อย่านึกว่าเขาฟังความหมายชั้นลึกในคำของมี่หยางไม่ออก อีกฝ่ายคิดว่าเขาอยากเกลือกกลั้วกับสาวใช้ที่น่าตายนางนี้ถึงได้ย้ายนางมาที่สวนซั่งกู่ เขาไม่เข้าใกล้อิสตรีมาสามปี แต่มิได้หมายความว่าเขาจะหิวจนกินไม่เลือก
สตรีที่ธรรมดาสามัญขนาดนี้…
ยามนั้นกลีบปากนางพลันยกขึ้นเบาๆ ขับประกายสดใสเปล่งปลั่งในหน้าให้แสดงออกมา สลัดคราบไร้ชีวิตชีวาออกไป เวลานางอ่านนางวิจารณ์หนังสือ สีหน้าแววตากลับแตกต่างจากยามปกติไปโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยนางในสภาพนี้ก็ดีกว่าตอนที่ยั่วโมโหเขาก่อนหน้านี้มากเหลือเกิน
“มีอะไรตลกหรือไร” เขาถาม ในอกรู้สึกอึดอัด รอยยิ้มนางราวกับเป็นสายลมเย็นชื่น ทำให้เขาเห็นแล้ว…เห็นแล้วในใจรู้สึกไม่สบาย
“ชายเก่งหญิงงามได้ลงเอยครองคู่กัน เสวียนจีก็ต้องยิ้มสิเจ้าคะ” นางปิดหนังสืออย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบ
“ชายเก่งหญิงงามเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันบนหน้ากระดาษ นอกกระดาษนั้นมีแต่ชายโฉดหญิงชั่ว” เขาพูดเสียงเย็นเยียบ
เสวียนจีมองเขาแวบหนึ่ง พอคุยถึงหนังสือก็อดจะงัดกับเขาไม่ได้ “แม้จะกล่าวว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันบนหน้ากระดาษ แต่ก็เพราะว่าไม่ได้มาในชีวิตจริงถึงได้ยินดีจะจมอยู่ในทะเลฝัน”
เขาแค่นเสียง “ก็แค่ความเห็นของสตรี”
“ที่นายน้อยอ่านเมื่อครู่ก็มิใช่เรื่องความรักบริสุทธิ์ของชายเก่งหญิงงามเช่นกันหรือเจ้าคะ” นางชี้ต้นฉบับบนโต๊ะ
เนี่ยเฟิงอวิ๋นมุ่นคิ้วน้อยๆ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอ่านอะไร” ต่อให้รู้หนังสือก็มองเห็นเพียงหน้าแรก นางมองออกได้ด้วยหรือว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
“เมื่อบ่ายนายน้อยสี่ก็บอกอยู่นี่เจ้าคะว่านี่เป็นเรื่องความรักบริสุทธิ์ของชายเก่งหญิงงาม” เสวียนจีจ้องเขาตรงๆ
นอกจากเรื่องที่นางรู้หนังสือและดูเหมือนอ่านหนังสือมาไม่น้อยจะทำให้เขาประหลาดใจแล้ว ความใจกล้าของนางก็ทำให้เขา…ชื่นชมอยู่พอดูเช่นกัน ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยมีใครกล้าพูดจากับเขาเช่นนี้บ้าง
“นิยายรักบริสุทธิ์ทั่วไปไหนเลยจะเทียบกับของบัณฑิตเย้ยโลกได้”
นางมองเขาแวบหนึ่งด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงหนึ่งแล้วรีบเม้มปากทันเวลา
เนี่ยเฟิงอวิ๋นหรี่ตา “เจ้าจะหัวเราะก็ไม่หัวเราะ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับคำข้า”
“มิได้ถึงกับไม่เห็นด้วยเจ้าค่ะ เพียงแต่บ่าวกลัวนายน้อยโมโหจึงไม่กล้าพูด”
คำว่า ‘บ่าว’ อีกแล้ว! เวลานางแทนตัวว่าบ่าว เขามักรู้สึกว่าไม่เข้ากับนาง ฟังแล้วขัดหูยิ่ง
“เจ้ามีอะไรไม่กล้าพูดบ้าง” เขาประชด “หรือว่ายังอยากให้ข้าประทานป้ายทองละเว้นโทษตายให้เจ้าด้วย?”
“หากว่ามี เช่นนั้นก็ดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ เสวียนจีไม่อยากถูกบังคับให้พูดความในใจออกมาเสร็จแล้วก็ถูกด่าหรอกนะเจ้าคะ”
ยามนี้ตาของเขาหรี่ลงจนแทบมองไม่เห็น คำก่นด่ากำลังจะหลุดออกมา แต่สุดท้ายก็กลั้นเอาไว้ เขาเคยระงับอารมณ์ตนเองขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร
“ก็ได้ ข้าไม่ด่า เจ้าพูดมา” เสียงฟันเสียดสีกันดังมาจากปากเขา ดูทั้งแค้นทั้งคัน
นางพึมพำลังเลอยู่ชั่วครู่ “เจ้าค่ะ ข้าจะพูด ข้ารู้สึกว่านายน้อยยกย่องบัณฑิตเย้ยโลกเกินไป” แม้จะจงใจอำพรางไว้แล้วก็ยังพอรู้สึกได้ถึงความไม่เห็นด้วยของนาง