าจะขอมันทุกครั้งที่ข้าโยนหนังสือทิ้งเลยใช่หรือไม่!”
“ถ้าเป็นไปได้ก็…” นางพูดเสียงแผ่วเบา
ยามนี้ร่างกายของเขาเหมือนมีไฟลุกไหม้ขึ้นมาแล้ว แทบจะมองเห็นภาพเปลวไฟลุกอยู่รอบตัวเขาได้เลย
หลินอันที่ด้านหลังกลัวจนต้องหอบหายใจ
“เจ้าหอบอะไร ถ้าหอบอีกข้าจะให้เจ้าเห่าเหมือนหมา!” เขาเอ่ยถามโดยมิได้หันหน้ากลับไปมองนางด้วยซ้ำ
“ไม่ บ่าวมิกล้า…” น้ำตาไหลลงมาจากดวงตางามของหลินอันในทันใด
เสวียนจีขมวดคิ้ว “นายน้อยสาม มีอะไรไม่พอใจก็ลงกับเสวียนจีได้เลยเจ้าค่ะ ไม่มีความจำเป็นต้องพาลลงกับผู้อื่น” นางผิดหวังในตัวเขาจนหมดแล้วจริงๆ
“เจ้าก็รู้ด้วยว่าข้ากำลังพาล? เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรยั่วโมโหข้า!”
นางไปยั่วโมโหเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน อารมณ์เขาไม่เพียงแค่เลวร้าย แต่ยังทำให้คนคาดคะเนไม่ถูกด้วย “หากนายน้อยรังเกียจก็ย้ายบ่าวกลับไปห้องหนังสือจี๋กู่เถิดเจ้าค่ะ บ่าวจะได้ไม่ต้องอยู่ขัดหูขัดตาที่นี่”
“เจ้าเลิกคิดว่าจะสมหวังไปได้เลย!” เขากัดฟันกล่าว