“เจ้ากำลังปฏิเสธงานประพันธ์ของเขา?” เขาถลึงมองนาง อยากจะ…กัดนางสักที ทางที่ดีขย้ำกินไม่ให้เหลือซากจะได้ไม่ต้องเห็นใบหน้าชวนโมโหของนางอยู่ทุกเวลาเช่นนี้ คนที่ทำเขาโมโหมีอยู่ไม่น้อย แต่คนที่เป็นฝ่ายยั่วยุเอง นางคือคนแรก
นางลังเลเล็กน้อยก่อนก้มหน้าลง “บ่าวมิกล้า”
“มิกล้า! มิกล้า! มิกล้า! เจ้ามีอะไรไม่กล้าบ้าง!” เขาพูดด้วยความโกรธ เกลียดที่เห็นท่าทางเชื่อฟังว่าง่ายของนาง เขายกมือจะปัดเชิงเทียนบนโต๊ะ แต่กลับฝืนยั้งมือไว้ทันเวลา ถ้าปัดไปทางขวาก็จะไปถูกนางเข้า สาวใช้สมควรตาย!
เขาโมโหจนตัวสั่นอยู่บ้าง เส้นเลือดดำผุดบนใบหน้า โมโหที่สาวใช้นางนี้ไม่รู้จักกาลเทศะ เวลานางเถียงอย่างใจกล้า เขาโมโห เวลานางรักษาขอบเขตสาวใช้ไม่พูดอะไรสักคำ เขาก็โมโห แม้แต่แค่มองเห็นนางเขาก็ยังโมโหจนควันออกหู!
“เจ้า…” หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง หมัดเขากำจนซีดขาวแล้ว ต้องปรับลมหายใจเล็กน้อยถึงสามารถพูดได้ “เจ้า…เรียกเจาเซิงเข้ามา”
เสวียนจีประหลาดใจเล็กๆ เดิมคิดว่าเขาจะด่าแล้ว นางเปิดประตูห้องตามคำสั่ง สายลมเย็นหอบหนึ่งพัดกรูมาจากด้านนอก ความมืดยามราตรีน่าพึงใจ ดูท่าเนี่ยเฟิงอวิ๋นคงอยากนอนแล้ว อีกเดี๋ยวถือตะเกียงเดินกลับห้องพักจะต้องผ่านห้องหนังสือจี๋กู่…
หนังสือเป็นหมื่นๆ เล่ม…ตอนกลางคืนที่ห้องหนังสือไม่มีคน… นางพลันหยีตายิ้ม
นางเรียกหยวนเจาเซิงเข้ามาแล้วทำท่าจะถอยออกไป
“ใครบอกให้เจ้าไป” เนี่ยเฟิงอวิ๋นพูดเสียงเย็นเยียบ
“อา…บ่าว…” เขามิใช่จะพักผ่อนแล้วหรือไร
“มาพยุงข้าขึ้นเตียง” เขาฝืนระงับเพลิงโทสะให้สงบลงพลางว่า ทำให้ถูกหยวนเจาเซิงมองมาด้วยสายตาพิกล
เสวียนจีอึ้งไป ก้าวมาช่วยรับน้ำหนักเขาคนละข้างกับหยวนเจาเซิงอย่างยอมรับชะตากรรมทันที ควรจะรู้นานแล้วว่าเขาไม่ทรมานนางสักรอบก่อนก็ไม่มีทางปล่อยนางกลับไปเด็ดขาด
นางลอบถอนหายใจเงียบๆ เขาหนักยิ่ง โชคดีที่มีหยวนเจาเซิงช่วยรับน้ำหนักกว่าค่อนของเขาอยู่อีกด้าน กลิ่นของบุรุษเพศส่งมาจากกายเขา นี่เป็นครั้งแรกที่นางเข้าใกล้บุรุษถึงเพียงนี้ นางมิได้รังเกียจ เพียงแต่น้ำหนักที่มากทำให้รับไม่ไหว ฝืนเดินไปได้ถึงขอบเตียง ขณะ ‘วาง’ เขาลง นางเกิดซวนเซ สะดุดเตียงพุ่งล้มไปข้างหน้า
“โอ๊ย!” นางร้องออกมาเบาๆ ฟุบอยู่ตรงเอวเขาด้วยสภาพอเนจอนาถไม่น่ามอง
สะ…สวรรค์! นางขยับดิ้นรนอย่างกระอักกระอ่วน คราวนี้ต้องถูกด่าเปิงอีกแล้ว ถูกด่านั้นนางไม่ใส่ใจนัก เพียงแต่…แนบชิดขนาดนี้ ตัวเขาคล้ายว่าสะท้านน้อยๆ หน้านางร้อนซู่ โชคดีที่ได้หยวนเจาเซิงฉุดตัวนางขึ้นมา
“บ่าว…” เสียงของนางแหบพร่า รีบก้มหน้าต่ำและถอยไปหลายก้าว ถึงนางจะไม่รู้สึกว่าเขาคือบุรุษที่นางเคยชื่นชมเลื่อมใสแล้ว แต่ในเสี้ยวเวลานั้นในห้องหัวใจที่เคยมีเนี่ยเฟิงอวิ๋นสลักอยู่ก็ราวกับมีเพลิงลุกไหม้เผาหัวใจนาง
“มิได้ตั้งใจหรือ” เขาเอ่ยปาก จ้องมองใบหูแดงเถือกของนาง “ถ้าตั้งใจ กระดูกเอวข้ามีหรือจะไม่ถูกเจ้ากระแทกหักจริงๆ”
“ข้า…” นางเงยหน้าขึ้น จะเอ่ยแย้งโดยสัญชาตญาณกลับมองเห็นดวงตาดำทั้งสองกำลังจ้องมองนางเงียบๆ อย่างลึกซึ้ง ใจนางพลันเต้นสะดุดไปจังหวะหนึ่ง
“เจ้าออกไปเถอะ” เขาโบกมือ
เสวียนจีก้มศีรษะยอบตัวคารวะ ก่อนออกจากสวนซั่งกู่ไปอย่างมีมารยาท
เนี่ยเฟิงอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
“นายน้อย…” จู่ๆ หยวนเจาเซิงที่นิ่งเงียบมาตลอดก็เปิดปากพูด แต่กลับถูกเขาตัดบท
“เจ้าไม่ต้องพูดอะไร” เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนพูดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี “ข้างนอกมืดแล้ว เจ้าไปดูให้แน่ใจว่านางกลับไปแล้วค่อยกลับมา”
“ขอรับ” หยวนเจาเซิงเดินออกไปเงียบๆ
จากนั้นสวนซั่งกู่ก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด เนี่ยเฟิงอวิ๋นนั่งอยู่บนเตียง เมื่อครู่เกือบจะถูกนางล้มใส่ทั้งตัว แรงนางมีไม่พอ เห็นได้ชัดว่าขาดการออกกำลังกาย ตัวนางอ่อนนุ่มอ้อนแอ้น เมื่ออยู่แนบชิดนางความคิดก็หยุดชะงัก มือที่ถูกนางคว้าจับ…เขาแบมือขวา ความรู้สึกสัมผัสอ่อนระทวยยังคงอยู่ ก่อนจะยกขึ้นจ่อจมูกกลับมิมีกลิ่นใดๆ ริมฝีปากเขาเหยียดยิ้มหยันออกมา
เขากำลังทำอะไร นางเป็นแค่สาวใช้เท่านั้น
เนี่ยเฟิงอวิ๋นแค่นเสียงออกจมูกเบาๆ อย่างดูแคลนตนเอง