“ข้าเพิ่งจะเดินมาถึงประตูโค้งนี่ก็ได้ยินว่ามีคนจะขออะไรแล้ว เป็นใครจะขออะไรหรือ” เนี่ยมี่หยางพูดขึ้นเสียงดังฟังชัดพลางเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขามองเสวียนจีที่ถอยกลับไปอยู่หลังเนี่ยเฟิงอวิ๋นอย่างผ่านๆ ปราดหนึ่งเสร็จก็ก้าวขึ้นศาลามาอย่างช้าๆ
“พี่สามช่างมีอารมณ์อยู่ว่างๆ นัก หายากที่จะเห็นท่านออกมา…อ้าว กำลังอ่านวสันต์ในหอหยกอยู่หรือ เช่นนั้นก็ดีเลย ข้ามีของจะให้ท่านดูพอดี” เขานั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย ยักคิ้วไปทางโต๊ะศิลาที่ว่างเปล่า “ไม่มีสุรา นี่ช่างผิดต่ออารมณ์ดีๆ ของพี่สามนัก เจาเซิง ไปเอาสุรามา” เขาพูดยิ้มๆ
“เจ้าดูเหมือนว่างมาก” เนี่ยเฟิงอวิ๋นพูดอย่างเย็นชา
“ข้าอุตส่าห์มีเวลาว่างได้ช่วงสั้นๆ พี่สามไม่รู้หรอกว่าข้ายุ่งจนร่างกายอมโรคนี้ของข้าจะพังอยู่แล้ว” เนี่ยมี่หยางถอนหายใจหนักๆ ขยับกระดูกที่ปวดเมื่อยเล็กน้อย เห็นเนี่ยเฟิงอวิ๋นไม่มีทีท่าจะต่อคำพูดก็ไม่ได้ใส่ใจ ร้องสั่งขึ้น “ต้าอู่ เอาต้นฉบับมาวาง”
“เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าไม่อ่านต้นฉบับแล้ว”
“ถึงท่านไม่อ่านแล้ว แต่เรื่องนี้ท่านจำเป็นต้องอ่าน” ต้นฉบับปึกหนาวางราบอยู่บนโต๊ะศิลา เนี่ยมี่หยางยังคงยิ้ม แต่เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่แฝงด้วยเจตนาอื่น
ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นนอกจากจะขายกระดาษรวมถึงสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับกระดาษแล้ว ยังรับตีพิมพ์ให้สำนักศึกษาอีกหลายแห่งด้วย นอกเหนือจากนี้ ในอาณาจักรต้าหมิงบัณฑิตทั่วไปนอกจากเรื่องเที่ยวเสเพลหยำเปแล้วก็ยึดถือว่าการพิมพ์หนังสือเป็นเรื่องมีเกียรติ มักจะตีพิมพ์บทกวีหรือสาแหรกบรรพบุรุษออกมาให้เป็นที่โจษจันสรรเสริญในหมู่บัณฑิตเป็นประจำ ทว่าบัณฑิตที่วันๆ เอาแต่เมามายตีพิมพ์หนังสือไม่เป็นก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย ในการพิมพ์นั้นคุณภาพกระดาษน้ำหมึกครองความสำคัญไปกว่าค่อน ด้วยเหตุนี้จึงมักมีคนขอให้ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นช่วยตีพิมพ์เป็นการส่วนตัวพร้อมกับปิดเรื่องนี้เป็นความลับ
หากแต่เหล่านี้มิใช่สาเหตุที่ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นครองความเป็นหนึ่งแต่เพียงผู้เดียวในเมืองหนานจิง ทางร้านยังดำเนินการเรียบเรียงและตีพิมพ์นิยายออกมาเองจำนวนมากด้วย กล่าวอีกอย่างคือพี่สามของเขาเคยเลี้ยงนักเขียนไว้จำนวนหนึ่ง
ทว่าก็แค่เคย นับตั้งแต่ขาทั้งสองของพี่สามได้รับบาดเจ็บ งานของร้านหนังสือได้มอบให้เขาทั้งหมด ส่วนเนี่ยเฟิงอวิ๋นก็ไม่อ่านต้นฉบับและไม่วิจารณ์หนังสือใดๆ อีก
หลังเขาได้รับบาดเจ็บที่ขา ต้นฉบับที่เคยผ่านมือเขาก็มีเพียงเรื่องเดียว และหลังจากต้นฉบับเรื่องนั้นตีพิมพ์ออกมาก็กลายเป็นนิยายที่โด่งดังอย่างมากในปัจจุบัน
“ท่านต้องอ่าน” พอเห็นเนี่ยเฟิงอวิ๋นไม่มีท่าทีสนใจ เขาก็ยิ้มอย่างบริสุทธิ์ไร้ความผิดพลางกางพัดออก “เป็นต้นฉบับที่หลิ่วหมินนำมาให้ข้า ข้าอ่านแล้วรอบหนึ่ง เกรงว่าหลังได้ตีพิมพ์คงได้รับเสียงตอบรับไม่มาก ถ้าท่านไม่อ่านก็ตีมันกลับไปแล้วกัน”
“หลิ่วหมิน?”
ความสนใจคืนกลับมาแล้วกระมัง
“ใช่แล้ว หลิ่วหมินเป็นลูกน้องกำลังหลักที่ท่านเพาะเลี้ยงออกมา ตอนข้าเพิ่งรับช่วงดูแลร้านหนังสือก็ต้องขอบคุณเขาจริงๆ ที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้าง…”
“เจ้ากลับมาพูดประเด็นหลักได้แล้ว” เนี่ยเฟิงอวิ๋นกัดฟันพูด “เสวียนจี เลื่อนต้นฉบับมาให้ข้า”
เสวียนจีก้าวมาดันปึกต้นฉบับไปตรงหน้าเขาอย่างเงียบเชียบ
หน้าแรกของมันเขียนตัวอักษรบรรจงเป็นระเบียบเรียบร้อย ลักษณะอักษรที่คุ้นตาทำให้เนี่ยเฟิงอวิ๋นตกใจเล็กๆ ก่อนจะพลิกเปิดอีกหลายหน้าอย่างรวดเร็ว
“เป็นเขา?”
“ข้าถึงได้ว่าพี่สามสายตาดีอย่างไรเล่า” เนี่ยมี่หยางขยับโบกพัดพลางหัวเราะเบาๆ “นี่ก็คือต้นฉบับที่ท่านเฝ้ารอมานาน”
“แล้วหลิ่วหมินเล่า” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยแววตาเจิดจ้าเป็นประกาย
“เขาไม่กล้ามา กลัวจะถูกท่านทรมานเฆี่ยนตีอีก ข้าเลยให้เขาไปร้านหนังสือที่เป่ยจิง มีปัญหาอะไรหรือ” เนี่ยมี่หยางยังคงกล่าวเพิ่มเชื้อไฟต่อไป “ในเมื่อบัณฑิตเย้ยโลกผู้แต่งเรื่องคันฉ่องส่องบาปใช้ชื่อปลอมก็หมายความว่าเขาไม่อยากเปิดเผยตัวจริงต่อผู้อื่น หลิ่วหมินเป็นคนซื่อและเถรตรง แม้เขาจะเป็นลูกน้องกำลังหลักของท่าน แต่เมื่อได้สัญญากับบัณฑิตเย้ยโลกแล้วก็ไม่อาจบอกออกมาได้ว่าเขาคือใคร เช่นนั้นชั่วชีวิตพวกเราก็เลิกคิดจะขุดจากปากหลิ่วหมินได้เลย”
เนี่ยเฟิงอวิ๋นสีหน้าเยียบเย็นยับยุ่งจนแทบจะอ่านตัวอักษรใดๆ ไม่ออก
“ต้นฉบับเรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักบริสุทธิ์ของชายเก่งหญิงงาม เรียกได้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับดินจากเรื่องคันฉ่องส่องบาปเมื่อก่อนหน้านี้ของบัณฑิตเย้ยโลก บัดนี้ผู้คนกำลังนิยมอ่านงานคาวโลกีย์เหมือนเรื่องคันฉ่องส่องบาป เรื่องราวความรักบริสุทธิ์นี้…เกรงว่าคงขายได้จำกัด” เนี่ยมี่หยางปากพูดไป แต่ความคิดกลับข้ามเนี่ยเฟิงอวิ๋นไปอยู่ที่เสวียนจี
หายาก หายากยิ่ง หาได้ยากจริงๆ